อรรถาธิบายฟาติหะฮฺ อรรถาธิบายซูเราะฮฺฟาติหะฮฺ
ฮุจญะตุลอิสลามวัลมุสลิมีน เชคมุฮฺซิน กิรออะตี
แปลโดย:เว็บไซต์อัชชีอะฮฺ
โองการแรก: بسم الله الرحمن الرحيم
ความหมาย: ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตายิ่งเสมอ
คำอธิบาย: ในท่ามกลางกลุ่มชนและประชาชาติต่าง ๆ ถือเป็นประเพณีในการเริ่มงานที่สำคัญของตน ด้วยนามของบุคคลสำคัญหรือผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพนับถือและเป็นที่รักในหมู่พวกเขา เพื่อที่ว่างานนั้นจะได้เกี่ยวพันกับบุคคลดังกล่าวตั้งแต่เริ่มแรก แน่นอนที่สุดประเพณีดังกล่าวนี้วางอยู่บนพื้นฐานความเชื่อทั้งที่ถูกต้องและเป็นเท็จ กล่าวคืบางกลุ่มชนเริ่มต้นงานของตนด้วยกับนามของเทวรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ตามความเชื่อของพวกเขา หรือผู้ปกครองที่ต่อต้านอัลลอฮ. (ซบ.) ในขณะที่ในบางกลุ่มชนงานของพวกเขาเริ่มต้นด้วยกับพระนามของอัลลอฮฺ. (ชบ.) และด้วยกับมือของมวลมิตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ (เอาลิยาอฺ) ดังเช่นในสงครามคอนดักผู้ที่ลงมือขุดสนามเพลาะเป็นคนแรกคือท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล ฯ)
ตัวอย่างการเริ่มต้นงานด้วย بِسمِ اللّه
๑. คัมภีร์ของอัลลอฮฺ (กุรอาน) เริ่มต้นด้วย بِسمِ اللّه الرَّحمنِ الرَّحِيم
๒. ไม่เพียงแค่กุรอานเท่านั้น แต่ทว่าคัมภีร ์อื่น ๆ ของอัลลอฮฺ (ซบ) ก็เริ่มต้นด้วย بِسمِ اللّه เช่นกัน
๓. ภารกิจของศาสดาทุกท่านเริ่มต้นด้วย بِسم اللّه
๔. เมื่อเรือของท่านศาสดานุห์ (อ.)ุ เริ่มเคลื่อนตัวในท่ามกลางพายุคลื่น ศาสดานุห์ (อ.) ได้สั่งสหายของท่านว่า จงขึ้นเรือซึ่งการเคลื่อนและหยุดของเรือนี้ด้วยพระนามของอัลลอฮฺอัล-กุรอานกล่าวว่า
بِسم اللّهِ مَجرِيهَا وَ مُر سَهَا (๑)
๕.ในขณะที่ท่านศาสดาสุลัยมาน(อ.) เชิญชวนราชินีแห่งเมืองสะบาอฺให้ศรัทธาต่ออัลลฮฮฺ (ซบ.) นั้น ท่านได้ส่งจดหมายเชิญชวนไปถึงพระนางด้วยถ้อยคำ بِسم اللّهِ الرَّحمنِ الرَّحِيم (๒)
๖.ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล ฯ) เริ่มภารกิจการเผยแผ่สาส์นของท่านด้วยพระนามของอัลลอฮฺอัล-กุรอานกล่าวว่า
اِقرَأ بِاسمِ رَبِّكَ
๗. ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวกับชายผู้หนึ่งที่เขียน بِسمِ اللّهว่า "จงเขียนให้ดี และสวยงามที่สุด
๘. การกล่าว بِسمِ اللّه ในการเริ่มงานต่าง ๆ เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งงาน การขี่พาหนะ การเริ่มออกเดินทางและงานอื่น ๆได้รับการแนะนำและให้ความสำคัญไว้ จนกระทั่งว่าถ้าหากสัตว์ถูกเชือดโดยไม่ได้กล่าวไม่ได้กล่าวبِسم اللّه การบริโภคเนื้อสัตว์ดังกล่าวถือเปิบสิ่งต้องห้าม และนี่คือรหัสที่เผยให้เห็นว่าผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเป็นผู้ที่มีทิศทางและเป้าหมายนั้น แม้แต่อาหารของพวกเขาก็จำเป็นต้องมีทิศทางและเป้าหมายเพื่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน
คำถามสองประการเกี่ยวกับ بِسمِ اللّه
๑. เพราะเหตุใดในการเริ่มงานต่าง ๆ ด้วย بِسمِ اللّه. จึงได้รับการแนะนำและให้ความสำคัญไว้ ?
