ชีอะฮฺมีคำตอบ

คำถามที่ ๑๐ :ร็อญอะฮฺคืออะไร และเหตุใดจึงต้องเชื่อ?
คำตอบ :
ร็อญอะฮฺ ในภาษาอาหรับหมายถึง การกลับ ส่วนในความหมายของนักปราชญ์หมายถึง การกลับของคนกลุ่มหนึ่งภายหลังจากความตายและ"ก่อน"การเกิดอวสานของโลก (กิยามะฮฺ) พร้อมกับการปรากฏกายของท่านอิมามามะฮฺดี (อ.) และแก่นแท้ของเรื่องนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับเหตุผลทางสติปัญญาและอัล-กุรอานแต่อย่างใด

ในทรรศนะของอิสลามและศาสนาอื่นๆที่มีความเชื่อต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คือ วิญญาณที่เป็นมุญัรฺร็อด (มิได้เป็นสสารวัตถุ) หรือในบางครั้งเรียกว่า นัฟซ์ เหมือนกัน ซึ่งวิญญาณนั้นภายหลังจากร่างกายได้ดับสลายแล้วมันยังคงดำรงอยู่ตลอดไปอย่างเป็นอมตะ

อีกด้านหนึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ทรงเกรียงไกรนั้นอัล-กุรอานได้กล่าวว่าเป็นผู้ทรงเดชานุภาพแต่เพียงผู้ เดียว และอำนาจของพระองค์ทรงครอบคลุมอยู่เหนือสรรสิ่งทั้งหลาย ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวาง หรือกำหนดให้อำนาจของพระองค์อยู่ในขอบเขตจำกัดได้

ด้วยกับสองบทนำที่กล่าวมาทำให้รู้ได้ว่าเรื่อง ร็อญอะฮฺ จากมุมมองของสติปัญญานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะว่าการกลับมาอีกครั้งของบุคคลกลุ่มดังกล่าว เป็นเรืองที่ง่ายดายกว่าการสร้างให้เกิดขึ้นมาในครั้งแรก

พระผู้อภิบาลผู้ทรงสร้างพวกเขาให้เกิดขึ้นมาในครั้งแรกจากความว่างเปล่า ฉะนั้นการนำพวกเขากลับมาอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าและเป็นไปได้สำหรับพระองค์

บนพื้นฐานความเชื่อดังกล่าวอัล-กุรอานได้กล่าวถึงการกลับมาของคนบางกลุ่มในอดีตไว้ดังนี้

وَإِذْ قُلْتُمْ يَا مُوسَى لَن نُّؤْمِنَ لَكَ حَتَّى نَرَى اللَّهَ جَهْرَةً فَأَخَذَتْكُمُ الصَّاعِقَةُ وَأَنتُمْ تَنظُرُونَثُمَّ بَعَثْنَاكُم مِّن بَعْدِ مَوْتِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَشْكُرُونَ
และ(จงรำลึก) เมื่อพวกเจ้ากล่าวว่า โอ้มูซา ! เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านเด็ดขาด จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮฺอย่างแจ้งชัด ฉะนั้นสายฟ้าได้คร่าชีวิตพวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้ามองดูอยู่ แล้วเราได้ให้พวกเจ้าฟื้นขึ้นมา หลังความตายของพวกเจ้า โดยหวังว่าพวกเจ้าจะสำนึกในพระคุณ[๕๗]

อีกโองการหนึ่งอัล-กุรอานได้กล่าวถึงคำพูดของท่านศาสดาอีซา (อ.) ว่า وَأُحْيِي الْمَوْتَى بِإِذْنِ اللّهِ
และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้นมาด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ[๕๘]

อัล-กุรอานไม่ได้กล่าวว่าเรื่องร็อญอะฮฺจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังได้บ่งบอกถึงการกลับมาของกลุ่มชนบางกลุ่มอีกต่างหาก ดังบางโองการได้กล่าวถึงการกลับมาของคนกลุ่มหนึ่งภายหลังจากได้ตายไปแล้วและ ก่อนการเกิดกิยามะฮฺว่า

وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِّنَ الْأَرْضِتُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لَا يُوقِنُونَوَيَوْمَ نَحْشُرُ مِن كُلِّ أُمَّةٍ فَوْجًا مِّمَّن يُكَذِّبُ بِآيَاتِنَا فَهُمْ يُوزَعُونَ
และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขาเราได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา และ (จงรำลึกถึง) วันที่เราจะเรียกจากทุก ๆ ชาติ มาชุมนุมกันเป็นหมู่คณะ จากผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราโดยที่พวกเขาจะถูกจัดเป็นกลุ่ม ๆ [๕๙]

