ชีอะฮฺมีคำตอบ

ในที่นั้นมีอยู่เพียงคนเดียวที่ตอบรับคำประกาศเชิญชวนของท่านศาสดาคือท่านอะลี(อ.)บุตรของท่านอบูฏอลิบ หลังจากนั้นท่านศาสดาจึงได้หันไปทางกลุ่มเครือญาติพร้อมทั้งกล่าวว่า

انّ هذا اخي ووصيي و خليفتي فيكم فاسمعوا له و أطيعوه
นี่คืออะลีบุตรของอบูฏอลิบ เขาเป็นพี่น้องของฉัน เป็นวะศีย์และเป็นค่อลีฟะฮฺของฉันในหมู่พวกท่าน จงเชื่อฟังและปฏิบัติตามเขา

๒. สงครามตะบูก ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวกับท่านอะลี (อ.) ว่า

أما ترضى أن تكون منّى بمنزلة هارون من من سى الاّ أنّه لا نبيّ بعدى
เจ้าไม่พอใจดอกหรือ ที่เจ้ากับฉันอยู่ในฐานะเดียวกันกับฮารูนและมูซา นอกเสียจากว่าจะไม่มีนบีภายหลังจากฉันอีก [๒๙]

ฐานะของท่านฮารูนคือ เป็นวะศีย์และเป็นตัวแทนโดยตรงของท่านศาสดามูซา (อ.) ท่านอะลี (อ.) เช่นกันเป็นค่อลิฟะฮฺ และเป็นตัวแทนโดยตรงของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)

๓. ปี ฮ.ศ.ท ๑๐ เมื่อท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เดินทางกลับจากการทำหัจญ์ครั้งสุดท้าย (หัจญะตุลวะดา) เมื่อมาถึงยังสถานที่หนึ่งนามว่า ฆ่อดีรฺคุม ท่านได้ประกาศท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากมายขณะนั้น แต่งตั้งให้ท่านอะลี (อ.) เป็นตัวแทนปกครองบรรดามุสลิมีน และมุอฺมินทั้งหลายโดยกล่าวว่า

من كنت مولاه فهذا على مولاه
ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองเขาด้วย

ประเด็นสำคัญจะสังเกตเห็นว่าท่านศาสดาได้เริ่มกล่าวเทศนาโดยกล่าวว่า

ألست أولى بكم من أنفسكن
ฉันมิได้มีความสำคัญสำหรับพวกท่านมากกว่าตัวของพวกท่านเองดอกหรือ ?
ซึ่งบรรดามุสลิมทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้นได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า หามิได้ ท่านมีค่าเหนือพวกเรา เมื่อเป็นเช่นนี้จุดประสงค์ของคำว่า เมาลา ที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวนั้นหมายถึง ฐานะภาพที่สูงส่งกว่า เป็นผู้มีการเลือกสรรที่สมบูรณ์เหนือบรรดามุอฺมินทั้งหลาย ซึ่งตำแหน่งนั้นท่านศาสดาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นของท่านอะลีเช่นกัน และท่านหัซซาน บิน ษาบิต ได้ถ่ายทอดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์แห่งฆ่อดีรฺในวันนั้นไว้เป็นบทกลอนว่า

يناديهم يوم الغدير نبيّهم بخم واسمع بالرّسول مناديا
فقال فمن مولاكم ونبيكم فقالوا ولم يبدوا أهناك التّعاميا

ألهك مولانا و انت نبيّنا ولم تلق منّا فى الولاية عاصيا
فقال له:قم يا على فأنّني رضيتك من بعدى اماما وهاديا

فمن كنت مولاه فهذا وليّه فكونوا له اتباع صدق مواليا
هناك دعا: اللهم وال وليه وكن للذى عادى عليا معاديا


ได้ร้องเรียกพวกเขาในวันฆ่อดีรฺโดยศาสดาของพวกเขา ณ คุม และได้ฟังท่านศาสดากล่าวเทศนา
ท่านกล่าวว่า ใครเป็นผู้ปกครองและเป็นนบีของเจ้า ? พวกเขาล้วนเปล่งเสียงโดยไม่ปิดบังว่า..

