อรรถาธิบายนมาซ อรรถาธิบายนมาซ
ผู้ประพันธ์: ฮุจญะตุลอิสลาม เชค มุฮฺซิน กิรออะตี



หมวดที่ ๑ อิบาดะฮฺกับอุบูดียะฮฺ
๑. อิบาดะฮฺหมายถึงอะไร
อิบาดะฮฺ คือ เป้าหมายในการสร้างมนุษย์ อัล-กุรอานกล่าวว่า
“ข้ามิได้บันดาลมนุษย์และญินขึ้นมาเพื่อการใดนอกจากเพื่อให้พวกเขาทำ การอิบาดะฮฺ” (อัซ-ซาริยาต : ๕๖)

ภารกิจต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ปฏิบัติเป็นประจำ ถ้ามีเจตนาเพื่อมุ่งหวังความโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้าถือว่า เป็นอิบาดะฮฺไม่ว่าภารกิจนั้นจะเป็น การทำมาหากิน การศึกษาหาความรู้ การสมรส การรับใช้สังคมและการประกอบอาชีพส่วนตัว ดังนั้น การงานใดก็ตามที่มีแนวทางความคิดเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า “การย้อมด้วยสีสันของอัลลอฮฺ” ถือว่าเป็นอิบาดะฮฺทั้งสิ้น

ในบางครั้งภารกิจของคนเราได้กระทำไปเพราะความเคยชิน หรือไม่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ภารกิจที่เป็นความเคยชินบางที่ก็มีค่าอย่างเช่น การออกกำลังกาย แต่บางทีก็ไม่มีค่า เช่น การสูบบุหรี่ เป็นต้น แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นธรรมชาติ หมายถึง บนพื้นฐานธรรมชาติดั้งเดิมที่พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ทุกคน สิ่งนั้นย่อมมีค่าเสมอ

ความเป็นพิเศษของธรรมชาติที่เหนือความเคยชิน คือ เวลา สถานที่ เพศ วัยและเชื้อชาติ และธรรมชาติบางอย่างมนุษย์ทุกคนสามารถครอบครองมันได้ บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อย่างเช่น ความรักที่มีต่อครอบครัว บุตรและธิดา ซึ่งความรักประเภทนี้ไม่ขึ้นกับเวลาหรือสายตระกูลที่เฉพาะเจาะจง เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมรักในสายเลือดของตน ๑* แต่ความรักที่มีต่อสิ่งอื่นเช่น เสื้อผ้าและอาหาร ถือว่าเป็นความเคยชินและมีความแตกต่างกันทั้งสถานที่และเวลา ซึ่งในบางพื้นที่อาจมีบางสิ่งบางอย่างเป็นประเพณีประจำท้องถิ่น แต่สิ่งเดียวกันนี้เมื่ออยู่ที่อื่นไม่ถือว่าเป็นประเพณี

อิบาดะฮฺและการเคารพภักดีเช่นกันถือว่าเป็นธรรมชาติดั่งเดิมของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าอิบาดะฮฺนั้นเป็นของเก่าแก่ที่สุด สวยที่งามที่สุดและเป็นโค่งร่างที่แข็งแรงที่สุดบนร่างกายมนุษย์ เมื่อเทียบกับสถานที่ประกอบอิบาดะฮฺ มัสญิดต่าง ๆ โบสถ์และวัด

แน่นอนรูปแบบของการแสดงความเคารพภักดี ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่มนุษย์ทำการเคารพสักการะ ซึ่งอาจเป็น ก้อนหิน ดวงอาทิตย์ เทวรูปต่าง จนถึงพระผู้เป็นเจ้าผู้มีความเกรียงไกร และอีกประหนึ่ง คือ วิธีการแสดงการเคารพสักการะ ซึ่งมีทั้งการเต้นรำ การบูชยันต์ จนถึงคำพรรณนาที่ลึกซึ้งดื่มด่ำในวิญญาณของหมู่บรรดาเอาลิยาอฺผู้เป็นมวล มิตรแห่งผู้พระผู้เป็นเจ้า

เป้าหมายของบรรดาศาสดา (อ.) มิใช่สร้างวิญญาณแห่งการเคารพภักดีให้กับมนุษย์ แต่ท่านมาเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะ และรูปแบบของมัน