ก่อนที่จะพิสูจน์ว่าเรื่องร็อญอะฮฺเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญบางอย่างดังต่อไปนี้

๑. บรรดานักอธิบายอัล-กุรอานส่วนมากได้กล่าวว่าสองโองการข้างต้นได้พูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ขณะที่โองการแรกนั้นมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดก่อนกิยามะฮฺ ดังเช่นที่ท่านญะลาลุดดีน ซุยูฏีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรอัดดุรรุลมันษูรฺ โดยรายงานมาจากท่าน อิบนิอบีชัยบะฮฺ จากท่าน หุซัยฟะฮฺว่า การออกมาชุมนุมของปศุสัตย์ทั้งหลายได้เกิดก่อนวันกิยามะฮฺ[๖๐]

๒.ไม่เป็นที่สงสัยว่าในวันกิยามะฮฺนั้นมนุษย์ทั้งหมดจะถูกนำมารวมกัน ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติที่เฉพาะเจาะจง อัล-กุรอานกล่าวถึงการเรียกให้มนุษย์มารวมกันว่า

ذَلِكَ يَوْمٌ مَّجْمُوعٌ لَّهُ النَّاسُ وَذَلِكَ يَوْمٌ مَّشْهُودٌ
วันแห่งการรวบรวมปวงมนุษย์สำหรับพระองค์ และนั่นคือวันแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง[๖๑] ในวันนั้นตัฟซีรอัดดุรุลมันษูรฺได้อธิบายว่าเป็นวันกิยามะฮฺ[๖๒]

وَيَوْمَ نُسَيِّرُ الْجِبَالَ وَتَرَى الْأَرْضَ بَارِزَةً وَحَشَرْنَاهُمْ فَلَمْ نُغَادِرْ مِنْهُمْ أَحَدًا
และ(จงรำลึก) วันที่เราให้เทือกเขาเคลื่อนย้ายไป และเจ้าจะเห็นแผ่นดินราบเรียบ และเราจะชุมนุมพวกเขา ดังนั้น เราจะไม่ให้ผู้ใดออกไปจากพวกเขาเลย[๖๓]

ด้วยการยืนยันของอัล-กุรอานจะพบว่าในวันกิยามะฮฺนั้นมนุษย์ทุกคนจะถูกนำ มารวมกัน ซึ่งคำสั่งนี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงมนุษย์กลุ่มใดเป็นพิเศษ

๓. โองการที่สอง (๘๓/นัมลิ) ได้กล่าวถึงการกลับมาของคนบางกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงจากมวลประชาชาติ ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ทุกคนเพราะโองการกล่าวว่า และ (จงรำลึกถึง) วันที่เราจะเรียกจากทุก ๆ ชาติ มาชุมนุมกันเป็นหมู่คณะ จากผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราโดยที่พวกเขาจะถูกจัดเป็นกลุ่ม ๆ

ดำรัสของอัล-กุรอานได้กล่าวยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้หมายถึงชนทุกหมู่เหล่า เฉพาะบางกลุ่มเท่านั่นเอง

บทสรุปที่ได้ จากบทนำทั้งสามที่ได้กล่าวมาทำให้ทราบว่า การกลับมาของกลุ่มชนที่ปฏิเสธโองการต่างๆ ของอัลลอฮฺซึ่งโองการที่ ๘๓/นัมลิได้กล่าวถึงแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นได้เกิด"ก่อน"วันกิยามะฮฺอย่างแน่นอน (เพราะโองการได้กล่าวว่ามีเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้กลับมา)

ด้วยเหตุนี้ คำกล่าวอ้างของชีอะฮฺที่ว่าจะมีกลุ่มชนกลับมาหลังจากความตาย และก่อนวันกิยามะฮฺนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนด้วยการสนับสนุนของโองการดังกล่าว ซึ่งการกลับมานั้นเรียกว่า ร็อญอะฮฺ นั้นเอง

บรรดาอะอิมมะฮฺ (อ.) ในฐานะของผู้ที่ถูกเทียบเคียงและอธิบายอัล-กุรอานได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้อาทิเช่น
ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
ايام الله ثلاثة يوم القائم و يوم الكرة ويوم الفيامة
วันแห่งอัลลอฮฺนั้นมีสามวัน ได้แก่วันแห่งการปรากฏกายของมะฮฺดี วันแห่งการกลับ (ร็อญอะฮฺ) และวันกิยามะฮฺ

ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวอีกว่า ليس منا من لم يؤمن بكرتنا ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องวันย้อนกลับของเราถือว่าไม่ใช่พวกของเรา

เป็นการดีหากจะกล่าวถึงสองประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
๑. ปรัชญาของการร็อญอะฮฺ
แนวคิดในเรื่องร็อญอะฮฺนั้นมีเป็นเป้าหมายที่สูงส่งอยู่สองประการกล่าวคือ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และการเจริญเติบโตของอิสลาม และเป็นการทำลายความเชื่อที่ตรงกันข้ามกับอิสลาม อีกประการหนึ่งคือ เป็นการมอบรางวัลแก่ผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาที่ประพฤติตนดี และเป็นการลงโทษผู้ปฏิเสธและผู้กดขี่ทั้งหลาย

๒.ความแตกต่างระหว่าง ร็อญอะฮฺกับตะนาซุค (การเวียนว่ายตายเกิด)
สิ่งจำเป็นที่ต้องกล่าว ณ ตรงนี้คือความเชื่อเรื่องร็อญอะฮฺที่ชีอะฮฺเชื่อนั้นแตกต่างเรื่องการเวียน ว่ายตายเกิดอย่างแท้จริง เพราะแนวคิดในเรื่องดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปฏิเสธเรื่องวัน สิ้นโลก และวันแห่งการตอบแทนผลรางวัล เชื่อว่าโลกนี้มีการเวียนว่ายตลอดไป และแต่ละครั้งนั้นคือการทำซ้ำครั้งก่อนเสมอ

บนพื้นฐานความเชื่อดังกล่าวนี้ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนหลังจากที่ได้ตายแล้วจะกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง ในร่างอื่น ฉะนั้นถ้าเขาเป็นผู้มีความประพฤติปฏิบัติดี วิญญาณของเขาก็จะกลับมาสู่ร่างที่จะพาเขาไปพบกับความสุข แต่ถ้าเขาประพฤติตัวไม่ดี วิญญาณของเขาจะกลับมาสู่ร่างที่จะพาเขาไปพบกับความทุกข์ระทม ซึ่งการเวียนว่ายเช่นนี้ตามความเชื่อของเขาถือว่าเป็นการตอบแทน ขณะที่ผู้ที่ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องร็อญอะฮฺนั้น เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของอิสลาม มีความเชื่อต่อวันกิยามะฮฺ มะอาดและการตอบแทนการกระทำ และไม่เชื่อเรื่องการโยกย้ายวิญญาณจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง ปฏิเสธว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เชื่อว่าจะมีชนกลุ่มหนึ่งได้กลับมาก่อนวันกิยามะฮฺ และหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลโลกซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้เสร็จสิ้นลงพวกเขาก็จะต้องตายไปเหมือนคนอื่น และในวันกิยามะฮฺจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อรอรับการตัดสินเหมือคนอื่นเช่นกัน แต่ไม่เชื่อว่าวิญญาณหนึ่งจะเปลี่ยนไปอยู่อีกร่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตามๆ แนวคิดของชีอะฮฺ ร็อญอะฮฺเป็นความเชื่อที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอัล-กุรอาน เหมือนกับความเชื่อในเรื่องอื่นที่บรรดามุสลิมทั้งหลายมีความเชื่อกันอยู่ ซึ่งเรื่องร็อญอะฮฺนั้นไม่ใช่ความเชื่อของชีอะฮฺฝ่ายเดียว แต่เป็นความเชื่อที่มุสลิมทุกคนต้องเชื่อเพราะเป็นหลักการที่ปรากฏอยู่ใน อัล-กุรอาน

คำถามที่ ๑๑ :ชะฟาอะฮฺที่ชีอะฮฺมีความเชื่อนั้นหมายถึงอะไร?
คำตอบ :
ชะฟาอะฮฺเป็นอุศูล (หลักการ) ที่ชัดเจนของอิสลาม ทุกกลุ่มและทุกนิกายในอิสลามต่างยอมรับหลักการนี้บนพื้นฐานของอัล-กุรอานและ ฮะดีซของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของผลลัพธ์ก็ตาม แก่นแท้ของชะฟาอะฮฺหมายถึงมนุษย์ที่มีเกียรติยิ่ง ณ อัลลอฮฺมีความใกล้ชิดและมีตำแหน่งอันทรงเกียรติ พวกเขาได้วอนของต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ให้พระองค์ทรงอภัยในความผิดบาป หรือทรงเลื่อนชั้นตำแหน่งให้คนอื่นท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

