บะดาอ์:เผยหรือพลิกลิขิตของพระองค์?

๒.หลักฐานเรื่องบะดาอฺในมุมมองของหะดีษ
หลักฐานและข้อพิสูจน์เรื่องบะดาอฺในมุมมองของหะดีษ สามารถแบ่งได้ดังนี้

๒.๑ หะดีษที่กล่าวถึงความสำคัญของบะดาอฺ
๒.๒ หะดีษที่กล่าวถึงการพิสูจน์เรื่องบะดาอฺ
๒.๓ หะดีษที่กล่าวถึงเหตุการณ์ของบะดาอฺ

หะดีษประเภทที่ ๑. ความสำคัญของเรื่องบะดาอฺ
๑.รายงานจากท่านมุฮัมมัด อัตตอร จากอิบนิอีซา จากซุรอเราะฮฺกล่าวว่าท่านอิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดที่จะให้การอิบาดะฮฺพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) เหมือนกับการเชื่อเรื่องบะดาอฺ”

๒.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“ไม่มีสิ่งใดที่จะแสดงความยิ่งใหญ่ต่อพระองค์อัลลอฮฺ เหมือนกับการเชื่อต่อเรื่องบะดาอฺ”

๓.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“ไม่มีศาสดาท่านใดที่จะถูกแต่งตั้งมา นอกจากเขาจะต้องปฏิญาณต่อพระองค์อัลลอฮฺ ๕ ประการเสียก่อน อันได้แก่ความเชื่อต่อเรื่องบะดาอฺ ความเชื่อต่อความประสงค์ (ของพระองค์) ซูยูด (ต่อพระองค์) แสดงความเป็นบ่าว และเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์”

๔.ท่านอิมามอะลี ริฎอ (อ.) กล่าวว่า
“พระองค์อัลลอฮฺจะไม่ส่งศาสดาท่านใดมา นอกจากเพื่อให้เขาห้ามการดื่มสุราและกล่าวปฏิญาณต่อเรื่องบะดาอฺ”

๕.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“ถ้าหากว่ามนุษย์ได้รับรู้ถึงมรรคผลต่อการเชื่อต่อเรื่องบะดาอฺ แน่นอนจะไม่มีใครปฏิเสธต่อสิ่งนี้อย่างแน่นอน”

หะดีษประเภทที่ ๒ หะดีษที่กล่าวถึงการพิสูจน์เรื่องบะดาอฺ
๑.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺจะไม่บะดาอฺ (เปลี่ยนแปลง) สิ่งใด นอกจากทั้งหมดนั้นอยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะทรงบะดาอฺ”

หะดีษบทนี้ต้องการพิสูจน์เรื่องบะดาอฺว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับ พระองค์ ซึ่งทั้งหมดพระองค์ทรงรู้มาก่อนล่วงหน้า มิใช่ว่าพระองค์ทรงรู้ทีหลังว่าไม่ดีหรือดีแล้วมาเปลี่ยน และหะดีษบทนี้ต้องการจะกล่าวแก่ผู้ที่คัดค้านเรื่องบะดาอฺว่าสิ่งนี้เป็น สิ่งที่เป็นไปได้ และมิได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงรอบรู้หรือโง่เขลา

๒.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวอีกว่า
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงบะดาอฺ (เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์) เนื่องจากความโง่เขลา”

๓.รายงานจากอะลี อิบนิอิบรอฮีม จากมุฮัมมัด อิบนิอีซา จากยุนูส จากมันศูร อิบนิฮาซิมกล่าวว่า “ฉันได้ถามท่านอิมามซอดิกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ พระองค์อัลลอฮฺไม่ทรงรู้มาก่อนกระนั้นหรือเมื่อวาน ? ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า หามิได้แท้จริงพระองค์ทรงรู้ทุกอย่าง และถ้าใครกล่าวเช่นนี้ ขอพระองค์ได้โปรดทำให้เขาอัปยศด้วยเถิด ฉันพูดต่ออีกว่า และสิ่งที่เกิดมาแล้ว หรือสิ่งที่จะเกิดจนถึงกิยามัต ไม่ได้อยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ดอกหรือ ? อิมาม (อ.)กล่าวว่า หามิได้ แท้จริงพระองค์ทรงรู้มาก่อนการสร้างเสียอีก”

