ชีอะฮฺมีคำตอบ ชีอะฮฺมีคำตอบ
ผู้ประพันธ์: ซัยยิด ริฏอ ฮุซัยนี นะซับ



คำถามที่ ๑ : อิตเราะตีถูกต้องหรือซุนนะตี?
บรรดานักรายงานฮะดีษที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย ได้รายงานฮะดีษไว้สองรูปแบบ ซึ่งทั้งสองได้ถูกบันทึกอยู่ในตำรับตำราฮะดีษ จำเป็นต้องพิจารณาดูว่าฮะดีษใดถูกต้องที่สุด..

-ฮะดีษที่บันทึกว่า كتاب الله وعترتي اهل بيتي คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺและทายาทของฉัน
-หรือฮะดีษที่บันทึกว่า كتاب الله وسنتيคัมภีร์ แห่งอัลลอฮฺและแบบฉบับของฉัน

คำตอบ :
ฮะดีษที่ถูกต้องและมั่นใจได้จากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) คือฮะดีษที่กล่าวว่า และทายาทของฉัน اهل بيتي ส่วนฮะดีษที่ใช้คำว่า และแบบฉบับของฉัน เมื่อพิจารณาที่กระแสรายงาน (สะนัด) จะพบว่าอ่อนและไม่ถูกต้อง ขณะที่ฮะดีษที่กล่าวว่า และทายาทของฉัน เป็นฮะดีษที่มีกระแสรายวานที่แข็งแรงเชื่อถือได้

สะนัดของฮะดีษที่ว่า และทายาทของฉัน اهل بيتي

ตัวบทของฮะดีษได้มีนักรายงานฮะดีษที่มีชื่อเสียงสองท่านรายงานไว้ กล่าวคือ
๑. มุสลิม ได้บันทึกไว้ในศ่อฮีย์ ของท่านโดยรายงานมาจาก ซัยดฺ บิน อัรฺกอม ว่า วันหนึ่งท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ได้กล่าวสุนทรพจน์ข้างๆ แอ่งน้ำแห่งหนึ่งนามว่า คุม ซึ่งอยู่ระหว่างมักกะฮฺ กับมะดีนะฮฺ ซึ่งหลังจากท่านศาสดา ได้กล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ และกล่าวตักเตือนประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านได้กล่าวว่า

الا ايها الناس فانّما انا بشر يوشك ان يأتي رسول ربّي فاجيب وانا تارك فيكم ثقلين اولهما كتاب الله فيه الهدى والنور فخذوا بكتاب الله واستمسكوا به فحث على كتاب الله ورغّب فيه ثمّ قال واهل بيتي اذكركم الله في اهل بيتي اذكر كم الله في اهل بيتي اذكر كم الله في اهل بيتي

ความว่า โอ้ประชาชนเอ๋ย แท้จริงแล้วฉันเป็นปุถุชนคนหนึ่งเท่านั้น ใกล้เวลาแล้วที่ทูตแห่งพระผู้อภิบาลจะมา และฉันได้ตอบรับคำเชิญของเขาแล้ว ขณะที่ฉันขอฝากไว้ในหมู่ของพวกท่าน สิ่งหนักสองสิ่งที่มีค่ายิ่ง สิ่งหนึ่งคือคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ ซึ่งในนั้นมีทางนำและนูรฺรัศมี ฉะนั้นจงยึดเหนี่ยวคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺไว้ให้มั่นคง ซึ่งท่านศาสดาได้เน้นย้ำถึงการปฏิบัติตามคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวต่ออีกว่า และอหฺลุลบัยตฺ (ทายาท) ของฉัน อัลลอฮฺได้เตือนสำทับพวกท่านเกี่ยวกับอหฺลุบัยตฺของฉัน อัลลอฮฺได้เตือนสำทับพวกท่านเกี่ยวกับอหฺลุบัยตฺของฉัน อัลลอฮฺได้เตือนสำทับพวกท่านเกี่ยวกับอหฺลุบัยตฺของฉัน[๑]

ตัวบทดังกล่าว ท่านดารอมี ได้บันทึกไว้ในสุนันของท่านเช่นกัน[๒] ซึ่งสิ่งที่สามรถกล่าวได้ตรงนี้คือ สายสืบของทั้งสองนั้นมีความชัดเจนยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์ในตอนกลางวัน โดยที่ไม่มีความคลางแคลงใดๆ ทั้งสิ้น

๒. ติรฺมิซีย์ ได้บันทึกด้วยคำว่า وعترتي اهل بيتي ไว้ในตำราของท่านดังนี้ว่า
انّي تارك فيكم ماان تمسّكتم به لن تضلّوا بعدى احدهما اعظم من الآخر كتاب الله حبل ممدود من السماء الى الارض وعترتي اهل بيتي لن يفترقا حتى يرداعليَّ الحوض فانظروا تختلفوني فيها