أَعطيتُ خمسا..وأُعطيتُ الشَّفاعة فادّخرتها لامّتي
พระองค์อัลลอฮฺ ทรงประทานให้กับฉัน ๕ อย่าง.....ทรงประทานชะฟาอะฮฺให้กับฉัน เพื่อฉันจะได้มอบสิ่งนี้แก่อุมมัตของฉัน[๖๔]

ขอบข่ายของชะฟาอะฮฺ
จากทัศนะของอัล-กุอานชะฟาอะฮฺเป็นหลักการหนึ่งที่ไม่มีเงื่อนไข (กัยด์) ชะฟาอะฮฺจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ให้ชะฟาอะฮฺได้รับอนุญาตจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) เสียก่อน กลุ่มชนที่สามารถให้ชะฟาอะฮฺได้นอกจากต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง เป็นผู้นอบน้อมและมีความใกล้ชิดเป็นพิเศษต่อพระองค์ อัล-กุรอานกล่าวว่า

لَا يَمْلِكُونَ الشَّفَاعَةَ إِلَّا مَنِ اتَّخَذَ عِندَ الرَّحْمَنِ عَهْدًا
พวกเขาไม่มีอำนาจในการชะฟาอะฮฺ นอกจากผู้ที่ได้ทำสัญญาไว้กับพระผู้ทรงกรุณาปรานี[๖๕]

อีกโองการหนึ่งกล่าวว่า
يَوْمَئِذٍ لَّا تَنفَعُ الشَّفَاعَةُ إِلَّا مَنْ أَذِنَ لَهُ الرَّحْمَنُوَرَضِيَ لَهُ قَوْلًا
วันนั้น การชะฟาอะฮฺ จะไม่เกิดประโยชน์อันใด นอกจากผู้ที่พระผู้ทรงกรุณาปรานีทรอนุญาตแก่เขา และพระองค์ทรงพอพระทัยในคำพูดของเขาเท่านั้น[๖๖]

๒.บุคคลทีจะได้รับชะฟาอะฮ ต้องมีคุณสมบัติเพียงพอในการรับชะฟาอะฮฺด้วย หมายถึงมีความความสัมพันธ์ทางอีมานดีกับอัลลอฮฺมีจิตวิญญาณที่แนบแน่นกับผู้ ประทานชะฟาอะฮฺด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าบรรดากาเฟรทั้งหลายที่ไม่มีอีมานกับอัล ลอฮฺ หรือมุสลิมบางคนที่กระทำความผิดบาปต่อพระองค์ เช่นมุสลิมที่ไม่ดำรงนมาซ ไม่ปฏิบัติตามกฎชัรอีย์ของพระองค์ จิตวิญญาณของเขามิได้แนบแน่นต่อผู้ประทานชะฟาอะฮฺ

อัล-กุรอานได้กล่าวถึงผู้ที่ไม่ปฏิบัตินามซ และไม่เชื่อในวันตอบแทนดังนี้ว่า

فَمَا تَنفَعُهُمْ شَفَاعَةُ الشَّافِعِينَ
ดังนั้นการชะฟาอะฮฺของบรรดาผู้มีชะฟาอะฮฺจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่พวก เขา[๖๗]

อัล-กุรอานกล่าถึงพวกกดขี่ว่า

مَا لِلظَّالِمِينَ مِنْ حَمِيمٍ وَلَا شَفِيعٍ يُطَاعُ
ไม่มีมิตรที่สนิทสนมสำหรับบรรดาผู้อธรรม และไม่มีผู้อนุเคราะห์คนใดที่จะถูกเชื่อฟัง[๖๘]

ปรัชญาของชะะฟาอะฮฺ

การชะฟาอะฮฺเหมือนกับการเตาบะฮฺ เป็นหวังแห่งการมีความหวังสำหรับผู้ที่หลงทางและได้กระทำบาป และเขาได้ละทิ้งสิ่งเหล่านั้น ช่วงชีวิตที่เหลือเขาได้กลับตัวกลับใจเป็นบ่าวที่ดี เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เพราะผู้ที่ได้กระทำความผิดบาปเมื่อ เขามีความรู้สึกว่าเขาตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด(ไม่ใช่ทุกเงื่อนไข)เขา สามารถขอชะฟาอะฮฺแก่ผู้ทีสามารถให้ชะฟาอะฮฺแก่เขาได้ แต่ต้องพยายามรักษาพรมแดนนี้เอาไว้ให้มั่นคงและทำในสิ่งที่ดีกว่า