๔.อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“ใครก็ตามที่คิดว่าพระองค์บะดาอฺทุกสิ่งขึ้นมาในสภาพที่พระองค์ไม่ทรงรอบ รู้มาก่อนนั้น ท่านจงออกห่างจากเขาเถิด”

๕.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงมีความรอบรู้ ๒ ประเภทคือ อิลมุมักนูน หมายถึงพระองค์รอบรู้ในทุกเรื่อง โดยที่พระองค์ไม่ทรงสอนให้ใครได้รู้ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ทรงรู้ซึ่งสิ่งนั้นคือการบะดาอฺ ประเทภที่๒ ความรู้ที่พระองค์ทรงสอนต่อมะลาอิกะฮฺและบรรดาศาสดาของพระองค์”

หะดีษประเภทที่๓ หะดีษที่กล่าวถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องบะดาอฺ
๑.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“เมื่อท่านศาสดาอีซา (อ.) ได้เดินผ่านชนกลุ่มหนึ่งที่กำลังรื่นเริงอยู่ ท่านศาสดาอีซากล่าวว่า พวกเขากำลังทำอะไรกัน ? มีคนหนึ่งกล่าวว่า โอ้รูฮุลลอฮฺ แท้จริงในคืนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ถูกส่งมอบให้แก่ชายผู้หนึ่ง ท่านศาสดาล่าวว่า แท้จริงในวันนี้พวกเขาสนุกสนานรื่นเริงกัน แต่วันพรุ่งนี้พวกเขาจะร้องไห้เสียใจ มีคนหนึ่งถามว่า เป็นเพราะอะไรหรือ ? ท่านศาสดา (อ.) ตอบว่า เพราะจะมีสหายของพวกเขาเสียชีวิตในคืนนี้ ผู้ทีได้ยินกล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลลออฮฺและศาสนทูตของพระองค์สัจจะยิ่ง”

เมื่อบรรดาพวกกลับกลอก (มุนาฟิก) ได้ยินเช่นนั้นได้กล่าวว่าพวกเราจะคอยดูซิว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ?

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นคนกลุ่มนั้นได้ตื่นขึ้นมา และเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่ท่านศาสดาอีซา (อ.) ได้กล่าวไว้ พวกเขาได้มาหาท่านศาสดา (อ.) แล้วพูดว่า โอ้รูหุลลอฮฺ ท่านได้บอกแก่พวกเราเมื่อวานนี้ว่าจะมีคนเสียชีวิต จนถึงบัดนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ท่านศาสดา (อ.) กล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺจะทรงกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์”

๒.อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“มะลาอิกะตุลเมาตฺ (มะลาอิกะอฺปลิดวิญญาณ) ได้มาหาท่านศาสดาดาวูดแล้วแจ้งข่าวว่า เด็กหนุ่มที่อยู่กับท่านนั้นจะตายหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน หลังจากเวลาได้ผ่านไปเจ็ดวัน เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่เขายังไม่ตาย ต่อมามะลาอิกะตุลเมาตฺได้มาหาท่านศาสดาดาวูดอีกครั้งแล้วกล่าวว่า โอ้ดาวูด แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงเมตตาเด็กหนุ่มคนนั้น เนื่องจากความเมตตาของเจ้าพระองค์ทรงประวิงเวลาให้กับเขาจนอายุถึง ๓๐ ปี”