ความว่า อันที่จริงฉันขอฝากไว้ในหมู่พวกท่าน หากพวกท่านได้ยึดมั่นกับมันจะไม่หลงทางอย่างเด็ดขาด ซึ่งสิ่งหนึ่งนั้นมีความยิ่งใหญ่กว่าอีกสิ่ง ได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺอันเป็นสายเชือกที่ทอดตรงมาจากฟากฟ้าสู่แดนดิน และอีกสิ่งคืออหฺลุบัยตฺ (ทายาท) ของฉัน ทั้งสองจะไม่แยกออกจากกันเด็ดขาดจนกว่าทั้งสองจะย้อนคืนสู่ฉัน ณ สระน้ำ พวกท่านจงพิจารณาเถิดว่า จะปฏิบัติกับของฝากของฉันอย่างไร ? [๓]

ท่านมุสลิม และท่านติรฺมิซีย์ เป็นผู้เขียนตำรา ศ่อฮีย์ และสุนัน ทั้งสองท่านได้เน้นที่คำว่า اهل بيت(ครอบครัว) ซึ่งถือเป็นการเพียงพอต่อการพิสูจน์ตามทรรศนะของเรา และนอกเหนือจากนี้สายสืบของทั้งสองยังมีความแข็งแรง และหน้าเชื่อถือเป็นพิเศษไม่จำเป็นต้องทำการวิเคราะห์อีก

สะนัดของตัวบทที่ว่า سنتي (แบบฉบับของฉัน)

ฮะดีษที่ได้ใช้คำว่า แบบฉบับของฉัน (ซุนนะตี) แทนคำว่า ทายาทของฉัน (อหฺลุบัยตี) นั้นเป็นฮะดีษที่แต่งขึ้นมา ซึ่งนอกเหนือจากจะมีสะนัดที่อ่อนแล้ว ยังมีสิ่งอื่นคือความสัมพันธ์ที่กับราชวงศ์ อุมะวีย์ เป็นตัวการที่บ่งบอกว่าพวกเขาได้สร้างฮะดีษนี้ขึ้นมา.

๑. ฮากิม นิชาบูรีย์ ได้บันทึกตัวบทไว้ในมุสตัดร็อก ของท่านโดยมีกระแสรายงานดังต่อไปนี้ อับบาส บิน อะบีอุเวส รายงานจาก อะบีอุเวส จาก เษาร์ บิน ซัยดฺ อัดดัยละมีย์ จาก อิกร่อมะฮฺ จาก จาก อิบนุอับบาส ว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

ياايها الناس انّي قد تركت فيكم ان اعتصمتم به فلن تضلّوا ابدا كتاب الله وسنّة نبيه
โอ้ประชาชนเอ๋ย ฉันได้ฝากไว้ในหมู่พวกท่าน หากพวกท่านได้ยึดมั่นกับมันจะไม่หลงทางอย่างเด็ดขาด ได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และแบบฉบับของศาสดาแห่งพระองค์[๔]

จะสังเกตเห็นว่ากระแสรายงานตัวบทฮะดีษดังกล่าวนั้นเป็น บิดากับบุตร ซึ่งถือว่าเป็นกระแสรายงานที่น่ารังเกียจและไม่เป็นที่เชื่อถือในหมู่นัก รายงานด้วยกันกล่าวคือ อิสมาอีลบินอะบีอุเวส และอบูอุเวส ทั้งสองพ่อลูกคู่นี้มิใช่แค่ไม่เป็นที่เชื่อถือเท่านั้น แต่ยังถูกกล่าวหาว่า โกหก เป็นผู้อุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีษอีกต่างหาก

ทรรศนะของนักริญาลเกี่ยวกับทั้งสอง
ท่านฮาฟิซ มัซซีย์ ได้บันทึกไว้หนังสือ ตะฮฺซีบุลกะมาล เกี่ยวกับสองพ่อลูกคู่นี้ โดยรายงานมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านริญาลว่า ยะห์ยา บิน มุอีน (เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านริญาล) คนหนึ่งพูดว่า อบูอุเวสกับบุตรชายของเขาไม่เป็นที่เชื่อถือ เขายังได้พูดอีกว่า สองคนนี้เป็นคนขโมยฮะดีษ โดยเฉพาะบุตรชายของเขาไม่สามารถเชื่อถือได้เลย

ท่านนะซาอีย์ ได้พูดถึงบุตรชายของอบูอุเวสว่า เขาเป็นผู้อ่อนแอและไม่ได้รับความเชื่อถือ
ท่านอบุลกอซิม ลาล กออีย์ พูดว่า นะซาอีย์ ได้พูดถึงเขาไว้มาก ถึงขนาดที่ว่าจำเป็นต้องละเว้นฮะดีษของเขา
ท่านอิบนุอะดีย์ (เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านริญาล) พูดว่า อิบนุอุเวสได้รายงานฮะดีษที่ประหลาดๆ จากมาลิก น้าชายของเขาซึ่งไม่มีผู้ใดยอมรับ[๕]
อิบนิ หะญัรฺ ได้กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือ ฟัตหุลบารีย์ว่า ไม่มีใครสามารถนำเอาฮะดีษของอิบนุอุเวส มาปฏิบัติได้ เพราะท่านนะซาอีย์ได้กล่าวตำหนิเขาไว้อย่างมากมาย[๖]
ท่านฮาฟิซ ซัยยิดอหฺมัด บิน ซิดดีก ได้บันทึกไว้ในหนังสือ ฟัตหุลมุลก์ อัล-อะอฺลา รายงานมาจากท่าน สะละมะฮฺ บิน ชัยบะฮฺว่า ได้ยินมาจากอิสมาอีล บิน อบี อุเวส พูดว่า ในเวลานั้นเกี่ยวกับเรื่องอุปโลค ชาวมะดีนะฮฺได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และฉันจึงได้ปลอมฮะดีษขึ้นมา[๗]