ในทำนองเดียวกันกับที่ผลิตภัญฑ์หรือสินค้าของโรงงานหนึ่ง ๆ จะมีตราหรือเครื่องหมายของโรงงานั้น ๆ ปรากฏอยู่ ไม่ว่าผลิตภัญฑ์ดังกล่าวจะอยู่ในรูปของชิ้น ส่วนเล็ก ๆ หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปก็ตาม หรือดังเช่นธงชาติของทุกประเทศที่ติดอยู่ตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ ตามเรือสินค้าของประเทศนั้น ๆ และวางอยู่ตามโต๊ะในสำนักงาน
เครี่องหมายและสัญลักษญ์เหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อทิศทางและเป้าหมายของโรง งานในการผลิตสินค้า หรือแนวทางและอุดมการณ์ของประเทศนั้น ๆ จะได้มีถูกเบี่ยงเบนออกไปและเครี่องหมายหรือสัญลักษณ์ดังกล่าวจะได้ไม่ถูก ลืมเลือนไปจากความทรงจำของประชาชน
พระนามของอัลลอฮฺ (ซบ. ) และการรำลึกถึงพระองค์ก็เช่นเดียวกันถือเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิม ด้วยเหตุนี้ได้มีรายงานในหะดีษบทหนึ่งว่า "จงอย่าลืม بِسمِ اللّه "แม้แต่ในการเขียนกลอน สักวรรคหนึ่งก็ตาม" และในหะดีษ อีกหลายบทได้ระบุถึงผลบุญของผู้ที่สอน بِسم اللّه ให้กับเด็ก ๆ เป็นครั้งแรก (ทั้งนี้เนื่องจากงานดังกล่าวเป็นการปลูกฝังเครื่องหมายของมุลลิมให้กับพวก เขาตั้งแต่เยาว์วัย) (๓)
นอกจากนี้ท่านอิมามอะลี (อ. ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของเริ่มงาน ด้วย بِسمِ اللّه ไว้ว่า بِسمِ اللّه เป็นที่มาของความจำเริญ (บะรอกะฮฺ) และการละทิ้งเป็นสาเหตุของการไม่สัมฤทธิผลกองกิจการงาน"
๒. بِسمِ اللّهِ الرَّحمنِ الرَّحِيم คืออายะฮฺของอัล-กุรอานใช่หรือไม่ ?
๒.๑ ) ตามทัศนะของอะหฺลุลบัยตฺ (อ ) ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อล ฯ)(๔) ซึ่งมีช่วงชีวิตอยูก่อนหน ้าบรรดาผู้นำสำนักคิดทางนิติศาสตร์(มัซฮับ) ต่าง ๆ ประมาณ ๑๐๐ปี และเป็นผู้พลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ (ซบ. ) อีกทั้งเป็นกลุ่มชนที่กุรอานได้กล่าวถึงความบริสุทธิ์จากบาป ความผิดพลาด และความหลงลืม (อิศมัต) ของพวกเขาไว้อย่างชัดเจน บุคคลเหล่านี้ถือว่า بِسمِ اللّهِ الرَّحمن الرَّحِيم เป็นอายะฮฺหนึ่งของอัล-กุรอาน
๒.๒) ฟัครุรฺ-รอซี ได้นำเสนอหลักฐานไว้ ๑๖ ประการในตับสีรฺของเขาที่ยืนยันให้เห็นว่า بِسم اللّهِ الرَّحمنِ الرَّحِيم เป็นส่วนหนึ่งของอัล-กุรอาน
๒.๓) อาลูซี(๕) เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่มีทัศนะดังกล่าว
๒.๔) ในมุสนัดอะหฺมัด ได้บันทึกไว้เช่นเดียวกันว่า بِسمِ اللّه เป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮฺ(๖)
๒.๕) บุคคลที่ไม่ถือว่า بِسمِ اللّهเป็นส่วนหนึ่ง ของซูเราะฮฺ และทิ้งการอ่าน بِسمِ اللّه ในนมาซนั้นได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น วันหนึ่งในขณะที่มุอาวิยะฮฺกำลังนำนมาซและไม่ได้อ่าน بِسمِ اللّه ประชาชนได้ทักท้องเขาว่า اَسرَقتَ الصَّلاَةَ اَونَسِيتَ ท่านได้ขโมยนมาซหรือว่าหลงลืม(๗)