พระเจ้าของท่านคือผู้ปกครองและท่านคือนบีของเรา และจะไม่พบผู้ใดที่ปฏิเสธวิลายะฮฺของท่าน
ดังนั้นท่านได้บอกเขาว่า ลุกขึ้นเถิด โอ้อะลี แท้จริงฉัน จะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นอิมามผู้นำทางหลังจากฉัน

ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขาและนี่คือผู้ปกครองเขา พวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขาผู้ปกครองที่สัจจริง
ณ ที่นั้นท่านได้ดุอาอฺว่า โอ้อัลลอฮฺโปรดรักผู้ที่รักวะลีของเขา และโปรดเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับอะลี[๓๐]

ฮะดีษฆ่อดีรฺ เป็นฮะดีษมุตะวาติรฺของอิสลาม (ถูกต้องเชื่อถือได้อย่างมั่นใจ) ซึ่งนอกเหนือจากอุละมาอ์ฝ่ายชีอะฮฺแล้ว ยังมีอุละมาอ์ฝ่ายอหฺลิซซุนนะฮฺอีกประมาณ ๓๖๐ ท่านเป็นผู้รายงาน[๓๑] ซึ่งสามารถสืบไปถึงศ่อฮาบะฮฺ ๑๑๐ ท่าน และฮะดีษดังกล่าวยังมีอุละมาอ์อิสลามถึง ๒๖ ท่าน เขียนถึงสะนัด และสายสืบของมัน

ท่านอบูญะอฺฟัรฺ ฏ็อบรีย์ นักประวัติศาสตร์ชื่อดังของมุสลิมได้รวบรวมสะนัดของฮะดีษดังกล่าวไว้ใน หนังสือสองเล่มใหญ่ของท่าน และท่านผู้สนใจสามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ อัล-ฆ่อดีรฺ

คำถามที่ ๔ : บรรดาอิมามคือใคร?
คำตอบ :
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ภายหลังจากท่านยังมีค่อลิฟะฮฺอีก ๑๒ ท่านซึ่งทั้งหมดเป็นชาวกุเรช และความยิ่งใหญ่ของอิสลามอยู่ใต้ร่มเงาแห่งคิลาฟะฮฺของพวกเขา

ท่านญาบีรฺ ซัมเราะฮฺพูดว่า..
سمعت رسول الله (ص) يقول لايزال الاسلام عزيزا الى اثني عشر خليفة ثمّ قال كلمة لم اسمعها فقلت لأبى ما قال ؟ فقال : كلّهم من قريش
ฉันได้ยินท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า อิสลามจะมีค่อลิฟะฮฺที่ยิ่งใหญ่ถึง ๑๒ ท่านหลังจากนั้นท่านได้กล่าวคำพูดหนึ่งแต่ฉันไม่ได้ยินมัน ฉันจึงได้พูดกับบิดาของฉันว่า ท่านศาสดาพูดว่าอะไร บิดาของฉันได้บอกฉันว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุเรช [๓๒]

ประวัติศาสตร์อิสลามได้ยืนยันให้เห็นสิ่งนี้ได้อย่างดีว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านจะไม่พบว่ามีสิบสองค่อลิฟะฮฺใดทำหน้าที่ปกป้องอิสลาม ที่บริสุทธิ์ได้ดีเยี่ยมไปกว่า๑๒ค่อลิฟะฮฺ หรืออิมามตามที่ชีอะฮฺได้เชื่อศรัทธา เพราะว่าค่อลิฟะฮฺสิบสองท่านที่ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้แต่งตั้งไว้นั้นพวกเขา ได้เป็นค่อลิฟะฮฺทันที่หลังจากการแนะนำท่านศาสดา

จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับทราบว่า ค่อลิฟะฮฺทั้งสิบสองท่านนั้นเป็นใคร ? ฉะนั้นถ้าหากไม่นับค่อลิฟะฮฺสี่ท่านแรก ตามนิยามของอหฺลิซซุนนะฮฺเรียกว่า ค่อลิฟะฮฺรอชิดีน ท่านจะไม่พบว่ามีค่อลิฟะฮฺท่านใดอีกที่ทำให้อิสลามพบกับความแข็งแกร่ง ดังที่เราได้ประจักษ์ชัดกับชีวประวัติของบรรดาค่อลิฟะฮฺแห่งอะมะวีย์ หรือ อับบาซีย์ แต่สำหรับสิบสองอิมามผู้บริสุทธิ์ที่ฝ่ายชีอะฮฺมีความเชื่อล้วนเป็นผู้มี ความยำเกรง มีความบริสุทธิ์ปราศจากบาปและความผิด เป็นผู้ปกป้องซุนนะฮฺของท่านศาสดาและความศักดิ์สิทธิ์ของอัล-กุรอานได้อย่าง ดีเยี่ยม จนเป็นที่สนใจของเหล่าบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ตาบิอิด ตาบีอีนและชนในรุ่นต่อมา และประวัติศาสตร์ยังได้จารึกความรู้ ความสัตย์จริง และความกล้าหาญไว้อย่างละเอียด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันถึงความถูกต้องของพวกเขา อิมามทั้งสิบสองท่านได้แก่..