๓.ริวายะฮฺบทหนึ่งกล่าวว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวกับชาวยิวคนหนึ่งว่า ความตายนั้นจะมาประสบกับยิวคนหนึ่งต่อมายิวคนนั้นได้มาท่านศาสดาแล้วพูดว่า สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นยังไม่ได้เกิดกับฉันเลย ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่าท่านได้ทำไรบ้างละในวันนี้ ? เขาตอบว่า ฉันไม่ได้ทำอะไร นอกจากได้ศ่อดะเกาะฮฺแก่คนจนคนหนึ่ง ท่านศาสดา (ศ็อฯ) ได้กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้เอง (การศ่อดะเกาะฮ) พระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงเปลี่ยนแปลงความตายของเจ้า และท่านได้กล่าวอีกว่า แท้จริงการศ่อดะเกาะฮฺจะขจัดความตาย (ที่ถูกกำหนด) ให้ออกไปจากมนุษย์”

หะดีษทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างที่กล่าวถึงเรื่อง บะดาอฺ ซึ่งยังมีหะดีษอีกมากมายที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือบิฮารุลอันวารฺ เล่มที่๔ อุศุลุลกาฟียฺ์ เล่มที่ ๑ เตาฮีดศะดูก และอื่นๆ

๓.หลักฐานเรื่องบะดาอฺในตำราหะดีษของอะลิซซุนนะฮฺ
ประเด็นที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นหลักฐานเรื่องบะดาอฺ ที่ปรากฏในตำราหะดีษของอะลิซซุนนะฮฺ เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าหลักความเชื่อเรื่องบะดาอฺเป็นเรื่องความ เชื่อของมุสลิมทุกคน ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่ชีอะฮฺ และหลักความเชื่อนี้มิได้มีบันทึกอยู่เฉพาะในตำราของชีอะฮฺเท่านั้นมีบันทึก อยู่ในตำราหะดีษของอะลิซซุนนะฮฺด้วยเช่นกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

๑.รายงานจากท่านซะยูฎีย์ จากท่านอะลี อิบนิอะบีฎอเล็บ ว่าท่านได้ถามท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เกี่ยวกับโองการ ๓๙ ซูเราะฮฺเราะดุ ท่านศาสาดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า
“ฉันจะทำให้สายตาของเจ้า (โอ้อะลี) และอุมมะฮฺของฉันภายหลังจากฉันประจักษ์แจ้งต่อความหมายของโองการนี้ แท้จริงการศ่อดะเกาะฮฺ การทำดีต่อบิดามารดา และการทำความดีอื่นๆ เป็นสิ่งที่จะมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรม (ของมนุษย์) ที่อัปโชคให้เป็นผู้ที่มีความสันติสุข และยังเพิ่มอายุไขของมนุษย์ (ให้ยืนยาว) อีกทั้งเป็นการทำลายความชั่วทั้งหลาย (ออกจากตัวเขา)”(๑)

๒.ท่านฮากิมนิชาบูรียฺได้นำสายรายงานจากอิบนิอับบาสว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺจะทรงลบเลือน (ความชั่วจากมนุษย์) ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตามประสงค์ของพระองค์ด้วยการดุอาอฺ”

๓.รายงานจากอบูฮุรัยเราะฮฺว่าท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า.
“สิ่งที่ถูกกำหนด (กะฎอ) จะไม่ถูกลบเลือนออกไปนอกจากการดุอาอฺ และอายุไขจะไม่ถูกทำให้ยืนยาวนอกจากการทำดี”

๔.ท่านอะหมัด อิบนิฮัมบัลได้นำหะดีษบทหนึ่งซึ่งรายงานจากท่านเซาบานว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า
“แท้จริงมนุษย์จะถูกบันทอนริซกีย์ด้วยกับการกระทำบาป และสิ่งที่ถูกกำหนด(กะฎอ) จะไม่ถูกลบเลือนไปนอกจากการดุอาอฺ และอายุไขจะไม่ถูกทำให้ยืนยาวออกไปนอกจากการกระทำดี”

๕.รายงานจากท่านอิบนิอุมัรว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า
“การวิงวอนขอพร (ดุอาอฺ) จะให้ประโยชน์ต่อมนุษย์ในสิ่งที่ได้ถูกประทานมาและในสิ่งที่ไม่ได้ถูกประทาน มา ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงอิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺด้วยการดุอาอฺเถิด”