๒.๖) ท่านอิมามมุฮัมบากิรฺ (อ.) ได้กล่าวถึงบุคคลที่ไม่ได้อ่าน بِسمِ اللّه ในนมาซหรือบุคคลที่ไม่ถือว่า بِسمِ اللّه เป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮฺว่า "พวกเขาได้ขโมยอายะฮฺที่ประเสริฐที่สุดไปจากคัมภีร์ของอัลลอฮฺ" سَرَقُوااَكرَمَ آيَة فَى كِتَابِ اللّه (๘)
๒.๗) บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (มะอฺศูม) จากครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล ฯ) ได้ยืนกรานให้อ่าน بِسمِ اللّه ในนมาซด้วยเสียงดัง (ทั้งนี้เพื่อเป็นการทวบกระแสของสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในศาสนา)
(๒.๘) ในสุนันบัยฮะกี ได้บันทึกหะดีษบทหนึ่งไว้ซี่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า "ทำไมบางคนจึงไม่ถือว่า بِسمِ اللّه เป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮฺ(๙)
๒.๙) ชะฮีดมุเฎาะฮะรี (๑๐ ) ได้กล่าวไว้ในตัฟสีรฺซูเราะฮฺฟาติฮะฮฺว่า "อิบนุอับบาส, อาศิม, กะซาอีย์, อิบนุอุมัร, อิบนุชุบัยร์. อะฏออฺ ฏอวูส และซุยูฏีย์. และชุย ฎีย์ เป็นกลุ่มบุคคลที่ถือว่า بِسمِ الله . คือส่วนหนึ่งของชูเราะฮ."
๒.๑๐) กุรฎุบียืได้ รายงานจากท่าบอิมามญะอฺฟัรฺ อัซ-ซอดิก (อ.) ซึ่งท่านอิมา (อ. ) กล่าวว่า بِسمِ اللّه " คือมงกุฎญของชูเราะฮฺ" ยกเว้นซูเราะฮฺเตาบะฮฺ (ซูเราะฮฺบะรออะฮฺ) เท่านั้นที่ไม่มี بِسمِ اللّه ทั้งนี้ตามคำอธิบายของท่านอิมามอะลี (อ. ) เนื่องจาก بِسمِ اللّه เป็นถ้อยคำที่ยังความปลอดภัยและความเมตตา ส่วนการ "บะรออะฮฺ" ซึ่งเป็นการประกาศความเกลียดชังและความเป็นศัตรูต่อผู้ปฏิเสธและผู้ตั้งภาคีนั้น ไม่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับความเมตตา (๑๑ )
บทเรียนและประเด็นสำคัญจากอายะฮฺ
๑.بِسمِ اللّه คือเครื่องหมายบ่งชี้ถึง " สีของอัลลอฮฺ" (ศิบเฆาะตุลลอฮฺ) (๑๒ ) และเป็นเครื่องกำหนดทิศทางความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว(เตาฮีด) ของมนุษย์
๒ . คีอรหัสของการยอมรับความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ(ซบ. ) ส่วนนามของบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ (ซบ. ) ถือเป็นรหัสของการปฏิเสธ และการกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ (ซบ.) ควบคู่กับนามของบุคคลอื่น ถือเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งภาคี (๑๓ ่) ความหมายของอายะฮฺ سَبِّحِ اسمَ رَبِّكَ ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าวนี้ว่าพระนามชื่อของอัลลอฮ(ซบ.) จำเป็นต้องสะอาดบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน
๓. بِسمِ اللّه คือรหัสของความเป็นนิรันดร์ เพราะสิ่งใดก็ตามที่ไม่มี "สีของอัลลอฮฺ" ล้วนมลายสิ้น (๑๔ )
๔. بِسمِ اللّه คือรหัสที่เผยให้เห็นว่า เนื้อหาของซูเราะฮฺได้ถูกประทานลงมาจากผู้ เป็นต้นกำเนิดของสัจธรรมและความ เมตตา
๕. بِسمِ اللّه คือรหัสของความรักและความไว้วางใจในพระองค์
๖. بِسمِ اللّه คือเครื่องหมายของการถอนตัวออกจากความยโสโอหัง และการแสดงความไร้ความสามารถ ณ พระองค์