ผลลัพธ์ของชะฟาอะฮฺ

บรรดานักตัฟซีร (ผู้อธิบายอัล-กุรอาน) มีควมเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องที่ว่า ชะฟาอะฮฺนั้นคือการอภัยในความผิดบาป หรือว่าการยกระดับฐานันดรของบุคคลนั้น แต่เมื่อพิจารณาที่พระวัจนะของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ที่กล่าวว่า ชะฟาอะฮฺของฉันสำหรับคนที่กระทำความผิดบาปใหญ่ ถือว่าทัศนะแรกถูกต้อง

انّ شفاعتي يوم القيامة لأهل الكبائر من أمتي
ชะฟาอะฮฺของฉันในวันกิยามะฮฺนั้ สำหรับประชาชาติของฉันผู้ที่ทำความผิดบาปใหญ่[๖๙]

คำถามที่ ๑๒ : การขอชะฟาอะฮฺจากผู้ที่มีสิทธิ์ให้ชะฟาอะฮฺเป็นชิริก(การตั้งภาคีต่อพระเจ้า)หรือไม่?
คำตอบ :
คำถามที่ได้ถามมานั้น ทำให้รุ้ว่าการชะฟาอะฮฺเป็นสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) แต่เพียงผู้เดียว อัล-กุรอานกล่าวว่า

قُل لِّلَّهِ الشَّفَاعَةُ جَمِيعًا
จงประกาศเถิดว่า อัลลอฮฺผู้ทรงสิทธิ์ในการชะฟาอะฮฺทั้งหมด[๗๐]

ด้วยเหตุนี้การขอชะฟาอะฮฺจากผู้อื่นที่นอกจากอัลลอฮฺ หรือการขออำนาจเด็ดขาดของพระองค์จากผู้บ่าว และในความเป็นจริงการขอเช่นนี้เท่ากับเป็นการภักดีต่อสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ ซึ่งย่อมไม่สอดคล้องกับหลักเตาฮีดที่ว่าด้วยอิบาดะฮฺ ?

จุดประสงค์ของ ชิริก ตรงนี้ไม่ได้เป็นการทำชิริกในซาต (อาตมันสากล) หรือการสร้าง (คอลิกียะฮฺ) หรือการบริบาลของพระองค์ แต่เป็นชิริกในอิบาดะฮฺ

แน่นอนการอธิบายประเด็นดังกล่าวต้องอาศัยความละเอียดอ่อนในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการภักดีและการอิบาดะฮฺ ซึ่งทุกคนทราบดีว่า การอธิบายความหมายของอิบาดะฮฺไม่ได้อยู่ในอำนาจของเราเพื่อว่าจะได้สามารถมอบความนอบน้อมทั้งหลายแก่สรรพสิ่งถูกสร้าง หรือเรียกขอทุกความต้องการจากปวงบ่าว อัล-กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องของมะลาอิกะฮฺที่สัจดะฮฺท่านศาสดาอาดัม (อ.) ว่า

فَأِذَا سَوَّيتُهُ وَنَفَخْتُ فِيْهِ مِنْ رُوْحِى فَقَعُوا لَهُ سَاجِدِيْن فَسَجَدَ الْمَلاَئِكَة كُلّهُمْ أجْمَعِيْنَ
ต่อมาเมื่อฉันได้บันดาลเขาครบสมบูรณ์ ฉันได้เป่าวิญญาณของฉันลงไปบนเขาพวก แล้วทั้งหมดก็ก้มลงกราบคารวะแก่เขา ดังนั้นมะลาอิกะฮฺทั้งหมดก็ก้มคารวะโดยดี[๗๑]

แม้ว่าการกราบนั้นพระองค์อัลลอฮฺจะเป็นผู้สั่งก็ตามแต่เมื่อพิจารณาจากกระทำ จะเห็นว่าบรรดามลาอิกะฮฺไม่ได้ทำอิบาดะฮฺต่อท่านอาดัม เพราะมิเช่นนั้นพระองค์จะไม่สั่งเช่นนั้นเด็ดขาด

เช่นกันเรื่องราวของบุตรท่านศาสดายะอฺกูบและแม้ตัวของท่านก็มิได้สัจดะฮฺท่านศาสดายูสุฟ(อ.)อัล-กุรอานกล่าวว่า

وَرَفَعَ أَبَوَيْهِ عَلَى الْعَرْشِ وَخَرُّواْ لَهُ سُجَّدًا
และเขาได้เชิญบิดามารดาขึ้นบนบังลังก์ และทั้งหมดได้ทรุดกายลงคารวะท่านศาสดายูสุฟ[๗๒]