และหะดีษอื่นๆ อีกมากมาย ศึกษาเพิ่มเติมได้จากตำราหะดีษของอะลิซซุนนะฮฺ เช่น อัลมุตัดร็อก ของท่านฮากิมนิชาบูรีย์ อัลมุสนัด ของท่านอิมามอะหมัด สุนันติรฺมีซีย์ของท่านตีรฺมีย์ และอื่นๆ

ตอนที่๓ ถาม-ตอบปัญหาเรื่องบะดาอฺ
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปเป็นปัญหาโต้แย้งเรื่องบะดาอฺงถือว่าเป็นอีกประเด็น หนึ่งที่มีความสำคัญเนื่องจากมีอุละมาอ์ฝ่ายอหฺลิซซุนนะฮฺจำนวนไม่น้อยได้ แสดงทรรศนะโดยไม่ยอมรับเรื่องบะดาอฺ และยังได้เขียนเรื่องบะดาอฺเพื่อเป็นการตอบโต้ชีอะฮฺอิมามียะฮฺไว้อีกต่าง หาก ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นที่ต้องนำเอาข้อขัดแย้งเหล่านั้น พร้อมทั้งคำตอบของเรื่องบะดาอฺมากล่าว เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อผู้ศึกษาต่อไป

คำถามที่๑
หลักความเชื่อเรื่องบะดาอฺจะว่าถูกต้องได้อย่างไรเพราะว่าความหมายของคำ ว่าบะดาอฺ คือการเปิดเผยหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งก่อนหน้านั้นพระองค์อัล ลอฮฺ (ซบ.) ไม่ทรงทราบมาก่อนและการเชื่อเรื่องบะดาอฺเท่ากับพระองค์อัลลอฮ (ซบ.) ทรงโง่เขลา ?

ตอบ
สามารถแบ่งคำตอบได้ดังนี้คือ แท้จริงแล้วความหมายของคำว่าบะดาอฺมี ๒ลักษณะกล่าวคือ

๑.ความหมายเชิงภาษาหมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรือการเปิดเผยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
๒.ความหมายเชิงวิชาการหมายถึง การเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์หนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงรับรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว

ดังนั้ความหมายของบะดาอฺตามแนวคิดของชีอะฮฺคือให้ความหมายตามเชิงวิชาการ นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ใดกฏเกณฑ์หนึ่งต่อบ่าวหรือระบบการบริหารของ พระองค์ โดยที่ก่อนหน้านั้นพระองค์ทรงทรงทราบมาก่อนล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น ต่อมาพระองค์ได้เปิดเผยให้บ่าวของพระองค์ได้รับรู้ เพราะว่าการบะดาอฺจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีสาเหตุ กล่าวคือการบะดาอฺของพระองค์อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ไม่ใช่ว่าพระองค์จะบะดาอฺให้ใครคนใดคนหนึ่งมีอายุยืนเกิน ๑๐๐ ปีหรือมีอายุสั้นแค่ ๓ ปี เพราะหากพิจารณาอัล-กุรอานและหะดีษเกี่ยวกับเรื่องบะดาอฺที่กล่าวผ่านมาทั้ง หมด ตอนที่๒) นั้นอยู่ภายใต้สาเหตุและกฏเกณฑ์

เช่นเรื่องราวของท่านศาสดาอิสมาอีล(อ.) ประชาชาติของศาสดายูนุส(อ.) ,เรื่องราวของท่านศาสดานูห์ (อ.) หรือหะดีษจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ที่กล่าวถึงเรื่องการศ่อดะเกาะฮ การมีสัมพันธ์ที่ดีต่อเครือญาติ จะทำให้อายุยืน และการทำซินา การดื่มสุราและการประกอบอบายมุขอื่นๆ จะเป็นสาเหตุทำให้อายุสั้นลง