๗. بِسمِ اللّه คือก้าวแรกของความเป็นบ่าว
๘. بِسمِ اللّه คือรหัสของการขับไล่ชัยฎอน (มารร้าย) บุคคลใดก็ตามที่อยู่กับอัลลอฮฺ (ซบ. ) ชัยฎอนจะไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อผู้นั้นได้
๙. بِسمِ اللّه คือหลักประกันและที่มาของความบริสุทธิ์ใน กิจการงานต่าง ๆ
๑๐.การกล่าว بِسمِ اللّه ประหนึ่งให้ความหมายว่า "โอ้อัลลอฮฺข้าพระองค์ไม่เคยลืมเสือนพระองค์"
๑๑. การกล่าว بِسمِ اللّه ประหนึ่งให้ความหมายว่า "โอ้อัลลอฮฺแรงบันดาลใจและเป้าหมายของข้าพระองค์คือพระองค์ มิใช้ประชาชน มิใช้ผู้ปกครองที่อธรรม มิไช่ความศิวิไลซ์ของโลกนี้ และมิใช่อารมณ์ใฝ่ต่ำ"
๑๒. بسمِ اللّه หมายถึง "การขอความช่วยเหลือของข้าพระองค์เฉพาะจากพระองค์เท่านั้น" และอาจกล่าวได้ว่า ความหมายของคำกล่าวที่ว่า "อัล-กุรอานทั้งหมดรวมอยู่ในซูเราะฮฺฟาติหะฮฺ. และซูเราะฮฺฟาติหะรวมอยู่ใน บิสมิลลาฮฺ และบิสมิลลาฮฺรวมอยู่ในอักษรบอฺนั้น หมายถึงการสร้างสรรค์การชี้นำ และการย้อนกลับคืนของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายนั้น ล้วนเกิดขึ้นด้วยกับการแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ทั้งสิ้น. (๑๕) (แต่อย่างไรก็ตามอัลลอฮฺ (ซบ. ) เท่านั้นที่ทรงรู้ความแท้จริงของมัน)
๑๓. بِسمِ اللّه คือรหัสที่เผยให้เห็นว่า การเริ่มงานต่าง ๆ นั้น ต้องการกำลังใจ ความหวังและความเมตตา ซึ่งที่มาและบ่อเกิดของพลังอำนาจ ความหวังและความเมตตาทั้งมวลคืออัลลอฮฺ (ซบ ) ด้วยเหตุนี้ اَلرَّحمن (ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ) และ اَلرَّحِيم (ผู้ทรงเมตตายิ่ง) จึงนำมาใช้หลังคำว่า اَللّه
๑๔. มนุษย์ก็เช่นเดียวกันจะต้องสร้างกำลังใจและความหวังโดยการรำลึกถึงอัลลอฮ. (ซบ.) ด้วยกับพระนามที่สมบูรณ์ และครอบคลุมที่สุด (๑๖) ควบคู่กับคุณลักษณะแห่งความเมตตาและความกรุณาปรานีของพระองค์ (๑๗) ด้วยการกล่าวว่า بِسمِ اللّه الرَّحمنِ الرَّحِيم
การเริ่มงานด้วยกับถ้อยคำที่หมายถึงความเมตตานั้น แสดงให้เห็นว่ารากฐานของทุกกิจการงาน วางอยู่บนความเมตตากรุณาและเป็นเครี่องหมายที่ชี้ให้เห็นว่า การแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เป็นต้นกำเนิดของความเมตตานั้นเหมาะสมและคู่ควรยิ่ง
เชิงอรรถ ๑. ซูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ ๔๑
๒. ซูเราะฮฺ อัล-นัมลิ อายะฮฺที่๓๐
๓.ตับสีรฺ บุรฮาน เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๔๓
๔.บุคคลกลุ่มหนึ่งจากครอบครัวและสายตระกูลของท่าน ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่ได้รับการเลือกสรรจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ให้เป็นผู้นำประชาชาติมุสลิมหลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) บุคคลเหล่านี้ได้แก่ ท่านอิมามอะลี (อ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ท่านอิมามฮุซัยนฮ (อ.) และผู้สืบสายตระกูลของท่านอิมามฮุซัยนฺอีก ๙ ท่าน