งบประมาณจำนวนมากมายที่มนุษย์ได้ทุ่มเทให้กับการสร้างและตบแต่งโบสถ์ วัดวาอาราม หรือ มัสญิด ให้ความสำคัญต่อธงประจำชาติ,มาตุภูมิ ทำการสรรเสริญต่อ ความสำเร็จสมบูรณ์ของบุคคลหรือสรรพสิ่ง ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นภาพปรากฏและความชัดเจนในการแสดงความเคารพ ภักดีของจิตวิญญาณที่มีอยู่ในตัวษย์

บรรดาพวกที่ไม่เคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าบางครั้งอาจจะบูชาเงินตรา ตำแหน่ง ภรรยา บุตรธิดา หลักฐานสำคัญทางการศึกษา ศาสนา และรวมไปถึงแนวทางและวิถีการส่วนตัว พวกเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง ความสามารถที่มีอยู่ในตัวจนกระทั่งชีวิตจะหาไม่ หรือในบางครั้งพวกเขาจะเสียสละชีวิตเพื่อเทพเจ้าของตน สรุปก็คือ จิตวิญญาณในการเคารพภักดี ถือเป็นรากเหง้าของธรรมชาติที่ลุ่มลึกอยู่ในตัวมนุษย์จะหลงลืมมันก็ตาม ดุจดังเช่นอารมณ์ความรู้สึกของทารกที่มีต่อมารดา แม้ว่าเด็กน้อยจะไม่รู้ว่าความเร้นลับของความรู้สึกนั้นคืออะไรแต่มันก็แฝง อยู่ในตัวเขาตลอดมา

อัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ทรงปรีชาญาณได้มอบอารมณ์ความรู้สึกให้กับมนุษย์พร้อมทั้งได้สร้างสื่อภาย นอกเพื่อให้มนุษย์มีความรู้สึกพึงพอใจกับมัน ฉะนั้นคราใดที่เขารู้สึกกระหายพระองค์ได้สร้างน้ำ เมื่อเขารู้สึกหิวพระองค์ได้ร้างอาหาร และเมื่อเขามีความรู้สึกทางเพศ พระองค์ได้สร้างภรรยาแก่เขา และเมื่อพระองค์ให้พลังในการสูดดมกับเขา พระองค์ก็สร้างสิ่งที่เขาจะสูดดมขึ้นมาด้วย

และหนึ่งในความรู้สึกที่ลุ่มลึกในตัวมนุษย์ อันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีขอบเขต คือความรักที่มีต่อความสมบูรณ์ การดำรงอยู่ และความสัมพันธ์ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า การเคารพสักการะต่อพระองค์คือ สิ่งที่จะทำให้ความรู้สึกทางธรรมชาติของมนุษย์สมบูรณ์ นมาซและอิบาดะฮฺอื่น ๆ คือสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้าเป็นการแสดงความคุ้นเคยกับ ความรักที่แท้จริง และเป็นการพึ่งพิงไปยังพระผู้ทรงอำนาจที่ไร้ขอบเขต

๒.รากแก้วแห่งการเคารพภักดี
ใครก็ตามที่รู้จักพระผู้เป็นเจ้าจากคุณสมบัติที่สมบูรณ์ต่างๆ เขายังจะบังอาจไม่ยอมจำนนต่ออำนาจของพระองค์อีกกระนั้นหรือ... อัล-กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความยิ่งใหญ่และเดชานุภาพของพระองค์ไว้อย่างมากมาย ดังเช่นเรื่องราวของท่านหญิงมัรยัม อัล-กุรอานกล่าว “อัลลอฮฺได้ประทานบุตรให้กับท่านหญิงมัรยัมโดยปราศจากสวามี” อัลลอฮฺได้แยกแม้น้ำไนล์ออกเพื่อให้ท่านนบีมูซา (อ.) กับพลพรรคเดินผ่าน และให้ฟิรอาวน์กับกองทหารจมน้ำตายในนั้น พระองค์ได้จัดการให้เหล่าบรรดาศาสดาทั้งหลายมีชัยชนะเหนืออำนาจต่างๆในยุค สมัยของตนด้วยมือเปล่า”