ถ้าการนอบน้อมดังกล่าวเป็นการอิบาดะฮฺต่อท่านศาสดายูสุฟละก็เราคงจะไม่เห็นท่านยะอฺกูบในฐานะของศาสดาท่านหนึ่งที่บริสุทธิ์กระทำเช่นนั้น และท่านก็คงจะไม่พอใจการกระทำของบุตรของท่านอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามไม่มีการนอบน้อมใดที่จะสูงส่งเกินไปกว่าการสสัจดะฮฺ

ด้วยเหตุนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องแยกความเข้าใจเกี่ยวกับการนอบน้อมหรือ การวอนขอจากผู้อื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ออกจากอิบาดะฮฺ แก่นแท้ของอิบาดะฮฺหมายถึง การที่มนุษย์ได้คำนึงถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺ และได้ทำการเคารพภักดีต่อพระองค์ สิ่งอื่นที่นอกเหนือจากนี้ล้วนเป็นมัคลูกของพระองค์ทั้งสิ้น (สิ่งที่พระองค์ได้อุบัติขึ้นมา) คำนึงถึงภารกิจของพระองค์อย่างเช่น การบริบาล การสร้าง และการอภัยในความผิดบาปของปวงบ่าวเป็นวาญิบสำหรับพระองค์แต่ถ้าการเคารพของ เราที่มีต่อบุคคลหรือสิ่งอื่นโดยที่ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นพระเจ้า หรือไม่ได้คิดถึงภารกิจต่างๆ ของเขาว่าเป็นภารกิจของพระผู้อภิบาลการนอบน้อม และแสดงความเคารพเช่นนี้ ก็เหมือนและไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการคารวะนอบน้อมของมวลมลาอิกะฮฺที่มีต่อ ท่านศาสดาอาดัม (อ.) การคารวะของบุตรแห่งยะอฺกูบที่มีต่อท่านศาสดายูสุฟ

เกี่ยวกับคำถามที่ถามนั้นถ้าเมื่อใดก็ตามผู้ขอคิดว่าสิทธิในการให้ชะฟาอะฮฺเป็นของผู้ให้ชะฟาอะฮฺแต่เพียงอย่างเดียว และผู้ให้สามารถให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขอีกทั้งยังสามารถอภัยในความผิดบาปได้ อีกต่างหาก การเชื่อเช่นนี้ถือว่าเป็นชิริกอย่างแน่นอน เพราะผู้นั้นได้วอนขอภารกิจของพระองค์จากคนอื่น แต่ถ้าพบว่ามีชนกลุ่มหนึ่งที่เป็นบ่าวที่บริสุทธิ์ของพระองค์มิใช่เจ้าของ การชะฟาอะฮฺ แต่ได้รับอนุญาตในขอบเขตจำกัดจากพระองค์อัลลอฮฺให้ทำการชะฟาอะฮฺในบาปความ ผิดของคนอื่น ซึ่งสิ่งสำคัญของเงื่อนไขคือการได้รับอนุญาต และความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ (ซบ.) ฉะนั้นการชะฟาอะฮฺเช่นนี้จากบ่าวที่บริสุทธิ์ของอัลลอฮฺ ย่อมไม่ได้หมายความเขาเป็นพระเจ้า หรือการมอบหมายภารกิจของพระองค์ให้กับเขา แต่เป็นขอในภารกิจที่เป็นสิทธิและอยู่ในความสามารถของเขา

ในสมัยที่ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ยังมีชีวิตอยู่คนที่ทำความผิดบาปได้ไปหาท่านศาสดาเพื่อขออภัยในความผิดบาป ซึ่งท่านศาสดาก็ไม่ได้แสดงการเป็นชิริกแต่อย่างไรในหนังสือสุนันอิบนิมาญะ ฮฺได้รายงานริวายะฮฺของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ไว้ว่า