ด้วยเหตุนี้ บุตรชายของเขา (อิสมาอีล บิน อบี อุเวส) ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปลอมแปลงฮะดีษ ส่วนอิบนิ มุอีน ได้กล่าวว่าเขาเป็นคนโกหก นอกเหนือจากนั้นฮะดีษของเขายังไม่ได้ถูกบันในศ่อฮีย์ทั้งสอง มุสลิม ติรฺมะซีย์ และหนังสือศิหาห์เล่มอื่นๆ

เกี่ยวกับเรื่องของอบูอุเวส นั้นเพียงพอแล้วหากจะนำคำพูดของท่าน อบูฮาตัม รอซีย์ที่บันทึกในหนังสือ ญัรห์ วะ ตะอฺดีล ที่กล่าวว่า ฮะดีษของเขาถูกบันทึกไว้จริงแต่ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้เพระฮะดีษเหล่า นั้นไม่แข็งแรงและไม่เป็นที่เชื่อถือ[๘]

ท่านอบูฮาตัมได้รายงานจากท่านอิบนิมุอีนว่า อบูอุเวสไม่เป็นที่เชื่อถือ ริวายะฮฺทั้งหมดที่รายงานมาจากทั้งสองคนนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง และขัดแย้งกับริวายะฮฺที่ศ่อฮีย์
ประเด็นที่หน้าสนใจกว่านั้นผู้เล่าฮะดีษ อย่างเช่นท่านฮากิม นิชาบูรีย์ ได้สาระภาพถึงความอ่อนแอของฮะดีษ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ทำการตรวจสอบสะนัดของมัน ดังนั้นฮะดีษของเขาจึงจัดเป็นฮะดีษที่อ่อนแอ และไม่เป็นที่เชื่อถือ

สะนัดที่สองของริวายะฮฺ (วะซุนนะตี)
ท่านฮากิม นิชาบูรีย์ ได้รายงานจากท่านอบูหุรอยเราะฮฺ ซึ่งเป็นฮะดีษมัรฺฟูอฺ ว่า

اني قد تركت فيكم شيئين لن تضلوا بعدهما : كتاب الله و سنتي ولن يفترقا حتي يردا عليّ الحوض
แท้จริงฉันได้ละทิ้งสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน ซึ่งพวกท่านจะไม่หลงทางหลังจากมันทั้งสองอย่างเด็ดขาด ได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และซุนนะฮฺของฉัน และทั้งสองจะไม่แยกออกจากกันแน่นอน จนกว่าทั้งสองจะย้อนคืนสู่ฉัน ณ สระน้ำ[๙]

ตัวบทของฮะดีษดังกล่าวท่านฮากิมได้รายงานด้วยสะนัดเช่นนี้ อัฎฎอบบีย์ จาก ซอลิห์ บิน มูซา อัลฎ็อลฮีย์ จาก อับดุลอะซีซ บิน รอฟีอ์ จาก อบีซอลิห์ จาก อบีหุรอยเราะฮฺ
ฮะดีษดังกล่าว เหมือนกับฮะดีษก่อนหน้านี้ เป็นฮะดีษปลอมแปลงขึ้นมาเพราะในสะนัดจะเห็นว่ามี ซอลิห์ บิน มูซา อัลฎ็อลฮีย์ เป็นผู้รายงานอยู่ด้วย ซึ่งบุคคลคนนี้ บรรดานักริญาลได้กล่าวถึงเขาไว้อย่างมากมายอาทิเช่น

ท่านยะห์ยา บิน มุอีนได้กล่าวว่า ซอลิห์ บิน มูซา เป็นบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ ท่านอบูฮาตัมรอซียืพูดว่า ฮะดีษของเขาอ่อนและเป็นมุนกิรฺ ซึ่งฮะดีษส่วนมากของเขาที่เป็นมุนกิรฺนั้นนักรายงานฮะดีษที่ษิกเกาะฮฺได้ รายงานไว้ ท่านนะซาอีย์พูดว่า ฮะดีษของเขาไม่อาจนำมาบันทึกได้ ในอีกที่หนึ่งท่านพูดว่า ฮะดีษของเขาเป็นฮะดีษมัตรูก[๑๐]

