ชีอะฮฺมีคำตอบ
คำถามที่ ๑๔ :การเรียกร้องความช่วยเหลือจากผู้อื่นถือเป็นการบูชาพวกเขาหรือไม่?
คำตอบ :
สาเหตุที่ทำให้เกิดข้อกังขาดังกล่าวเนื่องจากมีบางโองการที่ได้ห้ามมิให้มีการเรียกหาคนอื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ (ซบ.) อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَاَنَّ المسَا جِدَ لله فَلاَ تَدْعُوا مَعَ اللهِ أَحَدًا
และแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ[๘๒]
وَلاَ تَدْعُ مِن دُونِ اللّهِ مَا لاَ يَنفَعُكَ وَلاَ يَضُرُّكَ
และเจ้าอย่าวิงวอนสิ่งใดอื่นนอกจากอัลลอฮฺที่ไม่อำนวยประโยชน์ และไม่ให้โทษแก่เจ้า[๘๓]
มีมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อว่าโองการเหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันไม่ให้ทำการวิงวอนเรียกร้องต่อบรรดาเอาลิยาอฺ และผู้เป็นกัลญาณชนของพระองค์ภายหลังจากที่พวกเขาได้สิ้นชีวิตไปแล้วซึ่งถือว่าเป็นชิริก
สำหรับความกระจ่างในเรื่องนี้สิ่งจำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจก่อนคือ คำว่าดุอาอฺ และอิบาดะฮฺ หมายถึงอะไร ?
ไม่ต้องสงสัยว่า คำว่าดุอาอฺในภาษาอาหรับหมายถึง การวิงวอน เรียกร้อง ส่วนคำว่า อิบาดะฮฺ หมายถึง การเคารพภักดี ดังนั้นไม่สามารถกล่าวได้ว่าคำสองคำมีความหมายเหมือนกัน หรือความหมายเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่า ทุกๆ การเรียกร้อง และความต้องการเป็นอิบาดะฮฺหรือการเคารพภักดี เพราะว่า
๑. คำว่าดุอาอฺได้ถูกใช้ในอัล-กุรอานมากมายหลายครั้ง แต่ไม่สามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของดุอาอฺหมายถึง การอิบาดะฮฺ เช่นกล่าวว่า
قَالَ رَبِّ إِنِّي دَعَوْتُ قَوْمِي لَيْلًا وَنَهَارًا
ท่านศาสดานูห์กล่าวว่า พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้เชิญชวนประชาชาติของฉัน (ไปสู่การภักดีกับพระองค์) ทั้งกลางวันและกลางคืน [๘๔]
เป็นไปไดไหมที่จุดประสงค์ของท่านศาสดานูห์ (อ.) คือต้องการบอกว่าฉันได้ทำอิบาดะฮฺกับประชาชาติของฉันทั้งกลางวันและกลางคืน
ด้วยเหตุนี้ไม่สามารถพูดได้ว่า ดุอาอฺ กับ อิบาดะฮฺนั้นให้ความหมายเดียวกัน และถ้าเพื่อว่ามีใครได้ของความช่วยเหลือจากท่านศาสดา หรือจากบ่าวที่บริสุทธิ์คนหนึ่งถือว่าได้ทำอิบาดะฮฺกับเขาอย่างนั้นหรือ ? เพราะให้ความหมายดุอาอฺ ครอบคลุมไปถึงการอิบาดะฮฺด้วย
๒ . จุดประสงค์ของดุอาอฺที่ได้กล่าวไว้ในโองการที่นำเสนอมานั้น ไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องทั้งหมด แต่ให้ความหมายว่าเป็นการเรียกร้องที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจให้ความหมายว่าเป็นการอิบาดะฮฺก็ได้ เพราะโองการเหล่านี้ได้ลงเกี่ยวกับเรื่องการเคารพบูชารูปปั้น ซึ่งพวกเขาถือว่าเทวรูปเหล่านั้นเป็นเทพเจ้าน้อยสำหรับพวกเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการให้ความเคารพต่อเทวรูป และการร้องขอความช่วยเหลือในฐานะที่เป็นผู้มีสิทธิ์ในการให้ชะฟาอะฮฺ และอภัยในความผิดบาป และอื่นๆ ตลอดจนเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีความอิสระในการตอบสนองทั้งโลกนี้และโลกหน้า ตามที่ได้มีผู้ร้องขอมา การกระทำด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ ทุกๆ การร้องขอจากสิ่งที่มีอยู่จึงถือว่าเป็นอิบาดะฮฺ ดังที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการร้องขอของพวกเขา บนความเชื่อที่ว่าสิ่งเหล่านั้นมีเหมาะสมต่อการอิบาดะฮฺ อัล-กุรอานกล่าวว่า