อัล-กุรอานยังกล่าวอีกว่า “พระองค์ได้ทรงบันดาลมนุษย์ทั้งหลายจากดินที่ไร้ชีวิต ดังนั้นชีวิต ความตาย เกียรติยศ และความตกต่ำ อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”

ผู้ที่มีความรู้สึกว่าตนอ่อนแอ ไร้ความสามารถ โง่เขลา อยู่ในขอบเขตจำกัด ตกอยู่ในอันตรายหรือตกอยู่ในเหตุการณ์ทีไม่คาดฝัน หรือพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เขากับไม่รู้ สึกว่าต้องการผู้ให้การช่วยเหลือหรือต้องยอมรับความจริง

อัล-กุรอานได้กล่าวถึงความอ่อนแอของมนุษย์ว่า “โอ้มนุษย์เมื่อเจ้าคลอดออกมา สูเจ้าไม่รู้อะไรเลย สูเจ้าไม่รู้เหตุการณ์ข้างหน้า สูเจ้านั้นอ่อนแอ และเมื่อสูเจ้าแข็งแรงขึ้นและมีความรู้ สูเจ้าก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม”

สูเจ้านั้นอยู่ท่ามกลางภยันตรายต่างๆ มากมาย เช่น ถ้าโลกหมุนรอบตัวเองช้าลง กลางวันหรือกลางคือไม่มีการเปลี่ยนแปลง สูเจ้าจะอยู่ได้อย่างไร แล้วใครกันเล่าที่รักษาความเร็วของการหมุนของโลกให้มีความสมดุลย์ คอยให้การเปลี่ยนแปลงระหว่างกลางวันกับกลางคืน

ถ้าน้ำดื่มของได้พวกท่านได้เหือดหายไป แล้วจะมีใครอีกเล่าที่จะนำน้ำอันอุดมสมบูรณ์มาให้สูเจ้า”

หากเราประสงค์ เราจะบันดาลให้น้ำดื่มของสูเจ้าเค็มและขม (อัล-วากิอะฮฺ /๗๐)
หากเราปรารถนา เราจะบันดาลให้ต้นไม้แห้งเหี่ยวตลอดเวลา (อัล-วากิอะฮฺ / ๖๕)
หากเราปรารถนา เราจะให้ธรณีสูบพวกเขา หรือไม่ก็ให้มีวัตถุตกลงมาจากฟากฟ้า (สะมาอฺ / ๙)

สิ่งทั้งหมดเหล่านี้และอื่น ๆ อีกมากมายที่อัล-กุรอานได้กล่าวถึง เพื่อเตือนสำทับให้กับมนุษย์ตื่นจากการหลับใหลและความหลงลืม ขจัดความโง่เขลาเบาปัญญา ความอวดดี และความดื้อดึงต่าง ๆ ให้หมดไปจากตนเอง โดยหันมาสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์ และยอมจำนนตอพระผู้อภิบาล ผู้ทรงบันดาลสูเจ้ามาจากดิน

๓.ความลึกซึ้งในการเคารพภักดี
การเคารพภักดี เป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่เราเห็นความอ่อนน้อมแต่ภายนอก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีความลึกซึ้งอีกมากมาย

การเคารพภักดีเป็นแรงปรารถนาของจิตวิญญาณ การรู้จัก สมาธิที่มุ่งมั่น ความศักดิ์สิทธิ์ การสรรเสริญ ความปรารถนา และความรักที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าคู่ควรแก่การเคารพภักดี และเป็นผู้มีความสมบูรณ์แบบ ไร้ขอบเขต

แน่นอนการเคารพภักดี เป็นการกระทำที่ดูภายนอกว่าง่าย แต่ถ้าปราศจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นจะไม่ถือว่าการกระทำนั้นเป็นอิบาดะฮฺ การเคารพภักดีนั้นหมายถึง การตัดขาดจากกิเลศและอบายมุขทั้งหลาย เป็นการขับเคลื่อนจิตวิญญาณให้ไปสู่ความสูงส่ง เห็นสิ่งต่างๆ ด้วยตาใจ การเคารพภักดีเป็นตัวสนับสนุนความรักของมนุษย์ที่ในบางครั้งจะแสดงออกด้วย การกล่าวสรรเสริญสดุดี ขอบคุณ แสดงความจำนนต่อพระองค์