ท่านอิบนิหะญัรฺ ได้บันทึกไว้ใน ตะฮฺซีบุลตะฮฺซีบ ว่า อิบนิหิบบัน พูดว่า ซอลิห์ อิบนิ มูซา ได้กล่าวบางสิงบางอย่างถึงบุคคลที่ษิกเกาะฮฺ แต่คำพูดของเขาไม่เหมือนกับคำพูดของบุคคลเหล่านั้นเลย สุดท้ายท่านได้พูดว่า ฮะดีษของซอลิห์ เชื่อถือไม่ได้ อบูนะอีมพูดว่า ฮะดีษของเขาเป็นฮะดีษมัตรูกและเป็นฮะดีษมุนกิรฺ [๑๑]

ท่านอิบนิหะญัรฺ ได้พูดไว้ใน ตักรีบ[๑๒]ว่า ฮะดีษของเขาเป็นฮะดีษมัตรูก ท่านซะฮะบีย์ได้บันทึกไว้ในกาชิบ[๑๓]ว่า ฮะดีษของเขาอ่อนมาก และกล่าวไว้ใน อัลมีซานอิอฺติดาล[๑๔]ว่า ฮะดีษที่กำลังพูดถึงขณะนี้ได้รายงานมาจากเขา และได้พูดกันว่าเป็นฮะดีษมัตรูก

หมายเหตุ ความรู้เกี่ยวกับฮะดีษ ฮะดีษแบ่งเป็นสามประเภทดังนี้
๑. ฮะดีษศ่อฮีย์ ...เช่นฮะดีษมุตะวาติรฺทั้งคำและความหมาย
๒.ฮะดีษหะซัน...
๓. ฮะดีษฎ่ออีฟ หมายถึงฮะดีษที่ไม่มีคุณสมบัติของศ่อฮีย์และหะซันในความหมายก็คือฮะดีษที่ เชื่อถือไม่ได้อาทิเช่น ฮะดีษมุรฺซัล หมายถึงฮะดีษที่ไม่มีศ่อฮาบะฮฺเป็นผู้รายงาน คนในสมัยต่อจากศ่อฮาบะฮฺระบุว่านำมาจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ)

มุงก่อฏิอ์ หมายถึงฮะดีษที่รอวีย์ได้ถูกตัดออกไปจากกระแสรายงาน โดยนำรอวีย์ที่มัจฮูล (ไม่เป็นที่รู้จัก) มาใส่ไว้ในกระแสรายงาน ทำให้กระแสรายงานขาดตอน
มุอฺฎิล หมายถึงฮะดีษที่มีรอวีย์สองคนหรือมากกว่านั้นได้ถูกตัดออกไปจากกระแสรายงาน ติดต่อกัน
มุดัลลัซ มีสองประเภทกล่าวคือ มุดัลลัซสะนัด หมายถึงฮะดีษที่รอวีย์ได้อยู่ร่วมสมัยกัน ได้พบกัน แต่ไม่ได้ยินการเล่าฮะดีษ ได้รายงานฮะดีษจากเขา อีกประเภทหนึ่งคือ มุดัลลัซชุยูค หมายฮะดีษที่รอวีย์ได้เสริมเติมแต่งคุณลักษณะของอาจารย์ของตนมากเกินความ เป็นจริงหรือมีอคติที่ไม่ใช่อคติที่เป็นจริง

มุอัลลัล หมายถึงฮะดีษที่มีสาเหตุเงื่อนงำ ความบกพร่อง หรือตัวการบางอย่างแอบแฝงอยู่ ซึ่งถ้าเปิดเผยเงื่อนงำนั้นออกมาจะมีผลเสียกับความถูกต้องของฮะดีษ ซึ่งถ้ามองดูเผินๆ แล้วไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างไร
มุฎฏ่อลิบ หมายถึงฮะดีษที่มากมาย ซึ่งจำนวนฮะดีษเหล่านั้นเท่าเทียมกันโดยไม่อาจแยกแยะได้ว่าฮะดีษใดดีกว่ากัน อีกนัยหนึ่งฮะดีษที่เกิดข้อขัดแย้งกันในตัวบทหรือในสายรายงาน
มักลูบ หมายถึงฮะดีษที่คำในตัวบทได้ถูกเปลี่ยนไปด้วยสาเหตุที่เฉพาะเจาะจง หรือคำๆหนึ่งของฮะดีษได้แทนที่คำอีกคำหนึ่ง หรือผู้รายงานบางคนหรือทั้งายรายงานได้ถูกเปลี่ยนไป
ชาซ หมายถึงฮะดีษที่มีปัญหาเนื่องจากรอวีย์ที่เชื่อถือได้ ได้รายงานฮะดีษดังกล่าวในลักษณะที่ว่าแตกต่างไปจากรอวีย์ที่เชื่อได้อีกคน หนึ่ง ,อีกนัยหนึ่ง รอวีย์ที่ถูกยอมรับได้รายงานฮะดีษในลักษณะที่ว่าขัดแย้งกับรอวีย์ที่เชื่อ ถือได้มากกว่าตนเอง , หรือฮะดีษที่ขัดแย้งกับฮะดีษอื่นที่มีคุณสมบัติดกว่าโดยไม่มีทางที่จะเข้ากันได้

