ชีอะฮฺมีคำตอบ

๕.๗ กอฎี ซัยยิด นูรุดดีน ตุสตะรีย์ เจ้าของตำรา อิห์กอกุลฮัก เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๑๐๑๙ พูดว่า คำพูดที่ใส่ร้ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺว่า ชีอะฮฺมีความเชื่อว่าอัล-กุรอานถูกเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับของชีอะฮฺทั้งหลายเนื่องจากว่ามีชีอะฮฺบางคนเท่านั้นที่มีความเชื่อทำนองนี้ ชีอะฮฺส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเหล่านี้ และไม่เคยสนใจกับคำพูดของเขา[๑๐๘]

๕.๘ มุฮัมมัด บิน ฮุเซน มีฉายานามว่า บะฮาอุดดีน อามีลี เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๑๐๓๐ พูดว่า สิ่งที่ถูกต้องคืออัล-กุรอานบริสุทธิ์จากการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง และการที่มีบางคนพูดว่า นามของท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ถูกตัดออกจากอัล-กุรอานนั้นไม่เป็นที่ยอมรับของนักปราชญ์และผู้รู้ทั้งหลาย และบุคคลใดก็ตามที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ และริวายะฮฺจะพบว่าอัล-กุรอานมีความมั่นคงในความถูกต้องด้วยกับการยืนยันของริวายะฮฺมุตะวาติรฺ และเหล่าบรรดาศ่อฮาบะฮฺอีกเป็นพันท่าน ซึ่งอัล-กุรอานนั้นได้ถูกรวบรวมตั้งแต่สมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)[๑๐๙]

๕.๙ เฟฎกาชานี เจ้าของตำรา อัล-วาฟีย์ เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๑๐๙๑ หลังจากได้อธิบายถึงโองการที่ว่า

إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ
แท้จริงเราเป็นผู้ประทานอัล-กุรอานลงมา และเราจะเป็นผู้พิทักษ์มันอย่างแน่นอน[๑๑๐] ท่านอธิบายว่า ในสภาพเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่อัล-กุรอานจะถูกเปลี่ยนแปลง หรื่อได้รับการเพิ่มเพติม หรือถูกตัดทอน ประกอบกับริวายะฮฺที่กล่าวว่าอัล-กุรอานถูกเปลี่ยนแปลงนั้นขัดแย้งกับอัล-กุ รอาน ดังนั้นต้องถือว่าริวายะฮฺเหล่านั้นไม่ถูกต้อง อ่อนแอและไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานทางวิชาการหรือการปฏิบัติได้[๑๑๑]

๕.๑๐ เชคหูรฺ อามีลี เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. ที่ ๑๑๐๔ พูดว่า ประวัติศาสตร์ และริวายะฮฺกล่าวว่า อัล-กุรอานมีความมั่นคงในความถูกต้องด้วยกับการยืนยันของริวายะฮฺมุตะวาติรฺ และเหล่าบรรดาศ่อฮาบะฮฺอีกเป็นพันท่าน ซึ่งอัล-กุรอานนั้นได้ถูกรวบรวมตั้งแต่สมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)[๑๑๒]

๕.๑๑ มุฮักกิก กาชิฟุลฆิฏออ์ ได้กล่าวไว้ในตำราที่มีชื่อเสียงของท่าน กัชฟุลฆิฏออ์ ว่า ไม่ต้องสงสัยอัล-กุรอานได้ถูกปกป้องรักษาให้บริสุทธิ์จากการเปลี่ยนแปลงทั้ง หลายโดยพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งอัล-กุรอานและนักปราชญ์ในทุกยุคทุกสมัยได้กล่าวยืนยันเอาไว้ และมีความคิดขัดแย้งกับกลุ่มชนที่เชื่อว่าอัล-กุรอานไม่สมบูรณ์ อีกทั้งไม่สนใจในคำพูดเหล่านั้น

๕.๑๒ ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ผู้นำการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านได้พูดว่า บุคคลใดก็ตามที่รู้และเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับการรวบรวมอัล-กุรอาน การปกป้องรักษา การบันทึก และการอ่าน แน่นอนเท่ากับเขาได้ยืนยันถึงความถูกต้องและเป็นการปฏิเสธการถูกเปลี่ยนแปลง ของอัล-กุรอาน ส่วนริวายะฮฺที่ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของอัล-กุรอาน ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้ ประกอบกับเป็นริวายะฮฺที่ไม่เป็นที่รู้จักและบ่งชี้ถึงการถูกอุปโลกน์ขึ้นมา หรือความหมายโดยรวมของริวายะฮฺเหล่านั้นมีความหมายในเชิงของการตะอ์วีล และตัฟซีรอัล-กุรอานหรือความหมายอื่นๆ ฉะนั้นหากศึกษาประวัติศาสตร์ของอัล-กุรอานตลอดทุกศตวรรษที่ผ่านมาจะพบว่า อัล-กุรอานที่ถูกต้องคือฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนที่มีการอ่านแตกต่างกันนั้น เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสมัยใหม่ไม่เกี่ยวข้องกับอัล-กุรอานที่ท่านญิบ รออีลได้นำลงมาให้ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แม้แต่นิดเดียว[๑๑๓]