أتدرون ما خيرنى ربّى الليلة ؟ قلنا الله ورسوله أعلم. قال فأنه خيرنى بين أن يدخل نصف امتى الجنة و بين الشفاعة فاخترت الشفاعة قلنا يا رسول الله ادع الله ان يجعلنا من اهلها قال هى لكل مسلم.
ท่านรู้ไหมว่า คืนนี้พระผู้อภิบาลของฉันได้ให้ฉันเลือกระหว่างอะไร? พวกเราพูดว่า อัลลอฮฺและร่อซูลเท่านั้นเป็นผู้รู้ดีที่สุด ท่านกล่าวว่า อัลลอฮฺได้ให้ฉันเลือกระหว่างการให้ประชาชาติของฉันครึ่งหนึ่งเข้าสวรรค์กับ การให้ชะฟาอะฮฺ ซึ่งฉันได้เลือกการให้ชะฟาอะฮฺ พวกเราพูดว่า โอ้ยาร่อซูลโปรดขอต่ออัลลอฮฺ ได้โปรดชะฟาอะฮฺให้พวกเราเป็นคนดี ท่านได้กล่าวว่า การชะฟาอะฮฺเป็นของมุสลิมทุกคน[๗๓]

ฮะดีซดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์ว่าเหล่าบรรดาสาวกของท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้ขอการชะฟาอะฮฺจากท่านศาสดา

อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَلَوْ أَنَّهُمْ إِذ ظَّلَمُواْ أَنفُسَهُمْ جَآؤُوكَ فَاسْتَغْفَرُواْ اللّهَ وَاسْتَغْفَرَ لَهُمُ الرَّسُولُ لَوَجَدُواْ اللّهَ تَوَّابًا رَّحِيمًا
และมาตรว่าพวกเขาได้อธรรมแก่ตัวเอง พวกเขาได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮฺ และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาได้พบว่าอัลลอฮฺนั้น คือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ[๗๔]

อีกโองการหนึ่งพระองค์กล่าวว่า
قَالُواْ يَا أَبَانَا اسْتَغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا إِنَّا كُنَّا خَاطِئِينَ
พวกเขาพูดว่า โอ้บิดาของเราโปรดอภัยโทษในความผิดของพวกเรา แท้จริงพวกเราเป็นผู้ผิดพลาด[๗๕]

ท่านศาสดายะอฺกูบได้ให้สัญญาการอภัยโทษแก่พวกเขา ซึ่งจะเห็นว่าท่านศาสดาไม่ได้ทำให้พวกเขาเป็นชะรีกแต่อย่างไรอัล-กุรอานกล่าวว่า

قَالَ سَوفَ أسْتغْفَر لَكُمْ رَبّى اِنَّهُ هُوَ الْغَفُور الرَّحِيمُ
กล่าวว่า ฉันจะขออภัยต่อพระผู้อภิบาลของฉันแก่พวกเจ้า แท้จริงพระองค์ทรงอภัย อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง[๗๖]

คำถามที่ ๑๓ : การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺเป็นชิริกหรือไม่?
คำตอบ :
หากพิจารณาด้วยสติปัญญา ในมุมมองของอัล-กุรอานจะพบว่ามนุษย์ทุกคน ตลอดจนสรรพสิ่งหลายบนโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม ในการกำเนิดล้วนต้องพึ่งพิงพระองค์อัลลอฮฺทั้งสิ้น และในการดำรงอยู่ก็ต้องอาศัยพระองค์อีกเช่นกัน อัล-กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

يَا أيُّهَا النَّاسُ أنْتُمُ الفُقُرَاءُ اِلَى الله والله هُوَ الغَنِىُّ الْحَمِيْد
โอ้มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าเป็นผู้ขัดสนต้องพึ่งพิงอัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺนั้นทรงมั่งมีอย่างล้นเหลือ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ[๗๗]

وَمَا النَّصْرُ إِلاَّ مِنْ عِندِ اللّهِ الْعَزِيزِ الْحَكِيمِ
และการช่วยนั้น เฉพาะจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น[๗๘]

إيَّاكَ نَعْبُدُ وإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกเราเคารพภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกเราขอความช่วยเหลือ[๗๙]

ดังนั้นเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับคำตอบข้างต้น เราขออธิบายว่า

๑. แนวทางแรก มนุษย์ได้ขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ด้วยกันหรือจากสรรพสิ่งอื่น โดยถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอำนาจอิสระ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงพระผู้เป็นเจ้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ (ซบ.) ในทำนองนี้เป็นชิริกอย่างแน่นอน อัล-กุรอานกล่าวว่า

قُلْ مَن ذَا الَّذِي يَعْصِمُكُم مِّنَ اللَّهِ إِنْ أَرَادَ بِكُمْ سُوءًا أَوْأَرَادَ بِكُمْ رَحْمَةً وَلَا يَجِدُونَ لَهُم مِّن دُونِ اللَّهِ وَلِيًّا وَلَا نَصِيرًا
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ถ้าอัลลอฮฺประสงค์จะทรงลงโทษพวกท่าน ใครเล่าจะปกป้องพวกท่านให้หลอดพ้นไปจากอัลลอฮฺ หรือทรงประสงค์จะให้ความเมตตาแก่พวกท่าน และพวกเขาจะไม่พบใครอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ที่จะเป็นผู้คุ้มครองและช่วยเหลือพวกเขา [๘๐]