มุนกิรฺ หมายถึงฮะดีษที่ผู้รายงานอ่อนได้รายงานขัดแย้งกับผู้รายงานที่เชื่อได้ เป็นฮะดีษที่แตกต่างไปจากฮะดีษชาซฺ หรือฮะดีษที่มีผู้รายงานเพียงคนเดียวซึ่งมีคุณธรรมและความทรงจำไม่ถึงระดับที่จะรับรองได้
มัตรูก หมายถึงฮะดีษที่มีรอวีย์เพียงคนเดียว ซึ่งนักฮะดีษลงความเห็นว่าเขาเป็นคนโกหก หรือเป็นฟาซิก (ฝ่าฝืน) หรือเป็นผู้หลงลืมมีความจำที่เลว หรือเป็นคนขี้สงสัย [๑๕]

อีกประเภทหนึ่งของฮะดีษคือ ฮะดีษที่มีหุ้นส่วนกันระหว่าง ศ่อฮีย์ หะซัน และฎ่ออีฟ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ฮะดีษมัรฺฟูอ์ หมายถึงฮะดีษที่ศ่อฮาบะฮฺ หรือบุคคลในสมัยถัดมา หรือสมัยหลังจากนั้นได้กล่าวระบุว่าเป็นคำพูด หรือการกระทำ หรือการยอมรับของท่านศาสดา และไม่จำกัดว่าสายรายงานจะติดต่อกันหรือไม่ ฉะนั้นฮะดีษมัรฺฟูอ์จึงเป็นได้ทั้งสามลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเงื่อนไขใดแข็งแรงกว่ากัน

สะนัดที่สามของริวายะฮฺ (วะซุนนะตี)

ท่านอิบนิ อับดุล บัรฺริ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ อัตตัมฮีด[๑๖] ของท่านว่าฮะดีษดังกล่าวได้บันทึกไว้โดยกระแสรายงานดังต่อไปนี้
อับดุรฺ เราะห์มาน บินยะห์ยา จาก อหฺมัด บิน สะอีด จาก มุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม อัดดุบีลีย์ จาก อะลี บิน เซด อัล-ฟะรออิฎ จาก อัล-หุนัยนีย์ จาก กะษีรฺ บิน อับดุลลอฮฺ บิน อุมัรฺ บิน เอาฟ์ จาก บิดาของเขา จาก ปู่ของเขา

ท่านอิมามชาฟิอีย์ ได้พูดถึง กะษีรฺ บิน อับดุลลอฮฺว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้กล่าวเท็จ[๑๗] อบูดาวูดพูดว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่กล่าวเท็จและโกหกที่สุด[๑๘] อิบนิหับบานพูดว่า อับดุลลอฮฺ บิน กะษีรฺ ได้เขียนตำราฮะดีษโดยบันทึกจากบิดา และปู่ของเขา ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการปลอมแปลงและการอุปโลคขึ้นมา ดังนั้นการเล่าฮะดีษจากหนังสือ หรือจากริวายะฮฺของอับดุลลอฮฺ ถือว่าหะร่าม (ไม่อนุญาต) นอกเสียจากว่าด้วยกับความประหลาดหรือเพื่อการหักล้าง [๑๙]

ท่านนะซาอีย์ และท่านดารุก็อฎนีย์ พูดว่า ฮะดีษของเขาเป็นฮะดีษมัตรูก ท่านอิมามอหฺมัดพูดว่า ฮะดีษของเขาถือว่าเป็นมุนกิรฺ และตัวของเขาเชื่อถือไม่ได้ ท่านอิบนิมุอีนมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน

แต่หน้าประหลาดใจเกี่ยวกับท่าน อิบนิหะญัรฺ ที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัต-ตักรีบ ซึ่งท่านใช้คำว่า ฎ่ออีฟ เท่านั้นและสำหรับผู้ที่กล่าวหาว่าเขา (อับดุลลอฮฺ บิน กะษีรฺ) เป็นคนพูดโกหก ท่านกล่าวหาว่าผู้ที่พูดเช่นนั้นเป็นคนสุดโต่งทางความคิด ขณะที่นักริญาลคนอื่นๆ และนักฮะดีษทั้งหลายก่อนหน้านั้นได้ลงความเห็นว่าเขาเป็นคนโกหก และเป็นนักแต่งฮะดีษ แม้กระทั่งท่านซะหะบีย์ยังพูดว่ เขาเป็นคนมุสาและอ่อนแอมาก (เชื่อถือไม่ได้เลย)

การรายงานโดยปราศจากสะนัด

ท่านอิมามมาลิก ได้บันทึกไว้ในหนังสือ มุวัฏเฏาะอ์ ของท่านโดยปราศจากสะนัด เป็นการรายงานแบบมุรฺซัล (ไม่มีศ่อฮาบะฮฺสักคนเป็นผู้รายงาน) ซึ่งทุกคนทราบดีว่าฮะดีษประเภทนี้เป็นฮะดีษที่ไม่มีคุณค่าอันใด[๒๐]