การไม่เห็นความแตกต่างเมื่อพิจารณาถึงอิบาดะฮฺ

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “โอ้มนุษย์เอ๋ย พึงสังวรไว้เถิดว่าอายุขัยของเราผ่านพ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว (ขณะที่มนุษย์มีความสามารถทุกอย่าง การเรียนรู้ การพัฒนา สิ่งอำนวยความสะดวก สติปัญญา มีความรู้และมีพจนารถจากอัลลอฮฺ (ซบ.) แต่ยังเอาดีไม่ได้ ยังเหมือนกับสัตว์ที่เดินย่ำอยู่บนทุ่งหญ้าที่เอาแต่กินและนอนอย่างมีความสุข

แน่นอนอารยธรรม เทคโนโลยี และการวิวัฒนาการทางวัตถุเป็นผลทำให้สภาพชีวิตการเป็นอยู่ของมนุษย์สะดวก สบายขึ้น แต่ทว่าความสมบูรณ์ขอมนุษย์ขึ้นอยู่กับการไขว่คว้าความสะดวกสบายทางวัตถุเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ สมมติว่าเป็นเช่นนี้จริง บรรดาปศุสัตว์ทั้งหลายย่อมมีคุณภาพชีวิตดีกว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเป็นด้าน อาหารการดิน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการหาความสุขทางเพศ ถือว่ามีความก้าวหน้ากว่ามนุษย์เพราะสัตว์กินอยู่แบบง่าย ๆสะดวกสบายไม่ต้องเรื่องมากเหมือนมนุษย์ ไม่ต้องปรุงอาหารให้เสียเวลา

ส่วนเครื่องนุ่งห่มไม่ต้องตัดเย็บและซักรีดเหมือนมนุษย์ การหาความสุขทางเพศไม่มีขอบเขตจำกัดและไม่ต้องประสบปัญหากับโรคติดต่อทางเพศเหมือนที่มนุษย์ประสบอยู่ในปัจจุบัน ที่อยู่อาศัยสัตว์ใช้วัสดุทางธรรมชาติและใช้แรงงานของตนเอง ไม่ต้องพึ่งเครื่องไม้เครื่องมือให้ยุ่งยาก มีการออกแบบในการสร้างโดยไม่ต้องอาศัยสถาปนิกหรือวิศวกรแต่อย่างไร ฉะนั้นการวิวัฒนาการทางวัตถุ และเทคโนโลยี เป็นเหตุให้มนุษย์พัฒนาไปด้วยหรือเปล่า หรือเป็นเหตุทำให้เกิดความเสื่อมทรามกับสังคมและปัจเจกบุคคล และความสะดวกสบายได้นำพาความสงบมาสู่สังคมมนุษย์หรือไม่

ถึงแม้ว่าโลกจะวิวัฒนาการไปมากแค่ไหน แต่ถ้าสังคมมนุษย์ยังปราศจากผู้นำที่เที่ยงธรรม ที่บริสุทธิ์ และยุติธรรมถือว่ามนุษย์ยังถูกกดขี่อยู่วันยังค่ำ และยิ่งถ้าจิตใจของมนุษย์ปราศจากความเชื่อมั่นและกลิ่นอายของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการดูถูกความเป็นมนุษย์ของตนอย่างรุนแรง