๑. อะลี บิน อบี ฏอลิบ
๒. ฮะซัน บิน อะลี (มุจตะบา)
๓. ฮุซัยนฺ บิน อะลี (ซัยยิดุช ชุฮะดา)
๔. อะลี บิน ฮุซัยนฺ (ซัยนุลอาบิดีน)
๕. มุฮัมมัด บิน อะลี (บากิรฺ)
๖. ญะฮฺฟัรฺ บิน มุฮัมมัด (ซอดิก)
๗. มูซา บิน ญะฮฺฟัรฺ (กาซิม)
๘. อะลี บิน มูซา (ริฎอ)
๙. มุฮัมมัด บิน อะลี (ตะกียฺ)
๑๐. อะลี บิน มุฮัมมัด (นะกีย์)
๑๑. ฮะซัน บิน อะลี (อัสการีย์)
๑๒. อิมามมะฮฺดี (กออิม) ซึ่งมีริวายะฮฺมุตะวาติรฺ (เชื่อถือได้) กล่าวถึงท่านในฐานะของ "มะฮฺดีในพันธสัญญา" เล่าโดยนักฮะดีษของอิสลาม

เพื่อรู้จักชีวประวัติของบรรดาเหล่าผู้นำที่บริสุทธฺ์ ซึ่งนามของท่านเหล่านั้นท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือดังต่อไปนี้ ตัสกิร่อตุลคอศ (ตัสกิเราะฮฺ คอศุลอุมมะฮฺ) , กิฟายะตุลอะษัรฺ , วะฟะยาตุลอะอฺยาน , หรืออะอฺยานุชชีอะฮฺ (ค้นคว้าและวิจัยโดยซัยยิด มุหฺซิน อะมีน อามิลี) เป็นหนังสือที่มีความสมบูรณ์กว่าสามเล่มแรก

คำถามที่ ๕ : ทำไมเวลาศ่อละวาต (กล่าวสรรเสริญ) ท่านศาสดาจึงต้องมีลูกหลานต่อท้ายด้วย โดยกล่าวว่า อัลลอฮุมมะ ศ็อลลิอะลามุฮัมมัด "วะอาลิมุฮัมมัด"?
คำตอบ :
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนที่สุดเพราะท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นผู้สอนให้บรรดามุสลิมทั้งหลายกล่าว ศ่อละวาต ด้วยตัวของท่านเอง ขณะที่โองการ

إِنَّ اللَّهَ وَمَلَائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ يَا أَيُّهَا الَّذِينَآمَنُوا صَلُّوا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوا تَسْلِيمًا
แท้จริงอัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺของพระองค์ประสาทพรแก่นบี โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงประสาทพรให้เขา และประสาทความสันติอย่างแท้จริง[๓๓]

ได้ถูกประทานลงมา บรรดามุสลิมได้ถามท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ว่าจะพวกเรากล่าวศ่อละวาตอย่างไร ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า لاتصلّوا علىّ الصلوة البتراءพวกเจ้าจงอย่ากล่าวศ่อละวาตที่ไม่สมบูรณ์แก่ฉัน พวกเขาได้ถามอีกว่า และจะให้พวกเราศ่อละวาตอย่างไร ท่านศาสดากล่าวว่า..

اللهم صلّ على محمد و على آل محمد
โอ้อัลลอฮฺ โปรดประสาทพรแด่มุฮัมมัด และลูกหลานของมุฮัมมัด[๓๔]

ฐานะภาพของบรรดอหฺลุลบยตฺนั้นสูงส่ง ถึงขนาดที่อิมามชาฟิอีย์ ได้กล่าวเป็นบทกลอนไว้ว่า..