บทสรุป มุสลิมโดยทั่วไปทั้งซุนนี และชีอะฮฺมีความเชื่อว่าอัล-กุรอานที่อยู่ในมือของมุสลิมปัจจุบัน คือคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ปราศจากการเปลี่ยนแปลงการเพิ่มเติม และการตัดทอน

จากคำอธิบายข้างต้นเป็นที่ชัดเจนว่า คำใส่ร้ายที่มีต่อชีอะฮฺ สามารถยุติได้และเป็นคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง แต่ถ้าจะพูดว่าการอ้างถึงริวายะฮฺที่อ่อนแอเหล่านั้นมาจากชีอะฮฺโดยเฉพาะ เราขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงเพราะมันไม่ได้มีขอบเขตจำกัดอยู่แค่ชีอะ ฮฺกลุ่มน้อย หากแต่ว่ามีนักตัฟซีรอัล-กุรอานฝ่ายอหฺลิซซุนนะฮฺบางท่านได้อ้างอิงถึงริวา ยะฮฺที่อ่อนแอเหล่านั้นอาทิเช่น
๑. อบูอับดุลลาฮฺ มุฮัมมัด บิน อหฺมัด อันศอรี กุรฺฎุบี ได้กล่าวถึงริวายะฮฺไว้ในตัฟซีรของตน โดยรายงานมาจาก อบูบักร์ อันบาซีย์ จาก อุบัย บินกะอฺบ์ว่า ซูเราะฮฺอะห์ซาบในสมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มีมากกว่าที่มีอยู่ ๗๓ โองการเท่ากับจำนวนโองการในซูเราะฮฺบะก่อเราะฮฺ (๒๘๖ โองการ) และโองการรัจม์ ก็อยู่ในซูเราะฮฺนี้ด้วย[๑๑๔] แต่ตอนนี้ไม่เห็นร่องรอยของโองการเหล่านั้นในซูเราะฮฺนี้อีกต่อไป

และในหนังสือเล่มดังกล่าวยังมีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺว่าซูเราะฮฺอหฺซาบ ในสมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มีจำนวน ๒๐๐ โองการแต่หลังจากได้รวบรวมเป็นเล่มแล้ว ฉันไม่เห็นโองการที่มีมากไปกว่านี้[๑๑๕]

๒. เจ้าของตำรา อัลอิตติกอน พูดว่า จำนวนซูเราะฮฺต่างๆ ในมุศฮัฟของอุบัยมีถึง ๑๑๖ ซูเราะฮฺซึ่งสองซูเราะฮฺที่ไม่ได้มีอยู่ในอัล-กุรอานปัจจุบันคือ ซูเราะฮฺหัฟด์ และค้อลอ์[๑๑๖]
ขณะที่มุสลิมทุกคนทราบดีว่าอัล-กุรอานมีทั้งสิ้น ๑๑๔ ซูเราะฮฺ นามของซูเราะฮฺที่กล่าวไว้ในมุศฮัฟของท่านอุบัยนั้นไม่ได้ปรากฏในอัล-กุรอาน ฉบับปัจจุบัน

๓. ฮับตุลลอฮฺ บิน สลามะฮฺ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ นาซิควัลมันซูค โดยรายงานมาจากท่านอนัส บินมาลิก ซึ่งพูดว่า ในสมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ฉันได้อ่านอัล-กุรอานซูเราะฮฺหนึ่งที่มีความยาวเท่ากับซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ และฉันได้ท่องจำโองการของซูเราะฮฺนั้นไว้เพียงโองการเดียวเท่านั้น ซึ่งโองการนั้นได้แก่

لَو اَنُّ لاِبًنِ آدُمُ وُا دِيَانِ مِنُ الذَّهُبِ لاَ تَبًغَي اِلَيًهِمُا ثًالِثًا وُلُوً اَنُّ لَه ثَالِثَا لاَ تَبًغَي اِلَيًهُا رُابِعَا وُلاَ يُمًلأ جُوًفُ اِبًنِ آدُمُ اِلاّ التُرُاب وُيُتُوب اللّه عُلَي مُنً تَابُ
ขณะที่มุสลิมทั้งหมดทราบดีว่าโองการดังกล่าวไม่มีอยู่ในอัล-กุรอาน และหากพิจารณาด้านวาทศิลป์ด้วยแล้วไม่เข้ากับวาทศิลป์ของอัล-กุรอานแม้แต่ นิดเดียว