فَمَا أَغْنَتْ عَنْهُمْ آلِهَتُهُمُ الَّتِي يَدْعُونَ مِن دُونِ اللّهِ مِنشَيْءٍ
และบรรดาพระเจ้าที่พวกเขาวิงวอนขอนอกเหนือไปจากอัลลอฮฺนั้น จะไม่อำนวยประโยชน์อันใดให้แก่พวกเขาเลย [๘๕]
ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าโองการที่กำลังกล่าวถึง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังพูดถึงอยู่แต่อย่างไร เรื่องที่กำลังกล่าวถึงคือ การร้องขอของบ่าวคนหนึ่งจากบ่าวอีกคนหนึ่ง โดยที่ไม่ได้เชื่อว่าเขาเป็นพระเจ้าผู้อภิบาล หรือเป็นผู้มีสิทธิ์สมบูรณ์ในภารกิจที่เกี่ยวข้องนั้นทั้งโลกนี้และโลกหน้า ทว่ายอมรับว่าเขาเป็นเพียงบ่าวที่มีเกียรติ ณ พระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) และเขาได้ถูกเลือกให้เป็นศาสดาหรืออิมาม และถูกให้สัญญาว่าดุอาอฺของเขาที่ขอให้มวลประชาชาติทั้งหลายเป็นที่ยอมรับ อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَلَوْ أَنَّهُمْ إِذ ظَّلَمُواْ أَنفُسَهُمْ جَآؤُوكَ فَاسْتَغْفَرُواْ اللّهَ وَاسْتَغْفَرَ لَهُمُ الرَّسُولُ لَوَجَدُواْ اللّهَ تَوَّابًا رَّحِيمًا
แม้ว่าพวกเขาได้เขาอธรรมแก่ตัวเองได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮฺ และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขา แน่นอนพวกเขาย่อมพบว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ [๘๖]
๓. โองการที่ได้กล่าวมาจะเห็นว่า จุดประสงค์ของดุอาอฺ ไม่ได้หมายถึงการร้องขอเพียงอย่างเดียว ทว่าเป็นการร้องขอในเชิงของอิบาดะฮฺ ด้วยเหตุนี้จะพบว่าอีกโองการหนึ่งหลังจากคำว่า ดุอาอฺ แล้วในความหมายของดุอาอฺนั้นเองจะเปลี่ยนเป็นคำว่า อิบาดะฮฺทันที่อย่างเช่นโองการที่ว่า
وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ إِنَّ الَّذِينَ يَسْتَكْبِرُونَعَنْ عِبَادَتِي سَيَدْخُلُونَ جَهَنَّمَ دَاخِرِينَ
และพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อฉัน ฉันจะตอบรับสำหรับพวกเจ้า แท้จริงบรรดาผู้โอหังต่อการเคารพภักดีฉันนั้น พวกเขาจะเข้าไปอยู่ในนรกอย่างต่ำต้อย [๘๗]
หากพิจารณาจะพบว่าในตอนแรกของโองการจะใช้คำว่า อัดอูนี แต่หลังจากนั้นโองการได้ใช้คำว่า อิบาดะตี ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าจุดประสงค์ของการ ดุอาอฺ หรือการขอความช่วยเหลือต่อสิ่งที่อยู่ต่อหน้า ซึ่งพวกเขาได้ยอมรับว่านั้นเป็นพระเจ้าของพวกเขา
สรุป จากบทนำทั้งสามที่ได้กล่าวมานั้นสามารถสรุปได้ดังนี้ว่า จุดประสงค์หลักของอัล-กุรอานจากโองการเหล่านี้ คือการปฏิเสธ การเชิญชวนของกลุ่มที่เคารพบูชาเทวรูปทั้งหลาย โดยถือว่าเทวรูปเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นหุ้นส่วนของพระเจ้า หรือเป็นผู้บริบาล หรือ เป็นเจ้าของชะฟาอะฮฺ การนอบน้อมทุกประเภท การขอความช่วยเหลือ การขอชะฟาอะฮฺ และการขอในสิ่งที่ตนปรารถนาจากสิ่งนั้นโดยถือว่านั่นคือพระเจ้าองค์น้อย สำหรับตน ที่มีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพวกบูชาเทวรูปเชื่อว่าส่วนหนึ่งของภารกิจที่เกี่ยวข้องกับโลกนี้และโลก หน้าพระองค์ทรงมอบหมายในพระเจ้าองค์น้อยเหล่านั้นเป็นผู้จัดการ โองการดังกล่าวนี้มีความสัมพันธ์กับการขอความอนุเคราะห์จากจิตวิญญาณที่ บริสุทธิ์ในทัศนะของผู้ให้การเชิญชวนถือว่าพวกเขาประสบความสำเร็จกว่าคนอื่น ทว่าเขาคือบุคคลที่พระองค์ทรงให้ความรักเป็นพิเศษกระนั้นหรือ ?
อัล-กุรอานกล่าวว่า وأنَّ المسا جِدَ لله فلا تد عوا مع الله احداً
มัสญิดนั้นสำหรับอัลลอฮฺ ดังนั้นจงอย่าเรียกร้องผู้ใดร่วมกับพระองค์[๘๘]
จุดประสงค์ คือการเรียกร้อง หรือวอนขอในลักษณะของการอิบาดะฮฺ เพราะพวกอาหรับในสมัยญาฮิลียะฮฺนั้น จะทำการวอนขอต่อเทวรูปต่างๆ ตลอดจนจากมลาอิกะฮฺ และญินทั้งหลาย ดังนั้นจุดประสงค์ของโองการจึงหมายถึง การวอนขอจากตัวบุคคลหรือสรรพสิ่งอื่นซึ่งถือว่าสิ่งนั้นคู่ควรกับการเคารพภักดี และไม่ต้องสงสัยเลยว่าการวอนขอจากสิ่งเหล่านี้ และด้วยกับความเชื่อดังกล่าวเท่ากับเป็นการสักการะสิ่งนั้นแน่นอน
แต่สิ่งที่สงสัยคือ โองการดังกล่าวเกี่ยวข้องอันใดกับการดุอาอฺกับบุคคล ซึ่งผู้ขอไม่ได้คิดว่าเขาผู้นั้นเป็นเทพเจ้า หรือผู้บริหาร หรือเป็นพระผู้อภิบาลแต่อย่างไร เพียงแค่ยอมรับว่าเขาคือบ่าวที่ดีที่สุดของพระองค์เท่านั้น
บางคนอาจคิดว่าการวอนขอจากเอาลิยาอฺที่ดีและประเสริฐของอัลลอฮฺ (ซบ.) สามารถทำได้เฉพาะในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่เท่านั้น การวอนขอภายหลังจากที่เขาตายไปแล้วถือว่าเป็นชิริก
สามารถอธิบายได้ดังนี้
๑. เราได้ขอจากวิญญาณอันบริสุทธิ์ของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) ซึ่งอัล-กุรอานได้กล่าวว่าพวกเขายังไม่ตาย และมีความสูงส่งกว่าบรรดาชุฮะดาทั้งหลาย พวกเขายังดำเนินชีวิตอยู่ ณ อาลัมบัรฺซัค พวกเราไม่ได้ขอจากเรือนร่างที่ฝังอยู่ในดิน และแม้ว่าในบางครั้งท่านอาจเห็นว่ามีชีอะฮฺยืนขอดุอาอฺที่ข้างหลุมฝังศพของ บรรดาท่านเหล่านั้น เนื่องจากว่าสภาพดังกล่าวจะทำให้การติดต่อด้วยจิตด้านในของเรามีความกระตือ รือร้นมากกว่า ประกอบกับริวายะฮฺได้กล่าวว่า การขอดุอาอฺ ณ สถานที่ดังกล่าวจะทำให้ดุอาอฺถูกตอบรับเร็วขึ้น
๒. การมีชีวิตอยู่ หรือความตายของพวกเขาไม่สามารถนำมาเป็นเงื่อนไขของการเป็นชิกร์ หรือเตาฮีดได้ ขณะที่สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือ รูปแบบของการเป็นชิกร์ และเตาฮีด ไม่ใช่เรื่องที่ว่าดุอาอฺจะมีประโยชน์หรือไม่มี
แน่นอนเรื่องเกี่ยวกับการวิงวอนในทำนองนี้จะมีประโยชน์หรือไม่มี จะทำการอธิบายในที่ของมัน อินชาอัลลอฮฺ
คำถามที่ ๑๕ : บะดาอ์หมายถึงอะไร และเพราะเหตุใดชีอะฮ์จึงมีความเชื่อในบะดาอ์?