๔.ขอบข่ายของอิบาดะฮฺขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของพระผู้เป็นเจ้า
การอิบาดะฮฺ ของมนุษย์ แม้ว่าจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งความแตกต่างเหล่านั้นจะมีอยู่สิ่งหนึ่งคงที่และไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย นั้นคือ ความพึงพอใจของพระองค์ แม้ว่าในบางครั้ง กาลเวลา สถานที่ สังคม และบุคคล จะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการกำหนดขอบเขต เช่นเมื่อเดินทางไกล ไม่อนุญาตให้ถือศีลอด และต้องทำนมาซย่อ หมายถึง นมาซ ที่มี ๔ ระกะอัต ให้ทำแค่ ๒ ระกะอัต หรือในบางครั้งความป่วยไข้ จะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอิบาดะฮฺเช่น ถ้าไม่สามารถโดนน้ำได้ให้ทำตะยำมุมแทน หรือไม่สามารถยืนปฏิบัตินมาซได้ให้นั่งปฏิบัติ ถ้านั่งไม่ได้ให้นอนปฏิบัติ ถ้านอนแล้วยังลำบากอยู่อีกให้ใช้สัญลักษณ์แทน เพราะไม่ว่าท่านจะใช้อริยาบทอย่างไร (ตามที่อิสลามบัญญัติไว้) ก็ถือว่าเป็นนมาซทั้งสิ้น โดยมีเป้าหมายในการปฏิบัติเพื่อแสวงหาความโปรดปราน ความใกล้ชิด และปฏิบัติไปตามบัญชาของพระองค์ อัล-กุรอานกล่าวว่า

“สูเจ้าจงดำรงนมาซเพื่อระลึกถึงข้า” (ซูเราะฮฺอัฏฏอฮา /๑๔)

๕.วิญญาณของอิบาดะฮฺ
มนุษย์นั้นมีองค์ประกอบอยู่ ๒ อย่างคือ สังขารกับวิญญาณ ซึ่งทั้งสองนั้นต้องการการเจริญเติบโตและการเจริญเติบโตต้องอาศัยอาหารเป็น หลัก หลักการแพทย์กล่าว อาหารที่ดีที่สุด คืออาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายในการสร้างพลังงานและกล้ามเนื้อเพื่อให้ ร่างกายแข็งแรง ดังนั้นเมื่อสังขารต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโตวิญญาณก็ต้องการด้วยเช่น กันซึ่งอาหารของวิญญาณคืออิบาดะฮฺ อิบาดะฮฺที่ดีที่สุด คืออิบาดะฮฺที่ให้ความอิ่มเอิบกับวิญญาณ มีการปฏิบัติด้วยความนอบน้อม และมีสมาธิมั่นคง การรับประทานอาหารมากมิได้เป็นประโยชน์กับร่างกาย สิ่งที่ร่างการต้องการคือ อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวกับท่านญาบีร อันศอรีย์ว่า “แท้จริงแล้วศาสนาของอัลลอฮฺ มีความแข็งแรงมั่นคง แฝงเร้นด้วยปรัชญา ดังนั้นเจ้าจงรีบดำเนินไปพร้อมกับมัน ครั้นเมื่อวิญญาณของสูเจ้ายังไม่พร้อม จงอย่าบังคับตัวเองเพราะอิบาดะฮฺมันจะโกรธเจ้า” (บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๗๑ หน้า ๒๑๒)

อีกหะดีษหนึ่งท่านศาสดากล่าวว่า
“ช่างเป็นความผาสุกอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักในอิบาดะฮฺและหวงแหนมัน”
(บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๗๑ หน้า ๒๑๒)

การรู้จักประมาณในอิบาดะฮฺ
เมื่อวิญญาณของอิบาดะฮฺถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา บุคคลนั้นควรรู้จักประมาณในการปฏิบัติ ดังที่เราพบว่า หนังสือหะดีษจำนวนมากมาย ได้รวบรวมหะดีษไว้ภายใต้หัวข้อว่า
“ความจำกัดในอิบาดะฮฺ” (อุศูลกาฟีย์เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๘๖ )

คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ครบสามสิบสอง หมายถึงคนที่ร่างกายและอวัยวะทุกส่วนมีความเหมาะสมพอดิบพอดีกันไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป แต่ถ้ามีอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดไม่สมบูรณ์หรือผิดปรกติธรรมชาติ จะเรียกว่าเป็นคนพิการ จิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องมีการฟูมฟักในลักษณะที่มีความเหมาะสมและสัมพันธ์กัน ได้มีข่าวมาถึงท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ว่า
“มีประชาชนกลุ่มหนึ่งได้ทอดทิ้งภรรยาและครอบครัวไปเพื่อปฏิบัติอิบาดะฮฺ ท่านศาสดา (ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า สิ่งนี้มิใช่แบบฉบับของฉัน เพราะฉันใช้ชีวิตร่วมกับภรรยาและครอบครัวภายในบ้านหลังเดียวกัน และใครก็ตามที่มิได้ปฏิบัติเช่นนี้มิใช่พวกของฉัน” (อุศูลกาฟีย์ เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๔๙๖)