يا اهل بيت رسول الله حبّكم فرض من الله فى القرآن انزله
كفاكم من عظيم القدر انكم من لم يصلّ عليكم لا صلوة له

โอ้อหฺลุลบัยตฺของท่านรอซูลความรักต่อพวกท่าน เป็นข้อบังคับจากอัลลอฮฺทรงประทานไว้ในกุรอาน
ความยิ่งใหญ่และฐานะภาพอันสูงส่งของท่าน เพียงพอแล้วหากใครไม่กล่าวศ่อละวาตต่อท่านเท่ากับเขาไม่ได้นมาซ [๓๕]

คำถามที่ ๖ : ทำไมจึงถือว่าบรรดาอิมามเป็นผู้บริสุทธิ์ (มะอฺซูม)?
คำตอบ :
การเชื่อว่าบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ของชีะฮฺ ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกหลานของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นผู้บริสุทธิ์ (มะอฺซูม) นั้นมีเหตุผลมากมาย แต่ ณ ที่นี้จะขอกล่าวเป็นสังเขปเพียงเหตุผลเดียว
จากการรายงานทั้งชีอะฮฺ และสุนีย์ว่า ในช่วงบั้นปลายสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ท่านได้กล่าวสั่งเสียว่า..

اني تارك فيكم الثقلين كتاب الله وأهل بيتي و أنّهما لن يفترقا حتّى يردا عليّ الحوض
ฉันได้ฝากสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่านได้แก่ คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และอหฺลุลบัยตของฉัน ทั้งสองจะไม่มีวันแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด จนกว่าทั้งสองจะย้อนคืนสู่ฉัน ณ สระน้ำ[๓๖]

ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือไม่เป็นที่สงสัยว่าอัล-กุรอานนั้นปราศจากความผิดพลาดและการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะถูกเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรเมื่อผู้ประทานอัล-กุรอานคือพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้นำมาคือท่านญิบรออีล และผู้รับคือท่านศาสดา(ศ็อลฯ)และความบริสุทธิ์ของทั้งสามนั้นเป็นที่ ประจักษ์ชัดดุจดังแสงพระอาทิตย์ บรรดามุสลิมทั้งหลายต่างยอมรับว่าในการรับวะฮีย์ของท่านศาสดา การปกป้อง และการเผยแพร่นั้นสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากความผิดพลาดดังนั้นเมื่ออัล-กุรอาน มีความบริสุทธิ์ ถูกต้องและมีความมันคงเช่นนั้น อหฺลุลบัยตฺของท่านศาสดาก็เช่นกันมีความบริสุทธิ์และปราศจากความผิดพลาด เนื่องจากว่าฮะดีษดังกล่าวท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ได้แนะนำว่าอหฺลุลบัยตฺคือผู้ชี้นำ ประชาชาติ และอยู่ในฐานะเดียวกับอัล-กุรอาน และด้วยกฎดังกล่าวนั้นเองทั้งสอง (อัล-กุรอานและอหฺลุลบัยตฺ) จึงมีความบริสุทธิ์เหมือนกัน
อีกเหตุผลหนึ่ง ยังไม่พบว่ามีบุคคลใดที่ไม่ได้เป็นมะอฺซูมได้ถูกนำไปเทียบชั้นกับอัล-กุรอาน

เหตุผลที่แสดงไว้อย่างชัดเจนที่สุดว่าบรรดาอหฺลุลบัยตฺเป็นผู้บริสุทธิ์ คือ คำพูดของท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ที่กล่าวว่า (لن يفترقا حتّى يردا عليّ الحوض) ทั้งสองจะไม่มีวันแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด จนกว่าทั้งสองจะย้อนคืนสู่ฉัน ณ สระน้ำ

ถ้าหากบรรดาอหฺบัยตฺ ไม่ปลอดภัยจากความผิดพลาดหรือได้ล่วงถลำไปทำบาป พวกเขาต้องแยกทางจากอัล-กุรอานคัมภีร์ที่บริสุทธิ์อย่างแน่นอน แต่สิ่งนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้เพราะท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ย้ำเน้นและกล่าวว่ามันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเป็นที่แน่นอนว่าจุดประสงค์ของอหฺลุลบัยตฺตามคำกล่าวของท่าน ศาสดา(ศ็อลฯ)ไม่ได้หมายรวมไปถึงลูกหลานทั้งหมดของท่าน เพราะทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน

ฉะนั้นจึงเหลือกลุ่มลูกหลานที่เฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ ที่ได้รับเกียรติยศและฐานันดรอันสูงส่งนี้ ซึ่งพวกเขาได้แก่บรรดาอิมามแห่งอหฺลุลบัยตฺ(อ.)ที่ตลอดหน้าประวัติศาสตร์คือ ผู้ทำการพิทักษ์รักษาซุนนะฮฺของท่านศาสดา อัล-กุรอานและอิสลามศาสนาที่บริสุทธิ์เพื่อประชาชาติมุสลิมมาจนถึงทุกวันนี้

คำถามที่ ๗ : ทำไมเวลาอะซานต้องกล่าวว่าอัฃฮะดุอันนะอะลียันวะลียุลลอฮฺ และต้องยืนยันถึงวิลายะฮฺของท่านอะลีด้วย?
คำตอบ :
เป็นการดีก่อนที่จะตอบปัญหาโปรดพิจารณาถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้ก่อน

๑. บรรดาฟุก่อฮาของชีอะฮฺทุกท่าน (ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนิติศาสตร์อิสลาม) ได้ลงความเห็นตรงกันว่า การยืนยันถึงวิลายะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอะซานและอิกอมะฮฺ และไม่มีใครมีสิทธิ์อ้างว่าการยืนยันดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของทั้งสอง

๒. ท่านอิมามอะลี (อ.) ตามทรรศนะของอัล-กุรอานท่านเป็นหนึ่งในเอาละยาอ์ของอัลลอฮฺ และโองการดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ได้ยืนยันว่าท่านอะลีมีอำนาจวิลายะฮฺเหนือ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัล-กุรอาน กล่าวว่า

إِنَّمَا وَلِيُّكُمُ اللّهُ وَرَسُولُهُ وَالَّذِينَ آمَنُواْ الَّذِينَيُقِيمُونَ الصَّلوةَ وَيُؤْتُونَ الزَّكَوةَ وَهُمْ رَاكِعُونَ
แท้จริงผู้ปกครองของพวกเจ้า คืออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงนมาซ และจ่ายกาต ขณะพวกเขากำลังโค้งคารวะ [๓๗]

ริวายะฮฺศิหาห์ และมุสนัดต่างๆของอหฺลิซซุนนะฮฺได้ยืนยันว่า โองการดังกล่าวได้ถูกประท่านให้แก่ท่านอะลี (อ.)ซึ่งขณะนั้นท่านกำลังทำรุกูอฺและได้บริจาคแหวนให้กับคนยากจน[๓๘]เมื่อโองการดังกล่าวได้ประให้กับท่านอะลีเรียบร้อยแล้ว ท่านหะซาน บิน ษาบิต ได้กล่าวเป็นบทกวีว่า

فانت الّذى أعطَيْتَ اذ أنت رَاكع فدَتْكَ نفوس القوم يا خَيْر راكع
فأنزَل فِيكَ الله خَيرَ وِلايةَ وبَيْنهَا فِى مُحْكَمَاتِ الشَّرايع

ท่านคือผู้ที่บริจาคขณะที่ทำรุกูอฺ ชีวิตทั้งหลายยอมพลีเพื่อท่านโอ้ผู้ดำรงรุกูอฺที่ดีที่สุด
อัลลอฮฺทรงประทานวิลายะฮฺที่ดีที่สุดแด่ท่าน ทรงแจ้งไว้ในอหฺกามชะรีอัตทั้งหลาย

๓. ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า(انّما الاعمال بالنيات)แท้ จริงการกระทำนั้นขึ้นอยู่กับเจตนาของมนุษย์

ด้วยเหตุนี้ถ้ายอมรับว่าวิลายะฮฺของท่านอะลีเป็นหนึ่งในอุศูลที่อัล-กุ รอานกล่าวถึง อีกด้านหนึ่งประโยคที่ได้กล่าวถึงไม่ได้มีเจตนาให้เป็นส่วนหนึ่งของอะซานและ อิกอมะฮฺ ฉะนั้นจะมีปัญหาอะไรหากจะกล่าวถึงความจริงนี้ไว้เคียงข้างกับการปฏิญาณยืน ยันถึงการเป็นศาสดาของท่านนบี ?

สิ่งจำเป็นที่ต้องกล่าวถึง ถ้าสมมติว่าการกล่าวบางประโยคในอะซานเป็นการกระทำไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ชีอะฮฺจึงควรถูกตำหนิว่าเป็นพวกบิดอะฮฺ(ทำในสิ่งอุตริ) ถ้าเช่นนั้น สองเรื่องต่อไปนี้ท่านจะอธิบายว่าอย่างไร ?