๔. ญะลาลุดดีน ซุยูฏีย์ ได้บันทึกไว้ในตัฟซีร อัดดุรุลมันษูรฺ โดยรายงานมาจากท่าน อุมัรฺ บิน ค็อฏฏอบว่า ซูเราะฮฺอะห์ซาบมีความยาวเท่ากับซูเราะฮฺบะก่อเราะฮฺ และในนั้นมีโองการ ร็อญม์ อยู่ด้วย[๑๑๗]
ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่ามีผู้รู้ส่วนน้อยทั้งซุนนีและชีอะฮฺได้รายงานริวายะฮฺที่อ่อนที่กล่าวว่าอัล-กุรอานถูกเปลี่ยนแปลง ซึ่งริวายะฮฺเหล่านี้ผู้รู้และนักปราชญ์ทั้งซุนนีและชีอะฮฺส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ ทว่าโองการ และริวายะฮฺที่ถูกต้อง และมุตะวาติรฺของอิสลาม ประกอบกับบรรดาศ่อฮาบะฮฺจำนวนเป็นพันท่าน และนักปราชญ์ของอิสลามส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า อัล-กุรอานฉบับปัจจุบันไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มีการเพิ่ม หรือลดจำนวนโองการแต่อย่างไร

คำถามที่ ๑๗ : ทัศนะของชีอะฮฺเกี่ยวกับศ่อฮาบะฮฺเป็นอย่างไร?
คำตอบ :
ทัศนะของชีอะฮฺเกี่ยวกับผู้ที่ได้พบเห็นท่านศาสดา (ศ็อลฯ)หรืออยู่ร่วมกับท่านแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน และก่อนที่จะทำการอธิบายถึงกลุ่มเหล่านั้น อันดับแรกควรให้ความหมายของคำว่าศ่อฮาบะฮฺก่อน

การให้ความหมายคำว่า ศ่อฮาบะฮฺของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) โดยรวมๆ นั้นมีหลายทัศนะด้วยกันแต่จะเลือกเฉพาะทัศนะที่มักคุ้นเท่านั้น อาทิเช่น
๑. สะอีด บิน มุซัยยับ พูดว่า ศ่อฮาบะฮฺ หมายถึงผู้ที่ได้อยู่ร่วมกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) หนึ่งปี หรือสองปี และได้ออกสงครามร่วมกับท่านศาสดาครั้งหรือสองครั้ง[๑๑๘]

๒. วากิดีย์ พูดว่า บรรดานักปราชญ์ส่วนมากพูดว่าผู้ที่ได้เห็นท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ยอมรับอิสลาม พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำสั่งสอน และมีความพอใจกับศาสนาพวกเราถือว่าเขาเป็นศ่อฮาบะฮฺของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียวก็ตาม[๑๑๙]

๓. มุฮัมมัด บิน อิสมาอีล บุคอรีย์ พูดว่า มุสลิมคนใดก็ตามได้พบกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และอยู่ร่วมกับท่าน ถือว่าเขาเป็นศ่อฮาบะฮฺ [๑๒๐]
๔. อหฺมัด บิน ฮัมบัล พูดว่า บุคคลใดก็ตามได้อยู่ร่วมกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือน หนึ่งวัน หรือหนึ่งชั่วโมงก็ตาม หรือได้พบกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ถือว่าเขาเป็นศ่อฮาบะฮฺ [๑๒๑]
ในหมู่นักปราชญ์อหฺลิซซุนนะฮฺอะดาลัต ศ่อฮาบะฮฺถือว่าเป็นที่ยอมรับและเป็นแก่นที่มีสำคัญอย่างยิ่ง หมายถึงบุคคลใดได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านศาสดาถือว่า อาดิลทั้งสิ้น (อาดิล หมายถึงคนดีมีความยุติธรรม และไม่ทำความผิดบาป)[๑๒๒]

สิ่งสำคัญที่จะกล่าวต่อไปคือ ศ่อฮาบะฮฺในความหมายของอัล-กุรอานและในทัศนะของชีอะฮฺ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกนามของศ่อฮาบะฮฺเอาไว้ซึ่งมีมากเกินกว่า ๑๒,๐๐๐ ท่าน และในหมู่ของพวกเขามีความแตกต่างกัน ไม่เป็นที่สงสัยสำหรับชนกลุ่มแรกที่อยู่ร่วมกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ย่อมได้รับเกียรติยศที่สูงส่ง และมุสลิมในรุ่นต่อมาต่างให้ความเคารพและให้เกียรติพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นมุสลิมรุ่นแรกที่ได้ร่วมก่อร่างสร้างตัว และนำธงชัยแห่งอิสลามปักลง ณ แคว้นอาหรับในสมัยนั้น อัล-กุรอานได้กล่าวยกย่องผู้ที่ปักธงเกียรติยศแห่งอิสลามว่า

لَا يَسْتَوِي مِنكُم مَّنْ أَنفَقَ مِن قَبْلِ الْفَتْحِ وَقَاتَلَ أُوْلَئِكَأَعْظَمُ دَرَجَةً مِّنَ الَّذِينَ أَنفَقُوا مِن بَعْدُ وَقَاتَلُوا
ไม่เท่าเทียมกันในหมู่พวกเจ้า ผู้บริจาคและได้ต่อสู้บนหนทางของอัลลอฮฺ ก่อนการพิชิต (นครมักกะฮฺ) ชนเหล่านั้นย่อมมีฐานะสูงส่งกว่าบรรดาผู้บริจาคและต่อสู้บนทางของอัลลอฮฺ หลังการพิชิต (นครมักกะฮฺ)[๑๒๓]

ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าการได้อยู่ร่วมกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) นั้นนอกจากจะถือว่าเป็นเกียรติยศแล้ว ยังทำให้จิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีความเข็มแข็งและเป็นหลักประกันไปจนตลอดอายุไขของเขา เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้เป็นการดีหากเราจะพิจารณาจากอัล-กุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์และเป็นธรรมนูญสูงสุดที่บรรดามุสลิมทั้งหลายต่างยอมรับ

ศ่อฮาบะฮฺในทัศนะอัล-กุรอาน
อัล-กุรอานได้แบ่งกลุ่มชนที่ได้พบและอยู่ร่วมกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ)ออกเป็นสองกลุ่มดังนี้

กลุ่มที่หนึ่ง
บุคคลที่อัล-กุรอานได้สรรเสริญและยกย่องพวกเขา และถือว่าพวกเขาคือผู้วางรากฐานที่มั่นคงและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังแก่อิสลาม ซึ่งขอหยิบยกอัล-กุรอานที่กล่าวถึงศ่อฮาบะฮฺกลุ่มนั้นไว้ว่า
๑. เป็นชนกลุ่มแรกของอิสลาม

وَالسَّابِقُونَ الأَوَّلُونَ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالأَنصَارِ وَالَّذِينَاتَّبَعُوهُم بِإِحْسَانٍ رَّضِيَ اللّهُ عَنْهُمْ وَرَضُواْ عَنْهُ وَأَعَدَّلَهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي تَحْتَهَا الأَنْهَارُ خَالِدِينَ فِيهَا أَبَدًا ذَلِكَ الْفَوْزُ الْعَظِيمُ
บรรดาชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ จากพวกมุฮาญิรีนและอันศัอรฺ และบรรดาผู้ดำเนินรอยตามพวกเขาด้วยการทำความดี อัลลอฮฺทรงพอพระทัยพวกเขา และพวกเขาก็พอใจพระองค์ และพระองค์ทรงเตรียมบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง ไว้สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง[๑๒๔]

๒. กลุ่มชนที่ให้บัยอัตใต้ต้นไม้

لَقَدْ رَضِيَ اللَّهُ عَنِ الْمُؤْمِنِينَ إِذْ يُبَايِعُونَكَ تَحْتَ الشَّجَرَةِفَعَلِمَ مَا فِي قُلُوبِهِمْ فَأَنزَلَ السَّكِينَةَ عَلَيْهِمْ وَأَثَابَهُمْفَتْحًا قَرِيبًا
อัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยผู้ศรัทธาที่ให้สัตยาบันกับเจ้าใต้ต้นไม้ พระองค์ทรงล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขา ดังนั้นพระองค์ได้ประทานความสงบมั่นแก่พวกเขา และทรงประทานชัยชนะอันใกล้แก่พวกเขา[๑๒๕]

๓. กลุ่มผู้อพยพ

لِلْفُقَرَاء الْمُهَاجِرِينَ الَّذِينَ أُخْرِجُوا مِن دِيارِهِمْ وَأَمْوَالِهِمْيَبْتَغُونَ فَضْلًا مِّنَ اللَّهِ وَرِضْوَانًا وَيَنصُرُونَ اللَّهَ وَرَسُولَهُأُوْلَئِكَ هُمُ الصَّادِقُونَ
เป็นของบรรดาผู้อพยพที่ขัดสนซึ่งถูกขับไล่ออกบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา และได้ทอดทิ้งทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อแสวงหาความโปรดปราน และความปราโมทย์จากอัลลอฮฺ พวกเขาได้ช่วยเหลืออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ชนเหล่านั้นพวกเขาคือผู้สัตย์จริง[๑๒๖]

๔. สหายแห่งการพิชิต

مُّحَمَّدٌ رَّسُولُ اللَّهِ وَالَّذِينَ مَعَهُ أَشِدَّاءُ عَلَى الْكُفَّارِرُحَمَاءُ بَيْنَهُمْ تَرَاهُمْ رُكَّعًا سُجَّدًا يَبْتَغُونَ فَضْلًا مِّنَ اللَّهِ وَرِضْوَانًا سِيمَاهُمْ فِي وُجُوهِهِم مِّنْ أَثَرِ السُّجُودِ
มุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา เป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญเหนือพวกปฏิเสธ เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขา เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้โค้งคารวะ ก้มกราบเพื่อแสวงหาความโปรดปราน และความปราโมทย์จากอัลลอฮฺ เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขาเนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด[๑๒๗]

กลุ่มที่สอง
อีกกลุ่มหนึ่งบุคคลที่ได้เห็นท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แต่เป็นพวกสองหน้า จิตใจของพวกเขาเป็นโรค อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงสภาพของพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจน และทรงปกป้องศาสดาของพระองค์จากพวกเขา ณ ตรงนี้จะขอหยิบยกบางโองการเพื่อความชัดเจน
๑. กลุ่มพวกกลับกลอก (มุนาฟิกีน)ที่เป็นที่รู้จัก

إِذَا جَاءَكَ الْمُنَافِقُونَ قَالُوا نَشْهَدُ إِنَّكَ لَرَسُولُ اللَّهِ وَاللَّهُ يَعْلَمُ إِنَّكَ لَرَسُولُهُ وَاللَّهُ يَشْهَدُ إِنَّ الْمُنَافِقِينَ لَكَاذِبُونَ
เมื่อพวกสับปลับ (มุนาฟิกูน) มาหาเจ้า พวกเขาพูดว่า เราขอปฏิญาณว่า แท้จริงท่านเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงรู้ดีว่า แท้จริงเจ้านั้นเป็นรอซูลของพระองค์ และอัลลอฮฺทรงยืนยันว่า พวกมุนาฟิกีนนั้นเป็นผู้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน[๑๒๘]

๒.กลุ่มพวกกลับกลอก (มุนาฟิกีน) ที่ไม่เป็นที่รู้จัก

وَمِمَّنْ حَوْلَكُم مِّنَ الأَعْرَابِ مُنَافِقُونَ وَمِنْ أَهْلِ الْمَدِينَةِمَرَدُواْ عَلَى النِّفَاقِ لاَ تَعْلَمُهُمْ نَحْنُ نَعْلَمُهُمْ سَنُعَذِّبُهُممَّرَّتَيْنِ ثُمَّ يُرَدُّونَ إِلَى عَذَابٍ عَظِيمٍ
และส่วนหนึ่งจากอาหรับชนบทผู้ที่พำนักอยู่รอบๆ ท่านนั้น เป็นพวกกลับกลอก และพวกชาวมะดีนะฮ์ (ชาวเมือง) เช่นกันเป็นพวกดื้อรั้นในการฝ่าฝืน เจ้าไม่รู้จักธาตุแท้ของพวกเขา แต่เรารู้จักพวกเขาดี เราจะลงโทษพวกเขาสองครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกนำไปสู่การลงโทษอันยิ่งใหญ่[๑๒๙]

๓. พวกที่จิตใจป่วยไข้

وَإِذْ يَقُولُ الْمُنَافِقُونَ وَالَّذِينَ فِي قُلُوبِهِم مَّرَضٌ مَّا وَعَدَنَااللَّهُ وَرَسُولُهُ إِلَّا غُرُورًا
เมื่อพวกมุนาฟิกีนและพวกที่จิตใจของพวกเขาป่วยไข้พูดว่า อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์มิได้สัญญาสิ่งใดแก่เรานอกจากการหลอกลวง[๑๓๐]

๔. ผู้ที่ประพฤติความผิดบาป

وَآخَرُونَ اعْتَرَفُواْ بِذُنُوبِهِمْ خَلَطُواْ عَمَلاً صَالِحًا وَآخَرَ سَيِّئًا عَسَى اللّهُ أَن يَتُوبَ عَلَيْهِمْ إِنَّ اللّهَ غَفُورٌ رَّحِيمٌ
และมีชนกลุ่มอื่นที่สารภาพความผิดของพวกเขา พวกเขาประกอบความดีปะปนกับความชั่ว โดยหวังว่าอัลลอฮฺจะอภัยโทษแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺคือ ผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ[๑๓๑]

นอกจากโองการอัล-กุรอานแล้วยังมีริวายะฮฺอีกเป็นจำนวนมากจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ที่ทำการประณามศ่อฮาบะฮฺบางคน และจะขอกล่าวบางริวายะฮฺเพื่อสร้างความเข้าใจดังนี้
๑. อบูหาซิม ได้รายงานจากท่าน สะฮฺล์ บิน สะอัดว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

أنا فرطكم علي الحوض من ورد شرب و من شرب لم يظمأ ابدا و ليردنّ علي أقوامٌ أعرفهم و يعرفونني ثمّ يحال بيني و بينهم
ฉันจะส่งพวกท่านไปยังสระน้ำ บุคคลใดที่ได้เข้าไปและได้ดื่มน้ำนั้น ผู้ที่ได้ดื่มน้ำเขาจะไม่กระหายน้ำต่อไปตลอดกาล และมีชนกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาหาฉันซึ่งฉันรู้จักพวกเขา และพวกเขาก็รู้จักฉันอย่างดี หลังจากนั้นได้ถูกปิดกั้นระหว่างฉันกับพวกเขา

อบูหาซิมพูดว่า ขณะที่ฉันกำลังอ่านฮะดีษบทดังกล่าวอยู่ นุอ์มาน บิน อบี อะยาช ได้ยินและพูดว่า ท่านได้ยินสะฮฺล์ พูดเช่นนี้หรือ ? ฉันตอบว่า ใช่ เขาพูดว่า ฉันขอยืนยันว่า ฉันก็ได้ยินท่านอบูสะอีด คุดรีย์ พูดเช่นนี้เหมือนกันและเขายังพูดต่ออีกว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

اِنُّهم منّي فيقال انّك لا تدري ما أحدثوا بعدك فأقول سحقا سحقا لمن بدّل بعدي
พวกเขามาจากฉัน ดังนั้นท่านได้กล่าวว่า เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาได้ทำอะไร หลังจากฉันได้จากไป ฉะนั้นฉันขอพูดว่าจงพินาศเถิด จงพินาศเถิด (จงห่างไกลจากความเมตตา) ผู้ที่ได้เปลี่ยนแปลง (อห์กาม) หลังจากฉัน[๑๓๒]

จากประโยคที่ว่า ฉันรู้จักพวกเขา และพวกเขาก็รู้จักฉันอย่างดี กับประโยคที่กล่าวว่า ผู้ที่ได้เปลี่ยนแปลงหลังจากฉัน ทำให้รู้ว่ากลุ่มชนที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กำลังกล่าวถึงนั้นหมายถึง บรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่าน ซึ่งพวกเขาได้อยู่ร่วมกับท่านศาสดาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และฮะดีษดังกล่าวนี้ท่านบุคอรีย์ และท่านมุสลิมได้รายงานได้ด้วยเช่นกัน

๒. บุคอรีย์ และมุสลิมได้รายงานจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ว่า

يردّ عليّ يوم القيامه رهطُ من اصحابي-أو قال من أمتي-فيحلؤن عن الحوض فأقول يا ربّ أصحابي فيقول انّه لا علم لك بما أحدثوا بعدك انّهم ارتدّوا علي أدبارهم القهقري
ในวันกิยามะฮฺจะมีศ่อฮาบะฮฺของฉันกลุ่มหนึ่ง –หรือกล่าวว่าประชาชาติของฉัน-ได้เข้ามาหาฉัน และได้ออกห่างจากสระน้ำ ฉันได้พูดว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน พวกเขาเป็นศ่อฮาบะฮฺของฉัน ดังนั้นพระองค์ตรัสว่า เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาได้ทำอะไรหลังจากเจ้าได้จากไป พวกเขาได้ตกศาสนากลับไปสู่สภาพเดิมสมัยญาฮิลของพวกเขา[๑๓๓]

สรุป

จากโองการและริวายะฮฺของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) สรุปได้ว่า บรรดาศ่อฮาบะฮฺ หรือผู้ที่ได้เห็น หรือผู้ที่อยู่ร่วมกับท่านศาสดานั้น ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งมีบางกลุ่มได้รับเกียรติยศ ถูกยกย่องเป็นผู้ยกระดับจิตใจของตนเอง และเป็นผู้ประกอบคุณงามความดีการรับใช้ของพวกเขาเป็นสาเหตุทำให้อิสลามเจริญ เติบโต และมีความเข็มแข็ง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นพวกกลับกลอก มุนาฟิกีน พวกตีสองหน้า จิตใจเป็นโรค และกระทำความผิดบาปตั้งแต่แรก (เพื่อความชัดเจนมากยิ่งขึ้นโปรดศึกษาอัล-กุรอานซูเราะฮฺมุนาฟิกีน)

ด้วยเหตุนี้ทัศนะของชีอะฮฺเกี่ยวกับศ่อฮาบะฮฺนั้นเป็นไปตามทัศนะของ อัล-กุรอาน และฮะดีษของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มิได้เป็นไปตามความรู้สึก

คำถามที่ ๑๘ : จุดประสงค์ของมุตอะฮฺคืออะไร และทำไมชีอะฮฺจึงถือว่าหะลาล?
คำตอบ :
นิกาห์ หมายถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างสามีกับภรรยา ซึ่งในบางครั้งเป็นการอยู่ร่วมกันตลอดไปโดยไม่มีเงื่อนไขในการอ่านอักด์นิกาห์ และในบางครั้งเป็นการนิกาห์เช่นกันแต่มีกำหนดเวลาเป็นเครื่องกำหนดการอยู่ร่วมกันของสามีภรรยา อย่างไรก็ตามทั้งสองนิกาห์ต้องทำไปตามเงื่อนไขทางชัรอีย์ จะแตกต่างกันตรงที่ถาวรกับมีกำหนดเวลาเท่านั้น ส่วนในรายระเอียดอื่นๆ คล้ายกันทั้งหมด

ฉะนั้นเงื่อนไขสำหรับอักด์มุตอะฮฺนั้นเหมือนกับอักด์ถาวรดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
๑. ทั้งหญิงและชายต้องไม่มีอุปสรรคทางชัรอีย์ในการแต่งงานอย่างเช่น เป็นพี่น้องทางสายเลือด หรือโดยสาเหตุ และอุปสรรคชัรอีย์อื่นๆ มิเช่นนั้นแล้วอักด์จะเป็นโมฆะ (บาฎิล)
๒. มะฮฺรียะฮฺที่ได้ตกลงกันระหว่างทั้งสองต้องถูกกล่าวในขณะอ่านอักด์นิกาห์
๓. กำหนดเวลาในการแต่งงานต้องระบุชัดเจน
๔. ต้องทำการอ่านอักด์ตามชัรอีย์
๕. บุตรที่เกิดจากทั้งสองถือว่าเป็นบุตรที่ถูกต้องตามชัรอีย์ เหมือนกับบุตรที่เกิดจากการนิกาห์ถาวรซึ่งมีสิทธิทุกอย่างในฐานะของบุตร
๖. ค่าเลี้ยงดูบุตรเป็นหน้าที่ของบิดาต้องรับผิดชอบและบุตรมีสิทธิ์รับมรดกทั้ง จากบิดาและมารดา
๗. เมื่อกำหนดเวลาของอักด์มุตอะฮฺได้สิ้นสุดลง หากฝ่ายหญิงไม่ได้อยู่ในช่วงวัยทอง (หมายถึงวัยที่หมดระดู) เธอต้องรออิดดะฮฺ และระหว่างรออิดดะฮฺอยู่นั้นปรากฏว่าเธอได้ตั้งครรภ์ต้องหลีกเลี่ยงการแต่ง งานทั้งหมดจนกว่าเธอจะคลอดบุตร

จำเป็นต้องเอาใจใส่ต่อเงื่อนไขอื่นๆ ของการแต่งงานถาวรในการอ่านอักด์แต่งงานชั่วคราว จะแตกต่างกันตรงที่ว่าอักด์นิกาห์มุตอะฮฺได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่ จำเป็นฉับพลันทันด่วน และค่าครองชีพ (นะฟะเกาะฮฺ) ของฝ่ายหญิงไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายชาย และขณะที่อ่านอักด์ถ้าฝ่ายหญิงไม่ได้ตั้งเงื่อนไขว่าขอรับมรดกของฝ่ายชาย ดังนั้นเธอไม่มีสิทธิ์รับมรดกนั้น และเป็นที่กระจ่างว่าเงื่อนไขทั้งสองไม่มีผลกับตัวของนิกาห์แต่อย่างไร

มุสลิมทั้งหลายมีความเชื่อว่าศาสนาอิสลาม ที่มีชะรีอะฮฺเพียบพร้อมไปด้วยความสมบูรณ์ และเป็นศาสนาสุดท้ายต้องสามารถให้คำตอบแก่ความต้องการทั้งหลายได้ ฉะนั้นจะเห็นว่าชายหนุ่มที่ต้องเรียนหนังสือนานหลายปีติดต่อกัน และไม่สามารถแต่งงานถาวรได้เมื่อเขาต้องตกอยู่ในสภาพดังกล่าว เขาจึงอาจเลือกทำอย่างหนึ่งอย่างหนึ่งอย่างใดจากสามประการดังต่อไปนี้
๑. เขาต้องครองความโสดตลอดไป
๒. เขาต้องตกอยู่กับอบายมุขและความโสมมทั้งหลายของจิตใจจนหลงกระทำความผิดบาป
๓. เขาเลือกทำตามเงื่อนไขที่กล่าวมา โดยแต่งงานชั่วคราวกับหญิงที่มีเงื่อนไขตามกำหนด

ในกรณีแรกสามารถกล่าวได้ว่าส่วนมากแล้วจะพบกับความปราชัย แม้ว่าบางคนสามารถควบคุมความต้องการทางเพศ มีความอดทน และสามารถหักห้ามจิตใจออกจากมันได้ แต่วิธีการดังกล่าวใช่ว่าทุกคนจะสามารถปฏิบัติได้

ส่วนคนที่เลือกแนวทางที่สองเท่ากับเขาได้กระทำความผิดบาปซึ่งเป็นสิ่งที่คำสอนของอิสลามได้ห้ามปรามไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวอ้างว่ามีความจำเป็น แต่สิ่งนั้นก็เป็นหนึ่งในแนวทางที่นำไปสู่การหลงทางทั้งความคิดและการกระทำ
ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าคงเหลือเฉพาะแนวทางที่สามเท่านั้นที่อิสลามได้นำเสนอไว้ และในสมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ก็มีการปฏิบัติกันอย่างปกติ แต่ต่อมาภายหลังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นการกระทำดังกล่าวจึงได้ถูกยกเลิกไป
สิ่งจำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจตรงนี้คือ บุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับการทำมุตอะฮฺ และถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม ทั้งที่อุละมาอ์และนักปราชญ์ส่วนใหญ่ยอมรับว่า โดยความหมายแล้วการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการนิกาห์ถาวร เช่นคู่บ่าวสาวได้อ่านอักด์นิกาห์ถาวร แต่ทั้งสองมีเจตนาว่าหลังจากหนึ่งปี หรือน้อยกว่านั้น หรือมากกว่านั้นเขาจะแยกทางกันด้วยการทำฏ่อลาก (หย่า)

ฉะนั้นจะเห็นว่าการแต่งงานดังกล่าวถ้าพิจารณาจากภายนอกจะพบว่า เป็นการแต่งงานถาวร แต่จริงๆ แล้วเป็นการแต่งงานชั่วคราวนั้นเอง ความแตกต่างของนิกาห์อย่างนี้กับการมุตอะฮฺ อยู่ตรงที่ว่าการมุตอะฮฺไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายใน มีเวลาที่แน่นอนเป็นตัวกำหนด แต่การนิกาห์ถาวรดังกล่าวดูภายนอกเหมือนว่าเป็นการนิกาห์ถาวรแต่ภายในคือการ มุตอะฮฺ (แต่งงานชั่วคราว) นั่นเอง

บุคคลที่อนุญาตให้ทำการแต่งงานดังกล่าวได้ และเป็นที่ยอมรับของอุละมาอ์และนักปราชญ์โดยทั่วไป ทำไมถึงมีอคติกับกฏชัรอีที่อนุญาตให้ทำมุตอะฮฺ ?
จนถึงขณะนี้เรารู้จักแล้วว่าการมุตอะฮฺหมายถึงอะไร และลำดับต่อไปจะกล่าวถึงหลักฐานที่อนุญาตให้ทำการมุตอะฮฺโดยจะนำเสนอในสอง ประเด็นดังต่อไปนี้

๑. การอนุญาตให้ทำมุตอะฮฺตั้งแต่เริ่มแรกอิสลาม
๒. การมุตอะฮฺไม่ได้ถูกยกเลิกในสมัยของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)

หลักฐานของประเด็นแรก อัล-กุรอานกล่าวว่า

فَمَا اسْتَمْتَعْتُم بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ فَرِيضَةً
ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าแสวงหาความสุขจากพวกนาง ก็จงมอบรางวัลของพวกนางให้แก่พวกนางอันเป็นข้อกำหนด[๑๓๔]

จากคำพูดของโองการเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องการทำมุตอะฮฺเนื่องจากว่า
ประการแรก โองการได้ใช้คำว่า อิสตัมตาอ์ ซึ่งภายนอกหมายถึง การแต่งงานแบบมุตอะฮฺ (ชั่วคราว) ถ้าจุดประสงค์ของโองการหมายถึงการแต่งงานแบบถาวรจำเป็นต้องมีกะรีนะฮฺ (สัญลักษณ์)บ่งบอก
ประการที่สอง โองการได้ใช้คำว่า อุญูร่อฮุนนะ หมายถึงรางวัลของพวกนาง อันเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนอีกเช่นกันว่าการแต่งงานดังกล่าวหมายถึง การมุตอะฮฺ เนื่องจากว่าหากจุดประสงค์ของโองการหมายถึง การแต่งงานถาวร อัล-กุรอานต้องใช้คำว่า มะฮฺรียะฮฺ หรือ ศ่อดาก แทนคำว่า อุญูร่อฮุนนะ
ประการที่สาม นักตัฟซีรทั้งซุนนี และชีอะฮฺมีความเห็นเหมือนกันว่าโองการดังกล่าวต้องการพูดถึงเรื่อง การแต่งงานแบบมุตอะฮฺ ไม่ใช่แบบถาวร

ท่านญะลาลุดดีน ซุยูฏีย์ ได้บันทึกไว้ในตัฟซีรของท่าน (อัดดุรุลมันษูรฺ) โดยรายงานมาจากท่าน อิบนุญะรีรฺ และท่านสุดาว่า โองการข้างต้นได้กล่าวถึงเรื่องการทำมุตอะฮฺ[๑๓๕]
ท่านอบูญะอฺฟัรฺ มุฮัมมัด บิน ญะรีรฺ ฏ็อบรีย์ ได้บันทึกไว้ในตัฟซีรของตน โดยรายงานมาจากท่าน เซาดาอ์ , มุญาฮิด , และอิบนุอับบาส ว่าโองการดังกล่าวได้พูดถึงเรื่องการทำมุตอะฮฺ[๑๓๖]
ประการที่สี่ เจ้าของตำราศิหาห์ มะซานีด และญะวามิอ์ (ประมวลตำราฮะดีษที่เก่าแก่)ได้ยอมรับริวายะฮฺที่กล่าวถึงความจริงเกี่ยวกับการมุตอะฮฺ อาทิเช่น ท่านมุสลิม บิน หะญาจ ได้บันทึกไว้ในศ่อฮีย์ของท่านโดยรายงานมาจาก ท่านญาบีรฺ บิน อับดุลลอฮฺ และสะละมะฮฺ บิน อักวะอ์ว่า

خرج علينامنادي رسول الله (ص) فقال انّ رسول الله قد أّذن لكم أن تستمتعوا يعني متعة النساء
คนประกาศสารของท่านศาสดา ได้มาหาพวกเรา และพูดว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้อนุญาตให้พวกท่านทำมุตอะฮฺได้ หมายถึงแต่งงานชั่วคราวกับสตรี[๑๓๗]




ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์