ดังนั้นการเชื่อเรื่องบะดาอฺไม่ได้เป็นเหตุนำไปสู่ความเชื่อว่าพระองค์ อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงโง่เขลาเพราะอัล-กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องบะดาอฺ ขณะเดียวกันก็กล่าวยืนยันถึงความรอบรู้ของพระองค์ที่ครอบคลุมเหนือทุกสิ่ง ไม่ว่าก่อนสร้างหรือหลังสร้าง เพื่อไม่ให้มนุษย์มีความสงสัยเคลือบแคลงต่อความรอบรู้ของพระองค์ ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า

“ไม่มีสิ่งใดเลยจะปิดบังพระองค์ ทั้งในชั้นฟ้าและชั้นดิน” (อิบรอฮีม/๓๘)
“ไม่ว่าสิ่งใดที่เปิดเผยหรือปิดบังอยู่ แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงรอบรู้ทุกสิ่ง”(อะฮซาบ/๕๔)

คำถามที่๒..
ถ้าเรื่องบะดาอฺเป็นหลักการที่ถูกต้องทำไมตำราหะดีษของอะลิซซุนนะฮฺไม่นำ มากล่าวไว้บ้าง?

ตอบ
แท้จริงแล้วหลักความเชื่อเรื่องบะดาอฺ เป็นหลักการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอั-ลกุรอานและหะดีษ ดังนั้นจึงเป็นหลักความชื่อของมุสลิมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชีอะฮฺหรือซุนนะ ฮฺก็ตาม ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงอยู่แค่มัซฮับชีอะฮฺอย่างเดียว แต่การที่อุลามาอ์ฝ่ายอะลิซซุนนะฮฺไม่ยอมรับหลักการนี้ เนื่องจากการตีความคำว่า บะดาอฺ แตกต่างกัน ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูตำราหะดีษหรือตัฟซีรฺของพวกอหฺลิซซุนนะฮฺจะพบว่าแท้จริง พวกเขาก็ได้นำเรื่องบะดาอฺมากล่าวไว้เช่นกัน แค่แตกต่างกันในเรื่องของการตีความและคำที่นำมาใช้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามความหมายของบะดาอฺที่พวกเขาได้นำมากล่าวก็คือสิ่งเดียวกัน กับที่ชีอะฮฺได้กล่าว ซึ่งจะขอนำเสนอหลักฐานจากตำราหะดีษและตัฟซีรฺของอุลามาอ์ฝ่ายอะลิซซุนนะ ฮฺที่ได้กล่าวถึงเรื่องบะดาอฺไว้ดังนี้

๑.ท่านซุยูฎีย์ได้นำหะดีษบทหนึ่งจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) โดยรายงานมาจากท่านอะลี อิบนิอะบีฎอลิบว่า ท่านอะลีได้ถามท่านศาสดา (ศ็อลฯ)เกี่ยวกับโองการที่ ๓๙ ซูเราะฮฺเราะดุที่ได้ถูกประทานลงมา (พระองค์อัลลฮทรงลบเลือนสิ่งใดก็ได้ตามประสงค์ของพระองค์”) ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

“ฉันจะทำให้สายตาของเจ้า (โอ้อะลี) และอุมมะฮฺของฉันภายหลังจากฉันประจักษ์แจ้งต่อความหมายของโองการนี้ แท้จริงการศ่อดะเกาะฮฺ การทำดีต่อบิดามารดา และการทำความดีอื่นๆ เป็นสิ่งที่จะมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรม (ของมนุษย์) ที่อัปโชคให้เป็นผู้ที่มีความสันติสุข และยังเพิ่มอายุไขของมนุษย์ (ให้ยืนยาว) อีกทั้งเป็นการทำลายความชั่วทั้งหลาย (ออกจากตัวเขา)”(๑)

จากหะดีษที่ท่านซุยูฎัย์ได้นำเสนอนั้น ชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วการงานของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการ กระทำและความประพฤติของเขา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคือ การบะดาอฺ ที่มัซฮับชีอะฮฺได้กล่าวถึงและมีความเชื่อ