๒. แนวทางที่สอง ขณะที่เขาขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ด้วยกันนั้น เขาได้คำนึงเสมอว่าผู้นั้นเป็นสิ่งถูกสร้างหนึ่งและต้องอิงอาศัยอัลลอฮฺ (ซบ.) ตลอดเวลา เขาไม่ได้เป็นอิสระไปจากพระองค์ การดำรงอยู่และการมีของเขาล้วนได้รับการสนับสนุนมาจากพระองค์ผู้ทรงเกรียงไกรทั้งสิ้น โดยเชื่อว่าในปัญหาบางอย่างของมนุษย์ อัลลอฮฺทรงประทานการแก้ไขโดยผ่านเขา

บนพื้นฐานความคิดดังกล่าวหากต้องการให้เขาเป็นผู้ช่วยเหลือถือว่าเขาเป็นเพียงสื่อที่พระผู้อภิบาลได้มอบหมายให้เขาเป็นสื่อกลางในการแก้ไขปัญหาหรือสนองตอบความต้องการบางประการแก่มนุษย์ ฉะนั้นการขอความช่วยเหลือทำนองเช่นนี้ในความเป็นจริงเท่ากับเขาได้ขอความช่วยเหลือจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) เพราะพระองค์คือผู้ประทานให้เขาเป็นสื่อในการขจัดปัญหาความต้องการแก่คนอื่น ทรงทำให้เขามีความสามารถ ซึ่งพระองค์คือสาเหตุที่แท้จริง และหากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วจะพบว่าการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ได้วางอยู่บนความช่วยเหลือที่เป็นสาเหตุและมูลเหตุของมัน หมายถึงถ้าหากมนุษย์ไม่ขอความช่วยเหลือจากเขา ชีวิตมนุษย์ก็จะมีแต่ความรันทด ดังนั้นถ้ามนุษย์ได้สัมพันธ์กับพวกเขาบนพื้นฐานของแนวคิดดังกล่าวนั้น ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาคือสื่อของการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ และการมีอยู่ของพวกเขาก็มาจากพระองค์ การช่วยเหลือและการสนับสนุนทั้งหลายของพวกเขามาจากพระองค์ ดังนั้นการขอความช่วยเหลือในทำนองนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับความเป็นเอกะของพระองค์ หรือการเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียวแต่อย่างใด

ถ้าเกษตรกรคนหนึ่งที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า และยอมรับความเป็นเอกะของพระองค์ และเขาต้องอิงอาศัยการช่วยเหลือจากตัวการอื่นๆ ด้วยอย่างเช่น พื้นดิน น้ำ อากาศหรือแม้แต่แสงแดดเพื่อเพราะปลูกเมล็ดพันธ์ของเขา ในความเป็นจริงเท่ากับเขาได้ขอความช่วยเหลือจากพระองค์อัลลอฮฺ เพราะพระองค์คือผู้ประทานให้สิ่งเหล่านั้นมีกำลังและความสามารถเป็นไป ประกอบกับเกษตรกรคนนั้นมีความเลื่อมใสศรัทธาต่ออำนาจและเดชานุภาพของพระองค์ อยู่ก่อนแล้ว

เป็นที่ชัดเจนว่าการขอความช่วยเหลือดังกล่าวนั้น เข้ากันได้อย่างดีกับความเป็นเอกะและการเคารพภักดีกับพระเจ้าองค์เดียว ทว่าอัล-กุรอานเองได้เชิญชวนและสอนเราให้ทำการขอความช่วยเหลือ และอิงอาศัยกับสรรพสิ่งอื่น อาทิเช่น นมาซ และความอดทน อัล-กุรอานกล่าวว่า

وَاسْتَعِينُواْ بِالصَّبْرِ وَالصَّلوةِ
และจงแสวงหาความช่วยเหลือ ด้วยความอดทน และการนมาซ [๘๑]

แน่นอนความอดทนอดกลั้นนั้นเป็นภารกิจของมนุษย์ และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขา อย่างไรก็ตามการขอความช่วยเหลือลักษณะอย่างนี้ไม่ขัดกับความเป็นเอกะของพระองค์แน่นอน




ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์