จากการวิเคราะห์เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าฮะดีษที่กล่าวว่า และซุนนะตี เป็นฮะดีษที่นักรายงานฮะดีษโกหก (รอวีย์) ทั้งหลายที่มีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับราชวงศ์อะมะวีย์ได้แต่งขึ้นมาโดยมี เจตนาให้ขัดแย้งกับฮะดีษที่ถูกต้องที่กล่าวว่า (วะอิตระตี) ทั้งๆ ที่ในหนังสือศ่อฮีย์มุสลิมได้บันทึกไว้โดยใช้คำว่า อหฺลุ บัยตี ในหนังสือติรฺมีซีย์บันทึกไว้โดยใช้คำว่า อิตระตีวะอหฺลุบัยตี ดังเป็นความจำเป็นสำหรับผู้ที่ทำการศึกษาทุกท่าน ต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน และเป็นการเหมาะสมแล้วหรือที่ท่านได้นำเอาฮะดีษที่อ่อนแอ (ฎ่ออีฟ) ขึ้นหน้าฮะดีษที่ศ่อฮีย์ (ถูกต้อง)

จุดประสงค์ของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จากคำว่า อหฺลุบัยตี ทายาทของฉันนั้นหมายถึงใคร ? หมายถึงทายาทชั้นใกล้ชิดพิเศษของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้แก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอิมามอะลี อิมามฮะซัน อิมามฮุซัยนฺ และท่านอิมามอะลี (อ.) ดังที่ท่านมุสลิมได้บันทึกไว้ในศ่อฮีย์ของท่าน[๒๑] และติรฺมีซีย์ได้บันทึกไว้ในสุนันของท่าน[๒๒]โดยรายงานมาจากท่านหญิงอาอิชะฮฺว่า

نزلت هذه الآية على النبى (ص) إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِوَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا فى بيت امّ سلمة, فدعا النبى (ص) فاطمة وحسنا و حسينا فجعللهم بكساء و على خلف ظهره فجعلله بكساء ثمّ قال : اللهمّ هولاء اهل بيتي فاذهب عنهم الرجس و طهّرهم تطهيرا. قالت امّ سلمة: وانا معهم يا نبي الله قال: انت على مكانك و انت الى الخير

โองการดังกล่าวถูกประทานลงมาที่บ้านของท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้เรียกท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ฮะซัน และฮุซัยนฺ ให้เข้าไปอยู่ในอะบา (ผ้าคลุม) โดยให้อะลีนั่งข้างหลังของท่านแล้วคลุม เขาด้วยผ้าคลุมกิซาอฺ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ พวกเขาคืออหฺลุลบัยตฺของฉัน จงขจัดสิ่งโสมมทั้งหลายให้ออกห่างจากพวกเขา และโปรดทำให้พวกเขาสะอาดอย่างแท้จริง อุมมุสะละมะฮฺได้พูดว่า โอ้รอซูลของอัลลอฮฺอนุญาตให้ฉันอยู่กับพวกเขาไหม (ให้นับฉันว่าเป็นอหฺลุลบัยตฺตามที่โองการได้ประทานลงมา) ท่านศาสดากล่าวว่า เธอจงอยู่ในที่ของเธอ (อย่าเข้ามาในผ้าคลุมเลย) เธออยู่บนหนทางที่ดีแล้ว[๒๓]

ความเข้าใจเกี่ยวกับฮะดีษษะเก่าะลัยนฺ

จากการที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงอหฺลุลบัยตฺไว้เคียงข้างกับอัล-กุรอาน และแนะนำว่าทั้งสองเป็นหุจญัติ (เหตุผล) ของอัลลอฮฺในหมู่ของประชาชนซึ่งสามารถสรุปได้จากคำพูดทั้งสองดังนี้ว่า
๑.คำพูดของอิตรัต (ลูกหลาน) ของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นหุจญัติเหมือนกับอัล-กุรอาน ภารกิจที่เกี่ยวกับศาสนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อศรัทธา หรืออหฺกามการปฏิบัติต้องยึดถือคำพูดของพวกเขา และด้วยกับการมีเหตุผลที่มาจากพวกเขา ประชาชนจึงไม่มีสิทธิ์ไปหาเหตุผลจากคนอื่น

มุสลิมภายหลังจากที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้จากไปแม้ว่าในเรื่องปัญหาการเมืองพวกเขาจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มก็ตาม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีเหตุผลของตนเองว่าทำไมพวกเขาจึงยึดถือแตกต่างกัน แต่ในเรื่องของความรู้และวิชาการของอหฺลุลบัยตฺแล้วพวกเขาต้องไม่ขัดแย้งกัน เพราะว่าทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับและเห็นพร้องตรงกันถึงความถูกต้องของฮะดีษษะ ก่อลัยนฺ ซึ่งฮะดีษดังกล่าวได้ย้ำเน้นว่าสถานที่ย้อนกลับของความรู้ทั้งหลักความเชื่อ (อะกีดะฮฺ)และหลักการปฏิบัติ(อหฺกาม) คืออัล-กุรอานและอหฺลุลบัยตฺเท่านั้นที่เป็น ฉะนั้นถ้าหากประชาชาติอิสลามได้ปฏิบัติตามฮะดีษดังกล่าว ความขัดแย้งของพวกเขาจะลดน้อยลงทันทีและเอกภาพจะเกิดขึ้นในหมู่ของพวกเขา