๒.รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า
“สิ่งที่ถูกกำหนด (ชะตากรรม)ของมนุษย์จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงไป นอกจากการดุอาอฺ และอายุไขของมนุษย์ก็จะไม่ยืนยาวออกไปนอกจากเขาได้กระทำความดี”(๒)

“อัตตาญุลยามิอฺ ลิลอุศูล”ได้บันทึกหะดีษเกี่ยวกับเรื่องบะดาอเอาไว้ และยังมีตำราหะดีษเล่มอื่นๆ อีกมากมายดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว(ในตอนที่ ๒ ตำราอหฺลิซซุนนะฮกับเรื่องบะดาอฺ) ฉะนั้นจากคำกล่าวหาของท่านอิมามฟักรุรฺรอซีย์ อะบุลฮะซัน อัลบัลฆีย์ และอิมามอัชอะรีย์ ถือว่าเป็นการกล่าวหาที่ไร้หลักฐานอีกทั้งท่านได้แสดงให้เห็นว่าท่านไม่เข้า ใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าบะดาอฺ หรืออาจเป็นเพราะว่าความอคติที่มีต่อชีอะฮฺก็ว่าได้

คำถามที่๓
หลักความเชื่อเรื่องบะดาอฺ จะถูกต้องได้อย่างไร?เพราะว่ามีหะดีษอีกจำนวนหนึ่งกล่าวถึงการกำหนดที่ตาย ตัว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกหลังจากนั้น ดังหะดีษบทหนึ่งที่บันทึกว่า

“มะลาอิกะฮฺผู้ดูแล (ขั้นตอนการสร้างมนุษย์)ขณะที่ยังเป็นอสุจิได้กล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้า (เขาผู้นี้จะมีชะตากรรมที่ดีหรือไม่ดี) ดังนั้นมะลาอิกะฮฺได้บันทึกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชา ได้บันทึกการงาน อายุไข และปัจจัยยังชีพของเขา หลังจากนั้นบัญชีทุกอย่างได้ปิดลง ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอาจเพิ่มและลดลงได้อีก (ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้วหลังจากนั้น)”

ตอบ
แท้จริงหะดีษข้างต้น สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้ คือ

หะดีษดังกล่าวมีจำนวนไม่น้อยที่อุลามาอ์ฝ่ายอะลิซซุนนะฮฺได้บันทึกไว้ ทั้งศ่อฮีย์บุคคอรีย์ ศ่อฮีย์มุสลิม ติรฺมีซีย์และอื่นๆ เป็นหะดีษที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่า

๑.หะดีษเหล่านี้ได้ขัดแย้งกับอัล-กุรอาน เนื่องจากอัล-กุรอานได้กล่าวยืนยันไว้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงการงานของมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลง โดยขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ที่พระองค์กำหนดไว้และที่สำคัญอัล-กุรอานยังได้กล่าวตำหนิต่อผู้ที่กล่าวใส่ ร้ายพระองค์อัลลอฮฺว่าพระองค์ทรงหยุดการบริหาร ดังเรื่องราวของพวกยิว พระองค์ตรัสว่า

وقاَلَتِ الْيَهُودُ يَدُ اللّهِ مَغْلُولَةٌ غُلَّتْ أَيْدِيهِمْ وَلُعِنُواْ بِمَا قَالُواْ بَلْ يَدَاهُ مَبْسُوطَتَانِ يُنفِقُ كَيْفَ يَشَاء
“และะชาวยิวนั้นได้ล่าวว่าพระหัตถ์ (อำนาจแห่งการบริหาร) ของพระองค์อัลลอฮฺ.ถูกล่ามตรวน (หมายถึงหยุดการบริหาร) มือของพวกเขาต่างหากที่ถูกล่ามตรวน และพวกเขาจะถูกสาปแช่งเนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้ แต่ทว่าพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ (หมายถึงอำนาจแห่งการบริหาร) ทรงแบอยู่เสมอ ซึ่งพระองค์จะทรงแจกจ่ายอย่างไรก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์”(๕/๖๗)