ท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้เล่าเรื่องมุสลิมคนหนึ่งที่มีเพื่อนบ้านเป็นคริสต์เตียน ต่อมาเพื่อนบ้านของเขารับอิสลาม มุสลิมคนนี้ปลุกเพื่อนบ้านมุอัลลัฟ(มุสลิมใหม่)เพื่อไปนมาซที่มัสญิดทุกวัน อีกทั้งกำชับให้ทำเขานมาซตะฮัจญุดก่อนถึงเวลาศุบฮฺ และเมื่อนมาซศุบฮฺเสร็จ เขาก็จะบอกให้อ่านดุอาอฺจนกว่าตะวันจะขึ้น และเมื่อถึงเวลาซุฮฺริ ก็ให้อ่านอัล-กุรอาน ซึ่งตลอดทั้งวันเขามิได้ทำอย่างอื่นเลย นอกจากนมาซ อ่านอัล-กุรอานและดุอาอฺ
เมื่อคริสเตียนที่เป็นมุสลิมใหม่กลับถึงบ้าน เขาตัดสินใจเลิกเป็นมุสลิม และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาไม่เดินผ่านมัสญิดอีกเลย” (ซีรีย์ ดัรซีรีย์ นะบะวีย์ หน้าที่ ๒๑๓)

แน่นอนการปฏิบัติอิบาดะฮฺที่ไม่รู้จักประมาณโดยเคร่งเครียดอยู่กับอิบาดะฮฺตลอดเวลานั้น มิใช่แบบฉบับของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้มิได้สร้างผลดีให้กับอิสลามแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม จะสร้างความเบื่อหน่าย และทำให้ผู้คนเหินห่างออกจากอิสลาม

ท่านชะฮีด มุรตะฎอ มุเฏาะฮฺฮะรีย์ เล่าว่า อัมริอาค์ มีบุตรชาย ๒ คน คนหนึ่ง เป็นคนดีมีอีมาน ส่วนอีกคนเป็นคนไม่ดี (ซึ่งต่อมาคนที่มีอีมานได้เป็นผู้สนับสนุนท่านอิมามอะลี (อ.) ส่วนอีกคนได้สนับสนุนมุอาวิยะฮฺ)ท่านศาสดา (ศ็อลฯ)ได้กล่าวกับคนที่มีอีมานว่า “ฉันได้ยินว่าเจ้านั้นปฏิบัติอิบาดะฮฺตลอดทั้งคืน ส่วนตอนกลางวันถือศีลอดใช่ไหม ตอบว่า ใช่ครับ ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงกล่าวว่า การปฏิบัติเช่นนี้มิใช่แบบฉบับของฉัน” (เฏาะฮาเราะฮฺ รูหฺ หน้าที่ ๑๒๒)

ริวายะฮฺ ได้กล่าวว่า
“จิตวิญญาณของมนุษย์มีสองลักษณะคือ ยอมจำนนและดื้อดึง” (บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๒๘ หน้าที่ ๓๕๗) ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าจิตมีความสมัครใจ เราก็ควรใช้ประโยชน์ตรงนั้น แต่เมื่อจิตใจไม่พร้อมก็จงอย่าฝืนใจปฎิบัติ เพราะจะทำให้แหนงหน่ายและมีอคติในที่สุด

อิสลามได้แนะนำว่า จงแบ่งเวลาของท่านออกเป็น ๔ ส่วน สิ่งหนึ่งในสี่นั้น ควรเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนหาความสุข เพราะถ้าปฏิบัติได้เช่นนี้จะเป็นเหตุทำให้มีความสุขกับการปฏิบัติ อมั้ลอื่น ๆ ต่อไป (บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๔๑)