๑. ประวัติศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับยืนยันว่าประโยคที่กล่าวว่า (حَيَّ على خَيْرِ الْعَمَل) เป็นส่วนหนึ่งของอะซาน[๓๙] ขณะในสมัยของท่านค่อลิฟะฮฺอุมัรฺท่านได้เกรงว่า การที่ประชาชนได้ยินประโยคนี้ทุกวันจะทำให้พวกเขาคิดว่าการนมาซเป็นการกระทำที่ดีที่สุด และจะเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาไม่คิดทำญิฮาดอีกต่อไปท่านจึงได้ตัดประโยคนี้ออกจากอะซาน[๔๐]

๒. ประโยค (الصلاة خَيْرُ مِنَ النَّومِ) ในสมัยท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ประโยคนี้ไม่มีและไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอะซาน แต่ต่อมาประโยคนี้ได้ถูกกล่าวเพิ่มในอะซาน[๔๑] ด้วยเหตุนี้ท่านชาฟิอีย์ไดพูดไว้ในหนังสือ อัล-อุม ว่า
اكره فى الاذان الصلاة خير من النوم لأنّ أبا محذورة لم يذكره
ฉันไม่ชอบเลยที่ในอะซานนั้นต้องกล่าวว่า อัศ-ศ่อลาฮฺคัยรุน มินันเนาม์ เพราะว่าไม่มีนักฮะดีษหรือรอวีย์นำมากล่าว(ในฮะดีษของตน)[๔๒]

คำถามที่ ๘ :มะฮฺดีแห่งอาลิมุฮัมมัดเป็นใคร ทำไมต้องรอคอยการมาของท่าน?
คำตอบ :
เป็นเรื่องที่คัมภีร์แห่งฟากฟ้าทุกเล่มมีความเห็นพร้องตรงกันกล่าวคือ จะมีผู้มาปลดปล่อยและปรับปรุงโลกให้พบกับความยุติธรรมในยุคสุดท้าย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะสังคมมุสลิมเท่านั้นที่รอคอย แต่สังคมของพวกยะฮูดี และนัศรอนีก็รอคอยผู้ที่มีความยุติธรรมที่จะมาทำหน้าที่อันนี้เช่นกัน ดังนั้นถ้าได้ศึกษาพันธะสัญญาเก่าและใหม่(โตร่าห์และไบเบิ้ล) [๔๓] จะได้รับความกระจ่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ และบรรดนักฮะดีษได้เล่าต่อกันมาว่า ท่านศาสดาได้กล่าวว่า

لولم يبقى من الدهر الاّ يوم لبعث الله رجلا من اهل بيتي يملأها عدلا كما ملئت جوزا
ถ้าหากโลกจะไม่มีเวลาเหลืออีก นอกจากเพียงวันเดียว อัลลอฮฺจะทรงให้ชายหนุ่มจากครอบครัวของฉันปากฎออกมา เพื่อทำให้โลกนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความยุติธรรม ดังเช่นที่เคยเปี่ยมล้นด้วยความอธรรมมาแล้ว [๔๔]

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะผู้มาปรับปรุงโลก เป็นที่เห็นพร้องตรงกันของศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว นอกจากนั้นยังมีริวายะฮฺจำนวนมากมายถูกบันทึกไว้ในหนังสือศิหาห์ และมะซานีดของอหฺลิซซุนนะฮฺ และบรรดานักฮะดีษ และผู้ศึกษาวิจัยทั้งสุนี และชีอะฮฺได้เขียนตำรามากมายเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) [๔๕]

บรรดาริวายะฮฺเหล่านี้ได้บอกถึงคุณลักษณะพิเศษ และสัญลักษณ์ของมะฮฺดีที่จะมาปรากฏนั้นถูกต้องตรงกับบุตรของท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.)[๔๖] ซึ่งเป็นอิมามท่านที่ ๑๑ ของชีอะฮฺ ตามพื้นฐานของริวายะฮฺดังกล่าวนั้นท่านอิมามมีชื่อเดียวกันกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) [๔๗]เป็นอิมามท่านที่ ๑๒ ของชีอะฮฺ[๔๘] เป็นหลานของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) บุตรท่านอิมามอะลี บิน อบีฎอลิบ (อ.) [๔๙]