๒.อัล-กุรอานเป็นพจนารถของพระองค์อัลลอฮฺ(ซบ.)บริสุทธิ์จากความผิดพลาดทั้ง ปวงและมนุษย์ไม่สามารถคิดถึงความผิดพลาดของอัล-กุรอานได้อย่างเด็ดขาดเพราะ พระองค์ทรงตรัสรับรองว่า

لَا يَأْتِيهِ الْبَاطِلُ مِن بَيْنِ يَدَيْهِ وَلَا مِنْ خَلْفِهِ تَنزِيلٌ مِّنْ حَكِيمٍ حَمِيدٍ
ความเท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่คืบคลานเข้าไปสู่อัล-กุรอาน เป็นการประทานจากพระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ [๒๔]

ถ้าอัล-กุรอานบริสุทธิ์จากความผิดพลาด แน่นอนผู้ที่อยู่เสมอภาคกับอัล-กุรอานย่อมบริสุทธิ์จากความผิดพลาดตามไปด้วย เพราะเป็นสิ่งไม่ถูกต้องการให้คนที่มีความผิดพลาดไปอยู่เสมอชั้นกับอัล-กุรอาน
ฉะนั้นฮะดีษดังกล่าวเท่ากับเป็นการยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของพวกเขาจาก สิ่งโสมม และความผิดพลาดทั้งหลาย สิ่งที่ต้องพิจารณาอีกประการหนึ่งคือ ความบริสุทธิ์ไม่ใช่ความจำเป็นร่วมกับนุบูวัต หมายถึงอาจเป็นไปได้ที่คนๆหนึ่งมีความบริสุทธิ์แต่เขาไม่ได้เป็นศาสดา อย่างเช่นท่านหญิงมัรยัม อัล-กุรอานกล่าวว่า

إِنَّ اللّهَ اصْطَفَاكِ وَطَهَّرَكِ وَاصْطَفَاكِ عَلَى نِسَآءِ الْعَالَمِينَ
แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเลือกเธอและทรงทำให้เธอบริสุทธิ์และได้ทรงเลือกเธอให้ เหนือบรรดาหญิงแห่งประชาชาติทั้งหลาย [๒๕]

คำถามที่ ๒ :จุดประสงค์คำว่าชีอะฮฺ หมายถึงใคร?
คำตอบ :
ชีอะฮฺ ในภาษาอาหรับหมายถึง ผู้ปฏิบัติตาม อัล-กุรอานกล่าวว่า وَإِنَّ مِن شِيعَتِهِ لَإِبْرَاهِيمَ และแท้จริง ผู้ที่ดำเนินตามแนวทางของเขา (นูห์) นั้น คืออิบรอฮีม [๒๖]

ชีอะฮฺ ตามความหมายของนักปราชญ์และมวลมุสลิมทั้งหลายหมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ไปนั้นท่านได้ทำการแต่งตั้งตัวแทน(ค่อลิฟะฮฺ)ปกครองประชาชาติมุสลิมเอาไว้โดยกล่าวเป็นสุนทรพจน์ในวาระต่างๆ อาทิเช่น วันที่ ๑๘ เดือนซุลหิจญ์ ปี ฮ.ศ. ที่ ๑๐ ซึ่งเรียกวันนี้ว่า วันฆ่อดีรฺคุม เป็นวันที่มีประชาชาติเศาะฮาบะฮ์จำนวนมากมาย (แสนกว่าคนเศษ) ได้มารวมตัวกันและท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ทำการประกาศการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นในวันนี้ และแนะนำว่าตัวแทนของท่านคือแหล่งอ้างอิงสำหรับทุกสิ่งไม่ว่าจะการเมือง ความรู้ และศาสนาภายหลังจากท่าน

คำอธิบาย ภายหลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มุฮาญิรีนและอันศอรฺ ได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มกล่าวคือ
๑. กลุ่มที่มีความเชื่อว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ไม่ได้ละเลยการแต่งตั้งให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นตัวแทนทำหน้าที่ปกครองประชาชาติภายหลังจากท่าน ซึ่งตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้ง คือท่านอะลี บุตรของอบูฏอลิบ ผู้ที่ได้มีศรัทธาเลื่อมใสท่านเป็นคนแรก

ชนกลุ่มนี้มีทั้งพวกมุฮาญิรีน และอันศอรฺ บุคคลในชั้นแนวหน้าของกลุ่มเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มาจากตระกูลบนีฮาชิม และบรรดาศ่อฮาบะฮฺในชั้นแนวหน้าเช่นกันอาทิเช่น ท่านซัลมานฟารซีย์ ท่านอบูซัรฺ ท่านมิกดารฺ ท่านคอบบาน บิน อะริษและบุคคลอื่นที่อยู่ในฐานะเดียวกัน พวกเขาได้ยึดมั่นอยู่บนความเชื่อดังกล่าว ซึ่งต่อมาได้เรียกพวกเขาว่า ชีอะฮฺของอะลี (อ.)