แต่การหาความสุขควรอยู่บนพื้นฐานของขนบธรรมเนียมและจารีตอิสลาม โดยไม่เบียดเบียนหรือสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น ดังเช่น อัล-กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องราวของพวกยะฮูดีไว้ว่า ในวันหยุดพักผ่อนพวกเขาจะไปจับปลา และทำการล่วงละเมิดต่าง ๆ “ขอสาบานแท้จริงสูเจ้ารู้ดีถึงผู้ล่วงละเมิดในหมู่พวกเจ้าในวันเสาร์ (มีบัญญัติห้ามมิให้จับปลา) ดังนั้นเราจึงสาปพวกเขาว่า สูเจ้าจงกลายเป็นสิ่งที่มีแต่ความอัปยศเถิด” (อัล-บะกอเราะฮฺ/๔๖)

ฉะนั้น การพักผ่อนหาความสุขเพื่อรักษาความสดชื่นในการปฏิบัติอิบบาดะฮฺ ถือว่าจำเป็นและเป็นหนึ่งในหลักการของการอิบาดะฮฺที่รู้จักประมาณ

การบริหารในอิบาดะฮฺ
การบริหารมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ปัญหาของสังคม, เศรษฐกิจ และการเมืองเท่านั้น หากแต่ทว่ามันครอบคลุมไปถึงเรื่องอิบาดะฮฺด้วย สิ่งจำเป็นที่หลักการบริหารกล่าวไว้ เช่น การวางแผนงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว, การจัดหาบุคคลที่เหมาะสมมาบริหาร การวางกฎเกณฑ์ และการควบคุม อิบาดะฮฺก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องมีหลักการและปฏิบัติไปตามนั้น เพื่อการเติบโตและสมบูรณ์

นมาซเป็นหนึ่งในการอิบาดะฮฺที่มีแผนงานระยะยาวโดยเริ่มจากตักบีเราะตุ้ลอิหฺรอมจนถึงสลาม มีการกำหนดไว้อย่างแน่นอนถึงจำนวนเราะกะอัต รุกูอฺ สุญูด เวลาที่ปฏิบัติ และทิศทางที่ต้องหันหน้าไปสู่ขณะปฏิบัติ

แต่เฉพาะแผนงานเพียงอย่างเดียวถือว่าไม่เพียงพอ เพราะเมื่อถึงขั้นตอนของการปฏิบัติ สิ่งที่จำเป็นคือ การเลือกเฟ้น อิมามผู้นำนมาซ การจัดระเบียบ การเชิญชวนประชาชนด้วยมารยาทที่ดีงามไปสู่มัสญิด รวมไปถึงการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติ นมาซเพื่อสร้างบรรยากาศให้เหมาะสมในฐานะที่เป็นสถานที่ปฏิบัติอิบาดะฮฺ

อิบาดะฮฺเปรียบเสมือนสถานีอนามัยที่เปิด ๒๔ ชั่วโมง
ใครก็ตามที่มีความปรารถนาติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าเขาสามารถทำได้ตลอดเวลา โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องจองเวลาล่วงหน้า และไม่ต้องการสื่อกลาง แม้ว่าบางทีอาจมีการกำหนดเวลาที่ตายตัวเอาไว้เฉพาะ เช่น ในตอนเช้าก่อนรุ่งอรุณ ตอนเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดินของวันศุกร์ หลังจากคุฎบะฮฺนมาซวันศุกร์ ขณะฝนตก ค่ำคืนก็อดรฺ และค่ำวันศุกร์ ช่วงเวลาเหล่านี้บ่งบอกถึงความประเสริฐของมัน แต่มิได้กำหนดดุอาอฺที่เฉพาะเจาะจงที่ต้องอ่านในช่วงนี้

อิบาดะฮฺนั้นเปรียบเสมือนยาที่ใช้บำบัดความหลงลืมและความพลั้งเผลอต่าง ๆ

อัล-กุร อานกล่าวว่า
“สูเจ้าจงดำรงการมนาซเพื่อระลึกถึงข้าเถิด” (อัฎฎอฮา/๑๔)

อีกโองการกล่าวว่า
“การระลึกถึงอัลลอฮฺ ทำให้จิตใจสงบ” (อัรเราะดุ/๒๘)