ท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) ประสูติเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๒๕๕ และได้เร้นกายไปตามพระบัญชาของพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ยังมีชีวิตอยู่ตราบเท่าที่พระองค์ทรงประสงค์
สิ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงคือการดำรงชีวิตที่ยาวนานเช่นนี้ ถ้าหากพิจารณาแล้วไม่หน้าที่จะเป็นไปได้ ในโลกทัศน์ของวิชาการนั้นยอมรับในเรื่องการมีอายุยืนแบบเป็นไปตามธรรมชาติ ของมนุษย์เช่นกัน อัล-กุรอานได้กล่าวถึงการมีอายุยืนของคนในอดีตอย่างเช่นท่านศาสดานูห์ (อ.) อัล-กุรอานกล่าวว่า

وَلَقَدْ أَرْسَلْنَا نُوحًا إِلَى قَوْمِهِ فَلَبِثَ فِيهِمْ أَلْفَ سَنَةٍ إِلَّا خَمْسِينَ عَامًا
และแน่นอนเราได้ส่งนูห์ไปยังหมู่ชนของเขา และได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปียกเว้นห้าสิบปี [๕๐]

อัล-กุรอานกล่าวท่านศาสดายูนุสว่า
فَلَوْلَا أَنَّهُ كَانَ مِنْ الْمُسَبِّحِينَلَلَبِثَ فِي بَطْنِهِ إِلَى يَوْمِ يُبْعَثُونَ
หากว่าเขามิได้เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้แซ่ซ้องสดุดีแล้วแน่นอน เขาจะอยู่ในท้องปลาจวบจนกระทั่งวันฟื้นคืนชีพ [๕๑]

เช่นเดียวกันท่านเคฎร์ และท่านศาสดาอีซา (อ.) ตามดำรัสของอัล-กุรอาน และการเห็นพร้องตรงกันของมุสลิมทั้งหลายปัจจุบันท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ และดำรงชีพของท่านไปตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ (ซบ.) ฉะนั้นเรื่องการมีอายุของคนไม่มีความขัดแย้งกัน ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระองค์ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

คำถามที่ ๙ :ถ้าหากชีอะฮฺถูกต้อง ทำไมจึงเป็นมุสลิมส่วนน้อย และทำไมมุสลิมส่วนมากจึงไม่ยอมรับ?
คำตอบ :
การแยกแยะสิ่งถูกผิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ปฏิบัติตาม เพราะหากเปรียบเทียบประชากรมุสลิมกับผู้ปฏิเสธอิสลาม มุสลิมจะมีจำนวนแค่ ๑/๕ หรือ ๑/๖ ของประชากรเท่านั้น ส่วนมากของประชากรแถบตะวันออกจะนับถือรูปปั้น รูปวัวศักดิ์สิทธิ์ และปฏิเสธความเชื่อเรื่องพระเจ้า

ประเทศจีนมีประชากรเกินหนึ่งพันล้านคนซึ่งส่วนมากของประชากรเป็น คอมมิวนิสต์ ประเทศอินเดียมีประชากรเกือบหนึ่งพันล้านคนส่วนมากเคารพบูชาวัวศักดิ์สิทธิ์ และนับถือพุทธศาสนา
ถ้าหากจะใช้ส่วนมากของประชากรเป็นเกณฑ์ในการวัดความถูกต้อง แสดงว่าคนจีนกับคนอินเดียนั้นนับถือศาสนาถูกต้อง และท่านจะมีคำตอบใดให้อิสลาม ขณะที่อัล-กุรอานกล่าวชื่นชมคนส่วนน้อย และปฏิเสธคนส่วนมากดังเช่นอัล-กุรอานกล่าวว่า

๑. وَلاَ تَجِدُ أَكْثَرَهُمْ شَاكِرِينَ
และจะไม่พบว่าส่วนมากของพวกเขา เป็นผู้ขอบคุณ [๕๒]

๒. وَمَا كَانُواْ أَوْلِيَاءهُ إِنْ أَوْلِيَآؤُهُ إِلاَّ الْمُتَّقُونَ وَلَـكِنَّأَكْثَرَهُمْ لاَ يَعْلَمُونَ
และพวกเขามิใช่ผู้ปกครองของเขา บรรดาผู้ปกครองของเขานั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากบรรดาผู้ยำเกรง แต่ทว่าส่วนมากพวกเขาไม่รู้ [๕๓]