อีกโองการหนึ่ง
“พระองค์อัลลออทรงลบสิ่งใดตามพระประสงค์ของพระองค์ และจะให้คงอยู่ตามประสงค์ของพระองค์”(เราะดุ/๓๙)

ดังนั้นเมื่อหะดีษได้ขัดแย้งกับอัล-กุรอาน จงขว้างมันทิ้งเสีย เพราะมันเป็นหะดีษที่ถูกอุปโลคขึ้นมาอย่างแน่นอน

๒.อีกเหตุผลหนึ่งหะดีษนั้นได้ขัดแย้งกับหะดีษอีกจำนวนหนึ่งที่ได้กล่าว ถึงการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมนุษย์ เช่นการบริจาฃคทาน การมีสัมพันธ์ที่ดีทางเครือญาติ การทำดีทั้งหลาย อันเป็นสาเหตุทำให้มีชีวิตที่ดีงาม และหะดีษในทางกลับกันถ้าผู้นั้นทำการฝ่าฝืน สิ่งนี้จะบันทอนให้อายุของเขาสั้นลง และมีชะตากรรมที่เลวร้าย เช่นบันทึกไว้ว่า

ท่านศาสดา (ศ็อลฯ)กล่าวว่า
“ชะตากรรมของมนุษย์จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง นอกจากการดุอาอฺ และอายุไขของมนุษย์ก็จะไม่ยืนยาวออกไปนอกจากการกระทำดี”(๑)

รายงานจากอิบนิอับบาสกล่าวว่าท่านศาสดาได้กล่าวว่า
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงลบสิ่งใดก็ได้ จากสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดไว้แล้ว (ก่อดัรฺ) ด้วยกับการดุอาอฺ”(๒)

และริวายะฮฺอื่นๆ อีกมากมายที่ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมนุษย์ ดังนั้นหลักการได้กล่าวว่า เมื่อสองหะดีษได้ขัดแย้งกัน ก็จงนำไปเปรียบเทียบกับอัล-กุรอานว่าหะดีษใดมีความหมายไม่ขัดแย้งกับอัล-กุ รอานแน่นอนผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ อัลกุรอานได้สนับสนุนหะดีษที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมนุษย์

คำถามที่๔
ความหมายของหะดีษในเรื่องบะดาอฺ เกี่ยวกับเรื่องของท่านอิสมาอีล บุตรชายของอิมามซอดิก(อ.) หมายความว่าอย่างไร?

ตอบ
ตำราหะดีษของชีอะฮฺกล่าวถึงเรื่องท่านอิสมาอีล บุตรชายคนโตของท่านอิมามซอดิก(อ.)ว่า ไม่มีการบะดาอฺใด (เปลี่ยนแปลง) ของพระองค์อัลลอฮฺจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบะดาอฺในเรื่องของอิสมาอีลบุตรชายของฉัน”

จากหะดีษข้างต้นสามารถวิเคราะห์ได้ว่า
๑.แท้จริงหะดีษบทนี้อุลามห์ฝ่ายชีอะฮ อาทีเช่นท่านมุฮักกิกฎูซีย์ และเชคมุฟีดได้กล่าว่าเป็นหะดีษที่มีสายรายงานขาดตอน (มุรฺซัน) และเป็นหะดีษประเภทค่อบัรฺวาฮิด หมายถึงสายรายงานมีน้อย ดังนั้นไม่อาจนำมาเป็นหลักฐานได้ ท่านมุฮักกิกฎูซีย์ได้กล่าวอีกว่า

“แท้จริงหะดีษเกี่ยวกับเรื่องบะดาอฺของท่านอิสมาอีล (ให้เสียชีวิตก่อน เพื่อตำแหน่งอิมามจะตกเป็นของท่านอิมามมูซา กาซิม) ถือว่าเป็นค่อบัรฺวาฮีด(มีสายรายงานน้อย)ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้” และหะดีษบทนี้มีเพียงท่านเชคศอดูกเท่านั้นที่ได้รายงานไว้ ดังนั้นอุละมาอ์เพียงคนเดียวไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องได้