คำตอบ :
คำว่า บะดาอ์ ในปทานุกรมอาหรับหมายถึง การปรากฏ การเปิดเผย
ในความหมายของนักปราชญ์ชีอะฮฺหมายถึง การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมมนุษย์ด้วยกับการกระทำคุณงามความดี (อะมัลซอลิห์)
บะดาห์ เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งในนิกายชีอะฮฺวางอยู่บนพื้นฐานอัล-กุรอาน ตรรก และสติปัญญา
ทัศนะของอัล-กุรอานกล่าวว่า มนุษย์ไม่มีสิทธิ์เลือกสรรชะตากรรมของตนเอง แต่ว่าวิถีทางที่นำไปสู่ความเจริญผาสุกนั้นเปิดสำหรับเขาตลอดเวลา เขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้ด้วยกลับการไปสู่แนวทางสัจธรรม และการประพฤติคุณงามความดี ด้วยเหตุนี้เองจะเห็นว่าบะดาห์เป็นความเชื่อที่เป็นแก่นประการหนึ่งของอิส ลาม อัล-กุรอานกล่าวว่า
إِنَّ اللّهَ لاَ يُغَيِّرُ مَا بِقَوْمٍ حَتَّى يُغَيِّرُواْ مَا بِأَنْفُسِهِمْ
แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงประชาชาติใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตนเอง [๘๙]
อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَلَوْ أَنَّ أَهْلَ الْقُرَى آمَنُواْ وَاتَّقَواْ لَفَتَحْنَا عَلَيْهِمبَرَكَاتٍ مِّنَ السَّمَاءِِ وَالأَرْضِ
และหากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธาและมีความยำเกรง แน่นอนเราจะเปิดประตูความจำเริญแห่งฟกฟ้าและแผ่นดินให้แก่พวกเขา[๙๐]
อัล-กุรอานกล่าวว่า
فَلَوْلَا أَنَّهُ كَانَ مِنْ الْمُسَبِّحِينَلَلَبِثَ فِي بَطْنِهِ إِلَى يَوْمِ يُبْعَثُونَ
หากเขามิได้เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้แซ่ซ้องสดุดีแล้ว แน่นอน เขาจะอยู่ในท้องปลาจวบจนกระทั่งวันฟื้นคืนชีพ[๙๑]
จากโองการสามารถเข้าใจได้ว่า ท่านศาสดายูนุส (อ.) นั้นต้องอยู่ในท้องปลา (อันเป็นที่คุมขังพิเศษ) สำหรับท่านตลอดไปจนถึงวันกิยามะฮฺ แต่เป็นเพราะว่าความประพฤติที่ดี (ท่านทำการแซ่ซ้องสดุดี) ชะตากรรมของท่านศาสดา (อ.) จึงเปลี่ยนแปลงไปและได้รับการช่วยเหลือในที่สุด
ความจริงดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของอิสลาม ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า
ان الرجل ليحرم الرزق بالذنب يصيبه ولا يرد القدر الا الدعاء و لا يزيد فى العمر الا البر
คนๆ หนึ่งริสกี (ปัจจัยยังชีพ) จะถูกห้ามสำหรับเขา เนื่องจากการกระทำความผิดบาป และไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้ได้ นอกจากดุอาอ์ และอายุของเขาจะไม่ยืนนอกจากการปฏิบัติความดี[๙๒]
จากริวายะฮฺดังกล่าวและริวายะฮฺอื่นๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกันนี้สรุปได้ว่า มนุษย์เราจะถูกยับยั้งริสกีต่างๆ เนื่องจากการกระทำความผิดบาป แต่ทว่าด้วยกับการประพฤติคุณงามความดีอย่างเช่น การขอดุอาอ์ การบริจาคทาน และการทำนุบำรุงศาสนาของพระองค์ให้มีชีวิตเสมอสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตและทำให้มีอายุยืน
สรุป
ทั้งโองการและริวายะฮฺ สรุปได้ว่ามาตรว่ามนุษย์นั้นได้ประพฤติตนตามใจปรารถนา (หากพิจารณาที่สาเหตุ และตัวการที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์)ความประพฤติของเขานั่นเองที่เป็นตัวการ สำคัญทำให้ชะตากรรมเปลี่ยนแปลงไป หรือในบางครั้งอาจมีบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮฺ (ซบ.) อย่างเช่น ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) หรือบรรดาอิมาม (อ.) ได้แจ้งข่าวให้เขาทราบล่วงหน้าหมายถึงว่า ถ้าเขายังประพฤติเช่นนั้นต่อไป เขาต้องพบกับชะตากรรมที่รออยู่อย่างแน่นอน แต่ผลจากการเปลี่ยนแปลงการกระทำอย่างฉับพลันจะทำให้ชะตากรรมของเขาเปลี่ยน ทันที ดังนั้นจะเห็นว่าแก่นแท้ของเรื่องดังกล่าว ที่วางอยู่บนพื้นฐานของอัล-กุรอาน ซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และสติปัญญาที่สมบูรณ์ ชีอะฮฺเรียกว่า การบะดาห์
หากพิจารณาไปตามความเป็นจริงจะพบว่า บะดาห์ ไม่ใช่สิ่งที่มีจากชีอะฮฺฝ่ายเดียว หรือเป็นการตีความของผู้รู้ชีอะฮฺเท่านั้น ทว่าเรื่องนี้ได้มีบันทึกอยู่ในตำราของอหฺลิซซุนนะฮฺ และท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้เช่นกันอาทิเช่นคำพูดที่กล่าวว่า
بَدَ ا للهُ عزّ و جَلّ ان يبتليهم
อัลลอฮฺทรงยกเลิกการทดสอบสำหรับพวกเขา[๙๓]
สิ่งจำเป็นที่ต้องกล่าวถึงคือ การบะดาห์ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ความรู้ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากพระองค์ทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วถึง ความประพฤติที่เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ และตัวการที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อันเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การบะดาห์ อัล-กุรอานกล่าวว่า
يَمْحُو اللّهُ مَا يَشَاءُ وَيُثْبِتُ وَعِندَهُ أُمُّ الْكِتَابِ
อัลลอฮทรงยกเลิกสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงยืนหยัดให้มั่น (สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์) และแม่บทแห่งคัมภีร์อยู่ ณ พระองค์[๙๔]
ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺ ผู้ทรงปรีชาญาณและทรงพลานุภาพ เมื่อพระองค์ทรงบะดาห์นั้น แก่นแท้ของสิ่งดังกล่าวเป็นที่ล่วงรู้ตั้งแต่แรก ณ พระองค์ แค่ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นให้มนุษย์ได้รับรู้ ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
ما بد الله فى شيء الا كان فى علمه قبل ان يبدوله
ไม่มีสิ่งใดปิดบังสำหรับอัลลอฮฺ นอกจากว่าพระองค์ได้ล่วงรู้สิ่งนั้นตั้งแต่แรกแล้ว[๙๕]
ปรัชญาของการบะดาห์
ไม่เป็นที่สงสัยหากมนุษย์สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองได้ แน่นอนเขาต้องทำให้อนาคตของเขาสูงส่งและดี ความพากเพียรและการขวนขวายของเขาต้องมีมากและเป็นประโยชน์กว่าที่เป็นอยู่
อีกนัยหนึ่งดังที่กล่าวไปแล้วว่า การชะฟาอะฮฺ และการเตาบะฮฺเป็นความหวังในการช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งแก่นแท้ของการบะดาห์ก็เช่นกันเป็นสาเหตุในการสร้างความสุข และความปิติยินดีแก่มนุษย์ทำให้มีความหวังต่ออนาคตของตนเอง เพราะว่ามนุษย์ทราบดีว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้กำหนดไว้แล้วแก่เขาได้ และยังสามารถกระทำในสิ่งที่ดีกว่าแก่ตนเองได้อีกต่างหาก
คำถามที่ ๑๖ :ชีอะฮฺเชื่อว่าอัล-กุรอานถูกเปลี่ยนแปลงไช่หรือไม่?
คำตอบ :
บรรดานักปราชญ์ทั้งหมดของชีอะฮฺเชื่อว่า อัล-กุรอานซึ่งถือว่าเป็นพระมหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ถูกบิดเบือนแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น อัล-กุรอานที่อยู่ในมือของเราปัจจุบันคืออัล-กุรอานที่ได้ถูกประทานแก่ท่าน ศาสดา (ศ็อลฯ) เมื่ออดีตที่ผ่านมา ไม่มีสิ่งใดเพิ่มเติมลงไปหรือถูกตัดออก ดังเหตุผลที่จะกล่าวต่อไปนี้
๑. พระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) พระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่งได้รับประกันว่าพระองค์จะเป็นผู้ปกป้องคัมภีร์ ศักดิ์สิทธิ์แห่งฟากฟ้าด้วยพระองค์เอง อัล-กุรอานกล่าวว่า
إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ
แท้จริงเราเป็นผู้ประทานอัล-กุรอานลงมา และเราจะเป็นผู้พิทักษ์มันอย่างแน่นอน[๙๖]
เป็นที่ชัดเจนว่าบรรดาชีอะฮฺทั้งหลายนับตั้งแต่ได้ยึดถือว่า อัล-กุรอานคือรัฐธรรมนูญสูงสุดในการดำเนินชีวิตและจากโองการดังกล่าว ชีอะฮฺมีความเชื่อว่า อัล-กุรอานได้รับการปกป้องให้บริสุทธิ์จากการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย
๒. ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของชีอะฮฺท่านอิมามอะลี (อ.) ผู้อยู่ร่วมกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ขณะที่วะฮีย์ได้ถูกประทานลงมา และเป็นผู้จดบันทึกวะฮีย์ ท่านได้กล่าวเชิญชวนให้บรรดามุสลิมทั้งหลายไปสู่อัล-กุรอานฉบับปัจจุบันใน วาระโอกาสต่างๆ ดังคำพุดต่อไปนี้ของท่าน
واعلموا انّ هذا القرآن هو الناصح الذى لايغشّ الهادى الذى لا يضلّ
จงรู้ไว้ว่า แท้จริงอัล-กุรอานเล่มปัจจุบันคือคำตักเตือนที่ไม่มีการบิดเบือน และเป็นคำชี้นำที่ไม่มีการหลงทาง[๙๗]
انّ الله سبحانه لم يعظ أحداُ بمثل هذا القرآن فانّه حبل الله المتين و سببه المبين
แท้จริงแล้วอัลลอฮฺ (ซบ.) ไม่เคยแนะนำผู้ใดเหมือนกับอัล-กุรอาน อัล-กุรอานนั้นเป็นสายเชือกที่มั่นคงของอัลลอฮฺ และเป็นสื่อที่ชัดแจ้งของพระองค์[๙๘]
ثمّ أنزل عليه الكتاب نورا لا تطفا مصابيحه و سراجا لا يخبوا توقده و منهاجا لا يضلّ نهجه..وفرقانا لا يخمد بر هانه
หลังจากนั้นอัลลอฮฺทรงประทานแก่เขา คัมภีร์ที่เป็นนูรฺรัศมีที่ไม่มีวันสิ้นแสง เป็นประทีปที่ไม่มีวันมืดมิด เป็นแนวทางที่ไม่นำไปสู่การหลงทาง และเป็นสิ่งจำแนกความถูกผิดที่ไม่มีวันสิ้นด้วยเหตุผล[๙๙]
จากคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของชีอะฮฺ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าอัล-กุรอานนั้นคือ ประทีปที่ทอแสงไม่มีวันดับจนกว่าจะถึงวันกิยามะฮฺ เป็นแสงสว่างแก่ผู้ที่ปฏิบัติตาม และเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ จะไม่พบว่าอัล-กุรอานเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ปฎิบัติตามหลงทางหรือทำให้พวกเขา ต้องสิ้นหวังในชีวิต