ตามความเป็นจริงฉายานามดังกล่าว (ชีอะฮฺอะลี) ท่านศาสดาได้เป็นผู้ให้ฉายานามแก่พวกเขาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดังเช่นครั้งหนึ่งท่านได้ชี้ไปที่ท่านอะลี (อ.) แล้วกล่าวว่า..

والّذين نفسى بيده, انّ هذا وشيعته لهم الفائزون يوم القيامة
ฉันขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า แท้จริงเขา (อะลี) กับชีอะฮฺของเขาคือผู้ประสบความสำเร็จในวันกิยามะฮฺ [๒๗]

ฉะนั้น ชีอะฮฺ จึงหมายถึงมุสลิมในยุคแรกของอิสลามกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อเรื่องการแต่ง ตั้งตัวแทนของท่านศาสดาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงพวกเขาจึงถูกเรียกว่าชีอะฮฺ ซึ่งแนวความคิดดังกล่าวได้สืบสานมาจนถึงปัจจุบันพวกเขายังยึดมั่นอยู่บนความ เชื่อนั้นและดำรงการปฏิบัติตามอหฺลุลบัยตฺของท่านศาสดาตลอดเรื่อยมา

ตำแหน่งและฐานะภาพของชีอะฮฺจึงถูกแนะนำด้วยกับแนวคิดดังกล่าว มิใช่ตามคำกล่าวอ้างของบางกลุ่มที่พูดว่า ชีอะฮฺได้เกิดหลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ซึ่งริเริ่มโดยอับดุลลอฮฺ บินสะบะฮฺ ดังนั้นหากต้องการค้นคว้าที่มาของชีอะฮฺให้มากขึ้นศึกษาได้จากหนังสือ อัศลุชีอะฮฺ วะ อุศูลุฮา. อัล- มุริญิอาต หรือหนังสืออะอฺยานุชชีอะฮฺ

๒. กลุ่มที่มีความเชื่อว่าตำแหน่งคิลาฟะฮฺหลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มิได้มาจากการแต่งตั้ง แต่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงให้สัตยาบัน (บัยอัต) กับท่านอบูบักร์ และต่อมาได้ถูกเรียกชื่อว่า อหฺลิซซุนนะฮฺ หรือ ตะซันนุน ดังนั้นสรุปได้ว่าชนสองกลุ่มนี้มีจุดร่วมในเรื่องอุศูล (มูลฐานหลักของอิสลาม) มากมาย แต่มีความขัดแย้งกันในเรื่องคิลาฟะฮฺ ผู้เป็นตัวแทนของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และการเริ่มต้นของชนทั้งสองกลุ่มได้เริ่มต้นมาจากพวกมุฮาญิรีนและอันศอรฺ

คำถามที่ ๓ : ทำไมท่านอะลี บุตร อบูฏอลิบจึงได้เป็นวะศีย์และตัวแทนของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)?
คำตอบ :
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าชีอะฮฺ นั้นมีความเชื่อเรื่องการแต่งตั้งตัวแทนของท่าานศาสดา (ศ็อลฯ) ก่อนสิ้นพระชนม์ และยังเชื่ออีกว่าบรรดาอิมามผู้เป็นตัวแทนของท่านศาสดานั้นแม้จะอยู่ในฐานะภาพรองจากท่านศาสดา แต่วิธีได้มาซึ่งอิมามคล้ายคลึงกับการแต่งตั้งศาสดา กล่าวคือท่านศาสดาได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮฺ(ซบ.)ตัวแทนของท่านก็ต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์(ผ่านวจนะศาสดา)เช่นเดียวกัน

ประวัติการใช้ชีวิตของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ยืนยันเรื่องนี้ไว้อย่างดี เพราะท่านศาสดาได้ทำการแต่งตั้งให้ท่านอะลีเป็นตัวแทนของท่านในวาระต่างมากมายอาทิเช่น

๑. เริ่มต้นการบิอฺษัต (การแต่งตั้งศาสดา) ในเวลานั้นพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมีบัญชาให้ท่านศาสดาเชิญชวนญาติพี่น้องที่สนิท ตามความหมายของโองการที่ว่า (وَأَنذِرْ عَشِيرَتَكَ الْأَقْرَبِينَ) จงตักเตือนวงศาคณาญาติที่ใกล้ชิดของเจ้า[๒๘]ให้พวกเขายอมรับและเลื่อมใสในพระเจ้าองค์เดียว เมื่อพวกเขาได้มากันพร้อมหน้าท่านศาสดา(ศ็อลฯ)จึงประกาศว่า ใครก็ตามได้ช่วยเหลือฉันในภารกิจดังกล่าว เขาจะได้เป็นวะศีย์และเป็นตัวแทนของฉัน คำประกาศของท่านศาสดาคือ..

فأيّكم يوازرني فى هذا الأمر على ان يكون اخي و و زيرى و خليفتى و وصيي فيكم
บุคคลใดได้ช่วยเหลือฉันในภารกิจดังกล่าว เขาจะได้เป็นพี่น้องของฉัน ตัวแทนของฉัน ค่อลิฟะฮฺของฉันและเป็นวะศีย์ของฉันในหมู่พวกท่าน




ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์