๓. وَقَلِيلٌ مِّنْ عِبَادِيَ الشَّكُور
และส่วนน้อยแห่งปวงบ่าวของเราเป็นผู้ขอบคุณ

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ไม่อาจเอาจำนวนมากเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน และไม่สามารถพูดได้ว่าแนวทางที่มีผู้ปฏิบัติน้อยนั้นไม่ถูกต้อง แต่ทว่าสิ่งสำคัญคือการให้ความสว่างแก่สติปัญญา และการได้รับประโยชน์จากนูรฺรัศมีนั้น
มีชายคนหนึ่งได้ถามท่านอิมามาอะลี (อ.) ว่า ท่านพิสูจน์ได้อย่างไรว่าผู้คนส่วนมากที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามในสงครามยะมัลนั้น เป็นฝ่ายผิด ? ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า ..

انّ الحق والباطل لا يعرفان بأقدار الرجال اعرف الحقّ تعرف أهله اعرف الباطل تعرف أهله
ความจริงกับความเท็จนั้นไม่อาจรู้ได้ด้วยจำนวนของผู้ปฏิบัติตาม ถ้าเจ้ารู้จักความจริงก็จะรู้จักผู้ปฏิบัติตาม และถ้าเจ้ารู้จักความเท็จ เจ้าก็จะรู้จักผู้ปฏิบัติตาม

เป็นความจำเป็นสำหรับมุสลิมคนหนึ่งที่ต้องรู้จักความจริงด้วยกับเหตุผล หลักฐานและการวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาอัล-กุรอานกล่าวแนะนำว่า وَلاَ تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น[๕๔] กุรอานต้องการแนะนำว่าสูเจ้าจงใช้สติปัญญาเป็นสิ่งนำทางชีวิตเสมอ

ดังนั้นแม้ว่าประชากรของชีอะฮฺจะมีจำนวนน้อยกว่าอหฺลิซซุนนะฮฺ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า แนวทางของชีอะฮฺไม่ถูกต้องเพราะได้ชี้แจงไปแล้วว่าสิ่งถูกผิดนั้นไม่ได้ จำแนกด้วยจำนวนแต่ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เหตุผล และสติปัญญา และถ้าทำการสำรวจประชากรชีอะฮฺ ท่านก็จะพบว่า ๑/๔ ของประชากรมุสลิมนั้นเป็นชีอะฮฺซึ่งอาศัยอยู่ทุกส่วนของโลก[๕๕] ในหมู่ของชีอะฮฺมีอุละมาอ์ นักวิชาการชั้นแนวหน้าทุกสาขาวิชาการ ซึ่งตลอดหน้าประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าชีอะฮฺไม่ได้มีสิ่งใดน้อยหน้าไปกว่าอหฺลิซซุนนะฮฺ มูลฐานหลักของความรู้ต่างๆ นั้นนักวิชาการของชีอะฮฺเป็นผู้ก่อตั้งทั้งสิ้นอาทิเช่น ท่านอบุลอัสวัด ดุอิลีย์ ผู้สถาปนาอิลมฺ นะห์วุ (กฎไวยากรณ์ภาษาอาหรับหรือโครงสร้างประโยคที่ถูกต้อง) ท่านค่อลีล บิน อหฺมัด เป็นผู้สถาปนาวิชาฉันทลักษณ์ ท่านมุอาซ บิน มุสลิม บิน อบีซาเราะฮฺ กูฟีย์เป็นผู้สถาปนาวิชาไวยากรณ์และโครงสร้างที่ถูกต้องของคำและวะลี ท่านอบู อับดิลลาฮฺ มุฮัมมัด บินอิมรอน เป็นผู้สถาปนาวิชาวาทศิลป์[๕๖]

เพื่อการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมถึงสถานภาพทางวิชาการของอุละมาอ์ฝ่ายชีอะฮฺ สามารถศึกษาได้จากหนังสือที่ทรงคุณค่าทางวิชาการเช่น อัซซะรีอะฮฺ อิลา ตะซอนีฟิชชีอะฮฺ ,อะอฺยานุชชีอะฮฺ และถ้าต้องการศึกษาประวัติความเป็นมาของชีอะฮฺ ศึกษาได้จากหนังสือ ตารีคุชชีอะฮฺ




ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์