๓. บรรดานักปราชญ์ของชีอะฮฺ เห็นพร้องต้องกันว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า ฉันได้ฝากสิ่งหนักสองสิ่งที่มีค่ายิ่งไว้ในหมู่ของพวกท่าน สิ่งหนึ่งคือคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และอีกสิ่งได้แก่อิตระตีทายาทของฉัน หากพวกท่านได้ยึดมั่นกับทั้งสองพวกท่านจะไม่หลงทางตลอดไป
ฮะดีซษะก่อลัยนฺ เป็นฮะดีซมุตะวาติรของอิสลาม (เชื่อถือได้) ทั้งซุนนะฮฺ และชีอะฮฺได้รายงานฮะดีซดังกล่าวไว้ จากคำพูดดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่าในทัศนะของชีอะฮฺนั้น เชื่อว่าอัล-กุรอานฉบับปัจจุบันมีความสมบูรณ์ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากว่าถ้าหากอัล-กุรอานมีการเปลี่ยนแปลงการยึดมั่นกับอัล-กุรอานไม่ สามารถนำทางและขจัดข้อสงสัยต่างๆ ได้ ทว่ายังเป็นสาเหตุนำไปสู่การหลงทางอีกต่างหาก ซึ่งบทสรุปดังกล่าวนี้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฮะดีซษะก่อลัยนฺ
๔. ริวายะฮฺของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ฝ่ายชีอะฮฺ ที่บรรดาผู้รู้และนักปราชญ์ได้รายงานริวายะฮฺเหล่านั้นเอาไว้นั้น ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าอัล-กุรอานคือมาตรฐานของการจำแนกสิ่งถูกผิด สัจธรรมและความเท็จทั้งหลาย หมายความว่าแม้แต่ริวายะฮฺต่างๆ ที่ได้มาถึงเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องด้วยกับอับ-กุรอาน ถ้าริวายะฮฺนั้นเข้ากับอัล-กุรอานได้ถือว่าถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นถือว่าไม่ถูกต้องและใช้ไม่ได้
ริวายะฮฺที่กล่าวถึงเรื่องนี้มีอยู่มากมาย ทั้งที่บันทึกอยู่ในตำราฟิกฮฺ และตำราเล่มอื่นๆ ซึ่งจะขอหยิบยกบางริวายะฮฺเท่านั้น ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
قال الصادق (ع) : مَالَمْ يُوافِقَ مِنَ الْحَدِيْثِ الْقُرآنَ فَهُوَ زُخْرُفُ
ถ้าหากคำพูดใดไม่เข้ากับอัล-กุรอานถือว่าคำพูดนั้นไร้ประโยชน์และไม่ถูก ต้อง[๑๐๐]
ริวายะฮฺดังกล่าวเป็นที่กระจ่างว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้นเกิดกับอัล-กุรอาน ด้วยเหตุนี้อัล-กุรอานคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ จึงสามารถเป็นมาตรฐานในการวัดความถูกผิด และจำแนกสัจธรรมกับความเท็จได้ตลอดไปจนถึงวันแห่งการอวสานของโลก
๕.นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของชีอะฮฺ ผู้อยู่ร่วมกับความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและการเติบโตของชีอะฮฺ ต่างยอมรับว่าอัล-กุรอานนั้นบริสุทธิ์จากการเปลี่ยนแปลง แน่นอนการนับจำนวนนักปราชญ์ทั้งหมดเหล่านั้นเป็นเรื่องยากลำบาก ฉะนั้นจะขอหยิบยกบางท่านที่เป็นที่มักคุ้นของสังคมอาทิเช่น
๕.๑ อบูญะอฺฟัรฺ มุฮัมมัด บิน อะลี บิน ฮุเซน บาบูยะฮฺ กุมมีย์ มีฉายานามว่า เชคศุดูก เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๓๘๑ พูดว่า ความเชื่อของเราที่มีต่ออัล-กุรอานอันเป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า เป็นคัมภีร์ที่ความเท็จไม่อาจย่างกายเข้าไปสู่ และเป็นคัมภีร์ที่ได้รับการประทานลงมาจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์คือผู้พิทักษ์รักษาคัมภีร์[๑๐๑]
๕.๒ ซัยยิด มุรฺตะฏอ อะลี บิน ฮุเซน มูซาวี อะละวี มีฉายานามว่า อะละมุลฮุดา เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๔๓๖ พูดว่า มีศ่อฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งอาทิเช่น อับดุลลอฮฺ บิน มัสอูด , อุบัย บินกะอฺบ์ และคนอื่นๆ ได้อ่านกุรอานทั้งเล่มต่อหน้าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) สิ่งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าอัล-กุรอานได้ถูกรวบรวมไว้แล้วในสมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) โดยไม่มีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลง[๑๐๒]
๕.๓ อบูญะอฺฟัรฺ มุฮัมมัด บิน ฮะซัน ฎูซีย์ มีฉายานามว่า เชคฏออิฟะฮฺ เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๔๖๐ พูดว่า คำพูดที่กล่าวว่า การเพิ่มเติม หรือการแต่งขึ้น ไม่ใช่ถ้อยคำที่มีในอัล-กุรอาน เนื่องจากบรรดามุสลิมทั้งหลายเห็นพร้องตรงกันว่า อัล-กุรอานนั้นบริสุทธิ์จากการเพิ่มเติมและการเปลี่ยนแปลง ส่วนเรื่องการเพิ่มเติม นิกายส่วนใหญ่ของอิสลามต่างไม่ยอมรับ คำพูดที่ว่าไม่มีการเพิ่มเติมนั้นเหมาะสมกับนิกายของเรา ซึ่งท่านซัยยิดมุรฺตะฎอ ยอมรับและสนับสนุนคำพูดนี้ ประกอบกับควมหมายทั่วไปของริวายะฮฺก็กล่าวเช่นนี้เหมือนกัน จะมีบางคนทั้งซุนนีและชีอะฮฺเท่านั้นที่พูดถึงริวายะฮฺ ที่กล่าวว่าอัล-กุรอานไม่สมบูรณ์ หรือพูดว่า โองการอัล-กุรอานได้สลับเปลี่ยนที่กัน ซึ่งริวายะฮฺเหล่านั้นเป็นริวายะฮฺประเภท คะบัรฺวาฮิด หมายถึงไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานทางวิชาการและการปฏิบัติได้ ดีกว่าให้ละทิ้งริวายะฮฺประเภทนี้[๑๐๓]
๕.๔ อบูอะลี ฏ่อบัรฺ ร่อซี เจ้าของตับซีรฺ มัจมะอุลบะยาน พูดว่า เรื่องการเพิ่มเติมความหมายของอัล-กุรอาน มุสลิมส่วนใหญ่มีทัศนะตรงกันว่าเป็นไปได้ ส่วนการเพิ่มโองการของอัล-กุรอานมีสาวกบางคนของชีอะฮฺ และนิกายหัชวียะฮฺจากอหฺลิซซุนนะฮฺได้กล่าวอ้างถึงริวายะฮฺเหล่านั้น ซึ่งสิ่งที่นิกายชีอะฮฺยอมรับและถือว่าเป็นสิ่งถูกต้องขัดแย้งกับความคิด เหล่านี้ๅ[๑๐๔]
๕.๕ อะลี บิน ฏอวูซ ฮิลลี มีฉายานามว่า ซัยยิดิบนิฏอวูซ เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ.ที่ ๖๖๔ พูดว่า ทัศนะของชีอะฮฺไม่ยอมรับว่าอัล-กุรอานได้ถูกเปลี่ยนแปลง[๑๐๕]
๕.๖ เชคซัยนุดดีน อามิลี เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๘๗๗ ได้อธิบายโองการ
إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ
แท้จริงเราเป็นผู้ประทานอัล-กุรอานลงมา และเราจะเป็นผู้พิทักษ์มันอย่างแน่นอน[๑๐๖] หมายถึงอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นผู้ปกป้องรักษาอัล-กุรอานจากการเปลี่ยนแปลง การเพิ่มเติม และการตัดทอนด้วยพระองค์เอง[๑๐๗]
ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์