๖. อิบาดะฮฺทำให้เกิดความสงบ
ท่านคงเคยพบเห็นบรรดาฏอฆูตผู้มีอำนาจ เศรษฐี และนักวิชาการด้านเทคโนโลยีมาบ้างแล้ว จิตใจของคนพวกนั้นเคยสงบกับใครบ้างไหม สังคมตะวันตกในปัจจุบัน ดังที่เราได้เห็นกันอยู่ว่าพวกเขามีแต่ความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดีกันเพื่อชีวิตของดุนยา ซึ่งแตกต่างไปจากสังคมที่มีการดำรงอิบาดะฮฺและภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซบ.) จะสังเกตเห็นว่ามวลมิตรของพระองค์มีความสงบมั่นและไม่เคยวิตกหรือหวาดกลัวสิ่งอื่นใดในยามที่ต้องเผชิญกับ ภยันตราย หรือยามที่อยู่ในภาวะคับขัน ดังเช่นตัวอย่างของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) หลังจากที่ได้ถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศนาน ๑๕ ปี จึงได้เดินทางกลับมายังมาตุภูมิอีกครั้ง ขณะที่ท่านอยู่ในเครื่องบิน นักข่าวได้สัมภาษณ์ ท่านว่า “ท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อได้กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง” ตอบว่า “ฉันรู้สึกเฉย ๆ”

ขณะที่ชาวอิหร่านจำนวนหลายสิบล้านคนกำลังเป็นห่วงท่าน แต่ท่านอิมามกับรู้สึก เฉย ๆ มีแต่ความสงบนิ่ง และยังคงดำรงเศาะละตุ้ลลัยนฺ บนเครื่องบินเหมือนปรกติ ซึ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความสงบของท่านเป็นผลที่เกิดมาจากการระลึก และการปฏิบัติอิบาดะฮฺอย่างต่อเนื่อง

อีกเหตุการณ์หนึ่งบุตรชายของท่าน ซัยยิดอะหฺมัด เล่าว่า ขณะที่ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ที่กรุงปารีสได้มีนักข่าวจำนวนมากมายมาทำข่าว และขอสัมภาษณ์ท่านอิมาม (รฎ.) ขณะที่ท่านให้สัมภาษณ์อยู่นั้น ท่านได้หันมาหาฉัน และถามว่า อะหฺมัด ซุฮรฺแล้วหรือยัง ฉันตอบว่า ถึงแล้ว หลังจากนั้นท่านอิมามได้หยุดให้สัมภาษณ์ และลงจากเก้าอี้ทันที สร้างความมึนงงให้กับบรรดานักข่าวว่า เกิดอะไรขึ้น ฉันบอกพวกเขาว่า ไม่มีอะไรหรอก ท่านไปนมาซ (เพราะท่านอิมามจะนมาซตรงเวลา)

สิ่งที่ท่านอิมามปฏิบัตินั้นเป็นบทเรียนที่ได้มาจากท่านอิมามริฎอ (อ.) มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีพวกศอบิอีน (นามของพวกเขาปรากฏอยู่ในอัล-กุรอาน) ซึ่งเป็นกลุ่มนักปราชญ์ที่มีความจองหอง และดื้อรั้นที่สุด ทุกครั้งที่พวกเขาได้บริพาษกับท่านอิมาม (อ.) จะแสดงความอวดดี และไม่ยอมรับเหตุผล แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขาจำนนด้วยเหตุผล จึงกล่าวกับท่านอิมามว่า พวกเราขอยอมจำนน ซึ่งในขณะนั้นเสียงอะซานได้ดังขึ้น ท่านอิมาม (อ.) ได้ออกจากห้องไป บรรดาสาวกของท่านต่างท้วงติงว่าทำไมไม่อยู่ต่อ พวกเขายอมจำนนท่านแล้ว ถ้าท่านอยู่ต่อ พวกเขาคงยอมรับอิสลามทั้งหมด ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า นมาซตรงเวลาสำคัญกว่าการบริพาษ ถ้าพวกเขาจะยอมรับความจริงหลังจากนมาซก็ยอมรับได้ เมื่อพวกศอบิอีนได้เห็นความเคร่งครัด และความมั่นคงของท่านอิมามทำให้พวกเขาเกิดความมั่นใจในการยอมรับอิสลามมากยิ่งขึ้น (บิฮะรุ้ลอันวารฺ เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๑๗๕)


โปรดติดตามต่อ

ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์