๒.ประการที่สองแท้จริงหะดีษบทนี้ได้ขัดแย้งกับหะดีษมุตะวาตีรฺในเรื่องตำ แหน่งอิมาม เพราะมีหะดีษอีกจำนวนหนึ่งได้กล่าวถึงรายนามของบรรดาอิมามไว้ล่วงหน้าแล้ว อันเป็นการกำหนดที่ตายตัวไม่มีการเปลี่ยนใดๆ ดังนั้นเมื่อหะดีษที่มีสายรายงานน้อยได้คัดค้านกับหะดีษที่มีสายรายงานมา หลักการของวิชาหะดีษกล่าวว่าให้นำหะดีษที่มีสายรายงานมากขึ้นหน้า

๓.ประการที่สามผู้รายงานหะดีษบทดังกล่าวคือท่านเซด อัลนัรซีย์ อุละมาอ์ชีอะฮฺทั้งหมดกล่าวว่าเชื่อถือไม่ได้ และไม่เป็นบุคคลที่ไม่หน้าเชื่อถือ

๔.ประการที่สี่ ถ้าสมมติว่าหะดีษนี้เป็นหะดีษที่ถูกต้อง ดังนั้นความหมายของการบะดาอฺในหะดีษบทนี้ คือแท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงเปลี่ยนแปลงหรือบะดาอฺเรื่องการไม่สบาย และการป่ว่ยหนักของท่านอิสมาอีลต่างหาก ไม่ใช่เป็นการบะดาอฺในเรื่องตำแหน่งอิมามของท่านอิสมาอีลให้มาเป็นของท่านมูซา อัลกาซิม

๕.ประการที่ห้า แท้จริงเรื่องของบะดาอฺจะเกิดขึ้นต่อสิ่งที่ไม่ได้ถูกกำหนดตายตัว แต่เรื่องตำแหน่งอิมามเป็นเรื่องที่ได้ถูกหนดไว้ตายตัวแล้วจากพระองค์อัล ลอฮฺ (ซบ.) ด้วยเหตุนี้หะดีษดังกล่าวจึงขัดแย้งกับหลักการบะดาอฺอย่างสิ้นเชิง.



หนังสือประกอบการเรียบเรียง
ตำราภาษาอาหรับ
๑.บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๔ อัลลามะฮมัจลีซีย์
๒.อุศูลุลกาฟีย์ เล่มที่ ๑เชคกุลัยนีย์
๓.เตาฮีด ศะดูก เชคศะดูก
4.ชัรห์เตาฮีดศะดูก มุฟีด อัลกุมีย์
๕.อัศลุชีอะฮฺวะอุศูลุฮา กาชิฟุลฆิฎอ
๖.ฮักกุลยะกีน เล่มที่ ๑ อัลลามะฮชุบบัร
7.อะลาอิลุลมะกอลาต เชคมุฟีด
8.อัซฟาร เล่มที่ ๖ มุลลาศ๊อดรอ
๙.อัลบะดาห์ ฟิลกิตาบ วัซซุนนะฮ เชคยะฟัร ซุบฮานี
๑๐.อัลบะดาห์ ฟิลกุรอาน วัลหะดีษ อะยาตุลลอฮฮาดีย์ มะรีฟัต
๑๑. ตัลฆีซุลมุฮัซซอล มุฮักกิก ตุซีย์
๑๒.กัชฟุมุรอด อัลลามะฮฮีลลี้
๑๓.ตัฟซีรมัจมะอุลบะยาน อัลลามะฮฎอบัรซีย
๑๖.บุฮูซุน ฟีมุลัล นนิฮัล เล่มที่ ๖ เชคยะอฺฟัรซุบฮานี

ตำราภาษาเปอร์เซีย
๑.ยับรุอิคติยารฺ เชคยะฟัร ซุบฮานี
๒.อิฎอฮุลอิกมะฮ อะลี ร็อบบะนีย์ ฆุลบัยกานีย



โปรดติดตามต่อ

ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์