๕.อาลูซี เป็นนักปราชญ์ท่านหนึ่งของอะหฺลิซซุนนะฮฺ และเป็นผู้เขียนตับสีรฺ รูฮุ้ล-มะอานี
๖. มุสนัดอะหฺมัด เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๑๗๗ เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๘๕
๗.มุสตัดร็อก ฮากิม เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๓๓
๘. ตัฟสีรฺบุรฮาน เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๔๒ หะดีษที่ ๑๕
๙.สุนันบัยฮะกี เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๕๐
๑๐. ชะฮีดมุเฏาะฮะรี เป็นนักปราชญ์ร่วมสมัยผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งทีมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ มากมาย เช่น ปรัชญา ตรรกวิทยา ฯลฯ ท่านได้ถูกลอบสังหารโดยศัตรูของอิสลามในวันที่ ๑ พ.ค. ค.ศ. ๑๙๗๙
๑๑. มัจมะอุ้ล-บะยาน เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๒ และฟัครุร-รอซี เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๒๑๖
๑๒. โดยปรกติแล้วจิตวิญญาณและธรรมชาติของมนุษย์จะปรับเปลี่ยนไปตามความเชื่อ ในแนวทางของศาสนา และแนวความคิดของตนเอง ประหนึ่งถูกย้อมด้วยสีสันของสิ่งเหล่านี้ ผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺ (ซบ.) จะได้รับการย้อมด้วยสีสันของพระองค์ ซึ่งหมายถึง แนวทางอันบริสุทธิ์ของอิสลามกล่าวคือ อิสลามจะชำระขัดเกลาจิตใจ สติปัญญาและความคิดของผู้ศรัทธาให้สะอาดบริสุทธิ์จากมลทิน ความมืดมน และสีสันของความเท็จทั้งมวล
๑๓. แม้กระทั่งการเริ่มต้นด้วยพระนามของอัลลอฮฺ (ซบ.) ควบคู่กับนามของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ก็ถือว่าไม่อนุญาตเช่นกัน (อิษบาตุ้ล-ฮุดา เล่มที่ ๗ หน้าที่ ๔๘๒)
๑๔. كُلُّ شَىءٍ هَا لِكٌ اِلاِّ وَجهَهُ ทุกสรรพสิ่งพินาศสิ้น ยกเว้นแก่นแท้ (ซาต) อันบริสุทธิ์ของพระองค์ (อัล-เการะศ็อด ๘๘)
๑๕. เนื่องจากตามทัศนะนักวิชาการบางส่วน ความหมายหนึ่งของอักษร บาอฺในบิสมิลลาฮฺคือ "อิสติอานะฮฺ" (การแสวงหาความช่วยเหลีอ) ดังนั้น بِسمِ اللّه الرَّحمنِ الرَّحِيم จึงหมายถึง "ข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือด้วยกับพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ ผู้ทรงเมตตายิ่ง"
๑๖. พระนามของอัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ถูกกล่าวไว้ในอัล- กุรอาน ๑๐๐ พระนาม ซึ่งอัลลอฮฺเป็นพระนามที่สมบูรณ์และครอบคลุมทีสุด
๑๗. اَلرَّحمن เป็นนามที่ใช้เฉพาะกับอัลลอฮฺ (ซบ.) เท่านั้น ซึ่ง หมายถึงผู้ที่ความเมตตาของเขาแผ่กว้าง ไม่มีขอบเขตจำกัดและครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ในขณะทีผู้อื่นนอกเหนือจากพระองค์นั้น ความเมตตาของเขาอยู่ในขอบเขตจำกัด หรือไม่ก็เป็นผู้ไร้ดวามเมตตาหรือมิเช่นนั้นก็เป็นผู้คาดหวังรางวัลตอบแทน โลกนี้หรือโลกหน้าจากการแสดงความเมตตาของตน
ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัชชีอะฮฺ