อรรถาธิบายนมาซ

๗. อิบาดะฮฺกับการได้รับความอนุเคราะห์
อิบาดะฮฺ เป็นสื่อในการเรียกร้องความเมตตาและการอนุเคราะห์จากพระผู้เป็นเจ้า อัล-กุรอานกล่าวว่า “จงนมัสการองค์พระผู้อภิบาลของเจ้ากระทั่งความมั่นใจจะประสบแก่เจ้า” (อัล-หิจรฺ/๙๙)

ท่านศาสดามูซา (อ.) ได้ทำอิบาดะฮฺและวิงวอนอยู่บนเขา ฏูรฺ เป็นเวลานาน ๔๐ วัน ๔๐ คืน เพื่อรอรับคัมภีร์เตารอต ส่วนท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้ทำอิบาดะฮฺอยู่ที่ถ้ำฮิรอ เป็นเวลานานเพื่อรอรับวะฮีย์จากพระองค์ ริวายะฮฺได้กล่าวว่า “ใครก็ตามปฏิบัติอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺด้วยความบริสุทธิ์ใจนาน ๔๐ วัน พระองค์จะประทานฮิกมะฮฺให้ปรากฎที่จิตใจของเขาและถ่ายทอดมาทางลิ้น” (บิฮะรุ้ลอันวาร เล่มที่ ๕๓ หน้าที่ ๓๒๖)

ใช่แล้ว การปฏิบัติอิบาดะฮฺด้วยความบริสุทธิ์ใจ เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรการศึกษาเพียง ๔๐ วัน และผลิตนักศึกษาเฉพาะนักปราชญ์เท่านั้น ซึ่งพวกเขาได้รับความรู้โดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้าและจะถ่ายทอดให้ผู้อื่น

๘.ปรัชญาของอิบาดะฮฺในอัล-กุรอาน
ดังที่ทราบกันดี อีมาน (ความศรัทธา)คือพลังที่ดึงดูดมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติอิบาดะฮฺ ส่วนอิบาดะฮฺคือผลสะท้อนและภาพลักษณ์ของอีมานในใจผู้ศรัทธา หากจะเปรียบก็เหมือนกับต้นไม้ที่มีรากของมันคอยดูดซับน้ำและอาหารส่งไปเลี้ยงลำต้นและใบ ส่วนใบของมันคอยกรองแสง และความร้อนลำเลียงไปสู่ราก แน่นอนหากใครปฏิบัติอิบาดะฮฺมากกว่า ดีกว่า เขาจะรู้จักสิ่งที่เขาอิบาดะฮฺ (อัลลอฮฺ) มากยิ่งขึ้น

ปรัชญาของอิบาดะฮฺในอัล-กุรอาน
อัล-กุรอานกล่าวถึงปรัชญาในการระลึกถึงอัลลอฮฺว่า “จงดำรงนมาซเพื่อการระลึกถึงข้า” (ฎอฮา/๑๔) การระลึกถึงอัลลอฮฺทำให้เกิดความสงบแก่จิตใจ “การระลึกถึงอัลลอฮฺได้สร้างความสงบแก่จิตใจ” (อัรเราะดฺ/๒๘) ความสงบของจิตใจคือความสำเร็จในการกลับไปพบกับพระผู้อภิบาล “โอ้ดวงจิตที่สงบ จงกลับคืนสู่พระผู้อภิบาลของเจ้าเถิด” (อัล-ฟัจรฺ/๒๗-๒๘)

บางโองการกล่าวว่า แท้จริงอิบาดะฮฺ คือ การขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า “จงนมัสการต่อพระผู้อภิบาลของเจ้าผู้ทรงบันดาลเจ้ามา” (อันนิซาฮฺ/๑๗)
“ดังนั้นพวกเขาจงนมัสการพระผู้อภิบาลแห่งบ้านหลังนี้ (กะอฺบะฮฺ) พระผู้ซึ่งประทานอาหารแก่พวกเขาให้พ้นจากความหิวโหย และทรงประทานความปลอดภัยแก่พวกเขาให้ปราศจากความหวาดกลัว” (กุรอยชฺ/๓-๔)
บางโองการกล่าวถึงการอบรมของนมาซว่า “แท้จริงนมาซจะยับยั้งความอนาจารและสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย” (อัล-อังกะบูต/๔๕)

เป็นความจำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัตินมาซทุกคนที่ต้องใส่ใจต่อกฎบัญญัติทั้งหลายของอิสลามเพื่อรักษานมาซและให้เป็นที่ยอมรับ ณ อัลลอฮฺ (ซบ.) การรักษากฎระเบียบให้มั่นคงเท่ากับเป็นการเตรียมพร้อมตัวเองให้ออกห่างจากความผิดบาปและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย เหมือนกับคนสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว โดยปกติแล้วเขาจะไม่นั่งลงบนพื้นสกปรกเด็ดขาด

อัล-กุรอานยังกล่าวแนะนำเกี่ยวกับนมาซอีกว่า “จงดำรงนมาซในสองช่วงของวัน (ศุบฮฺกับซุฮรฺ) และช่วงพลบค่ำ แท้จริงความดีทั้งหลายจะขจัดความเลวร้ายทั้งปวง” (ฮูด/๑๑๔)

ฉะนั้น แท้จริงแล้วจะพบว่า นมาซคือ การขออภัยโทษในความผิดบาปที่เป็นรูปธรรมซึ่งอัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งทรงเปิดโอกาส และให้ความหวังต่อผู้กระทำความผิดทั้งหลายว่า หากพวกเขาปรารถนาที่จะกลับตัวกลับใจ ก็จะดำรงนมาซและอิบาดะฮฺเถิด เพราะสิ่งนี้จะขจัดความชั่วร้ายและความผิดบาปให้พ้นไปจากพวกเขา

๙. นมาซในทัศนะของท่านอิมามอะลี (อ.)
ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวถึงนมาซไว้ในนะฮฺญุ้ลบะลาเฆาะฮฺจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งต่อมาทางเราได้มีการจัดทำเป็นหนังสือแยกเล่มต่างหาก ภายใต้ชื่อว่า “นมาซในนะฮฺญุ้ลบะลาเฆาะฮฺ” ซึ่งในตรงนี้จะขอกล่าวเฉพาะปรัชญาของการระลึกถึงอัลลอฮฺ (ซบ.)ที่เน้นความสำคัญไว้ที่นมาซ

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงกำหนดการระลึกมาเพื่อการขัดเกลาจิตวิญญาณ เพื่อให้พวกหูทวนลม หูตึง ได้ยินได้ฟัง และให้พวกแสร้งทำตาบอดได้เห็น (หูหนวกตาบอดทั้งหลาย) (นะฮฺญุ้ลบะลาเฆาะฮฺ คุฏบะฮฺที่/๒๒๒)

ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า “แน่นอนมวลมะลาอิกะฮฺต่างห้อมล้อมพวกเขา(ผู้นมาซ) พระองค์ทรงประทานความสงบและเปิดประตูแห่งฟากฟ้ารอรับพวกเขา และพระองค์ได้ทรงตระเตรียมสถานที่อันทรงเกียรติไว้แก่พวกเขาอีก

คุฏบะฮฺบทอื่นท่านอิมามกล่าวว่า “นมาซจะชำระล้างความผิดบาปประหนึ่งใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น และจะทำให้มนุษย์เป็นอิสระจากพันธนาการของความผิดบาป” (คุฏบะฮฺที่/๑๙๙)

ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้อุปมานมาซไว้ดังนี้ว่า “นมาซเหมือนกับตาน้ำที่มนุษย์ลงไปอาบชำระล้างร่างกายวันละ ๕ เวลา เขาจะยังมีความสกปรกตกค้างอยู่อีกกระนั้นหรือ?”
ในคุฏบะฮฺที่ ๑๙๖ ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวถึงเรื่องกิริยามารยาทที่ไม่ดี เช่น ความหยิ่ง จองหอง ความอวดดี การกดขี่ และความอิจฉาริษยา หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถึง นมาซ การถือศีลอด ซะกาต และประโยชน์ต่างๆที่มนุษย์จะได้รับ ท่านกล่าวว่า “นมาซอำนวยความสงบให้แก่มนุษย์ เสริมความยำเกรงให้กับสายตา สร้างความสำนึกให้กับวิญญาณ สร้างความอ่อนน้อมให้กับจิตใจ ขจัดความหยิ่งจองหองและความอวดดี และเมื่อเกิดความหวาดกลัว หรือตกอยู่ท่ามกลางภยันตราย การระลึกถึงพระองค์จะทำให้เกิดความคุ้นเคยและทำให้จิตใจมีความสุขุม

แน่นอนคำกล่าวของท่านอิมาม (อ.) มิได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์จากนมาซ แต่ทว่ามีบางคนหรือบางกลุ่มชนเท่านั้นที่พวกเขาไม่ยอมแลกนมาซของเขากับสิ่งมีค่าใดๆบนโลกนี้

๑๐.อานิสงค์และบะรอกัตของการนมัสการ
๑ ความรู้สึกภาคภูมิใจ

อิมามซัยนุ้ลอาบิดีน (อ.) ได้กล่าวพรรณนา(มุนาญาต)ไว้ว่า “โอ้ข้าฯแต่พระองค์ เพียงพอแล้วสำหรับเกียรติยศข้าฯ ที่ข้าฯได้เป็นบ่าวของ พระองค์” (บิฮารุ้ลอันวารเล่มที่ ๗๗ หน้าที่ ๔๐๒)
ยังจะมีเกียรติยศใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่บ่าวได้มีโอกาสสนทนากับพระผู้สร้าง พระองค์ทรงสดับฟังคำพูดของมนุษย์และทรงตอบรับ
บนโลกมนุษย์ที่หาค่ามิได้ใบนี้ ถ้าหากมนุษย์ได้มีโอกาสได้สนทนากับผู้เปี่ยมด้วยบารมี หรือนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง จะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนเองมีเกียรติอย่างยิ่ง จะเป็นเกียรติเพียงใดหากคู่สนทนาของเราเป็นอัลลอฮฺ (ซบ.) พระผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงอภิบาลสากลจักรวาล

๒.ความรู้สึกในพลัง

เด็ก ๆ นั้น ตราบเท่าที่ยังอยู่ในการดูแลของบิดา มารดา จะทำให้เขามีความรู้สึกว่าตนเองมีพลังและแข็งแรง แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาอยู่คนเดียวตามลำพัง เขาจะมีความรู้สึกหวาดกลัว และเกรงว่าอาจจะมีคนมากลั่นแกล้งและทำร้ายเขาได้ แต่ถ้ามนุษย์มีความสัมพันธ์กับอัลลอฮฺ (ซบ.)ตลอดเวลา ความรู้สึกดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะเขาตระหนักตนเสมอว่าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระผู้ทรงเดชานุภาพที่สุดในสากลจักรวาล และจะทำให้เขารู้สึกว่าตนนั้นมีพลังพอที่จะต่อต้านกับอำนาจต่างๆได้อย่างไม่เกรงกลัว

๓. ความรู้สึกในอำนาจ

อิสลามกล่าวว่า อำนาจนั้นเป็นของพระผู้เป็นเจ้า อำนาจทั้งหลายล้วนมาจากพระองค์ เช่นเดียวกันกับพลังที่มาจากพระองค์ ดังนั้นอัล-กุรอานจึงได้กล่าวประณามคนที่ขออำนาจจากผู้อื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ อัล-กุรอานกล่าวว่า “เจ้าปรารถนาอำนาจจากผู้อื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺหรือ” (อันนิซาอฺ/๑๓๙)

แน่นอนการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียวซึ่ง เป็นอำนาจที่ไร้ขอบเขตจำกัดย่อมทำให้เราพลอยมีอำนาจไปด้วย ดังเช่นคำว่า “อัลลอฮฺอักบัรฺ” จะให้พลังกับผู้กล่าวและมองดูว่าบรรดาผู้กดขี่ทั้งหลายและฏอฆูตพร่องอำนาจลงทันที

ดังนั้นเราจะเห็นว่า อัล-กุรอานได้สำทับแก่เราว่า ในภาวะคับขันและประสบกับอุปสรรคปัญหา เจ้าจงดำรงนมาซ “เจ้าจงขอความช่วยเหลือด้วยความขันติ และนมาซ” (อัล-บะกอเราะฮฺ/๔๕)
บรรดามวลมิตรแห่งอัลลอฮฺ (ซบ.) จะใช้นมาซเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจขั้นสุดท้ายเสมอดังเช่นเหตุการณ์ในแผ่นดิน กัรบะลา เมื่อตอนบายของวันที่ ๙ มุฮัรรอม กองทัพของยะซีดได้เคลื่อนพลมายังที่พักของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ท่านอิมามได้กล่าวกับพวกเขาว่า ขอให้เลื่อนเวลาสู้รบออกไปอีก ๑ คืน เพราะฉันรักและปรารถนาที่จะปฏิบัตินมาซ โดยเฉพาะคืนนี้ฉันต้องการทำอิบาดะฮฺจนถึงเช้า

บ่าวที่เป็นกัลยาณชนของอัลลอฮฺ (ซบ.) มิใช่นมาซที่เป็นวาญิบอย่างเดียวที่พวกเขารักและหวงแหน ทว่านมาซที่เป็นมุสตะฮับด้วยเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนมาซมุสตะฮับนั้นเป็นเครื่องหมายของคนที่รักนมาซ เพราะในบางครั้งอาจเป็นไปได้ว่า คนที่ทำนมาซเนื่องจากมีความเกรงกลัวต่อการลงโทษแต่นมาซมุสตะฮับ มิใช่ความหวาดกลัวแต่เป็นความรักที่มีต่อพระองค์และนมาซ

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักย่อมมีความปรารถนาที่จะพูดคุยและอยู่ ใกล้ชิดกับคนรักของตนตลอดเวลา ไม่ยอมที่จะพรากจากกัน ฉะนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่มุสลิมคนหนึ่งกล่าวอ้าวว่า ตนรักอัลลอฮฺ (ซบ.) อย่างมากแต่ไม่มีอารมณ์ที่จะสนทนาด้วย
แน่นอนการที่เขาไม่ยอมนมาซหรือไม่เคยใส่ใจต่อนมาซนาฟิละฮฺเลยนั้น มิใช่ว่าเขาจะไม่มีเหตุผล ริวายะฮฺได้กล่าวว่าสาเหตุที่เขาเป็นเช่นนั้นเพราะ การกระทำความผิดบาปในตอนกลางวันมันได้กลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นมิให้เขาผู้ นั้นได้มีโอกาสปฏิบัตินมาซ (บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๘๓ หน้าที่ ๑๒๒)

อย่างไรก็ตาม การที่เราไม่ปฏิบัตินมาซนาฟิละฮฺเท่ากับเราไม่มีเกียรติ แล้วเราจะขอเกียรติจากพระองค์เพื่อการใด คนเราเมื่อรักความสะอาด ตัวเองต้องสะอาดด้วย

ริวายะฮฺ กล่าวว่า “นมาซนาฟิละฮฺ คือ สิ่งที่จะมาต่อเติมความบกพร่องของนมาซวาญิบ (ตับสีรฺอะฏีบุ้ลบัยยอน เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๖๑)
ได้มีคนหนึ่งถามท่านอิมาม (อ.) ว่า “ขณะปฏิบัตินมาซ จิตใจของฉันไม่มีสมาธิเลย ฉันจึงไม่เคยได้รับบะระกัตของนมาซจะให้ฉันทำอย่างไรดี” ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า “ท่านจงทำนมาซนาฟิละฮฺซิ เพราะจะได้ช่วยต่อเติมความบกพร่องและส่วนที่ขาดหายไปของนมาซวาญิบ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุทำให้นมาซวาญิบถูกตอบรับอีกต่างหาก”

และด้วยกับบะระกัตของนมาซนาฟิละฮฺนี้เองบรรดามวลมิตรของพระผู้เป็นเจ้า นอกจากจะเคร่งครัดต่อนมาซวาญิบแล้ว พวกเขายังให้ความกระตือรือร้นต่อนมาซนี้อย่างมาก อีกทั้งได้ออกห่างจากอุปสรรคนานาประการที่คอยรบกวนและแทรกแซงวิถีทางพัฒนา จิตวิญญาณให้สูงส่งของพวกเขา อาทิเช่น รับประทานอาหารมาก , พูดมาก, นอนมาก, รับประทานสิ่งที่เป็นหะราม ทำในสิ่งไร้สาระที่เป็นเหตุให้ลุ่มหลงดุนยา และการกระทำอื่นที่เป็นเหตุทำให้เขาเบื่อหน่ายต่อการปฏิบัติอิบาดะฮฺและนมาซ

อัล-กุรอานกล่าวว่า
“แท้จริงแล้ว (นมาซ) เป็นภารกิจที่หนักอึ้ง (สำหรับพวกกลับกลอก) ยกเว้นบรรดาพวกที่มีความอ่อนน้อม” (อัล-บะกอเราะฮฺ/๔๕)

๔.ตัวการในการอบรม

แม้ว่านมาซจะเป็นความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณโดยมีเป้าหมายเพื่อการระลึกถึง อัลลอฮฺ (ซบ.) แต่อิสลามปรารถนาที่จะทำการอบรมจิตวิญญาณให้อยู่ในกรอบตามแบบฉบับของพระองค์ ด้วยเหตุนี้จึงพบว่ามีการกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขมากมายเกี่ยวกับนมาซ อาทิเช่น ความถูกต้องของนมาซ เงื่อนไขที่ตอบรับ และเงื่อนไขที่สมบูรณ์

ส่วนร่างกายและเสื้อผ้าต้องสะอาดปราศจากการเปรอะเปื้อนนะญิส ต้องหันหน้าไปทางกิบละฮฺ อ่านออกเสียงถูกต้อง เสื้อผ้าและสถานที่ต้องได้รับอนุญาต สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับร่างกายมิใช่จิตวิญญาณ

ขณะที่อิสลามได้กำหนดอิบาดะฮฺไว้บนเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อให้ประชาชาติ เป็นผู้มีความสะอาดและดูแลรักษามัน ตลอดจนต้องเป็นผู้รักความเสรีภาพและพึงรักษาสิทธิของคนอื่น
อิสลามได้สอนว่า เงื่อนไขในการตอบรับนมาซคือ สำรวมจิตใจให้มีสมาธิมั่นคง การยอมรับอิมามผู้บริสุทธิ์ จ่ายคุมส์ และบริจาคซะกาตแก่คนยากจนที่มีสิทธิในซะกาซนั้น ส่วนการปฏิบัตินมาซให้ตรงเวลา ปฏิบัติในมัสญิดเป็นรูปญะมาอัต สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ฉีดน้ำหอม แปรงฟัน และรักษาระเบียบของแถวญะมาอัต เหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่สมบูรณ์ของนมาซ ซึ่งถ้าพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงกฎเกณฑ์ จะพบว่าในความเป็นจริงแล้ว กฎเหล่านี้คือ แผนการในการอบรมมนุษย์ให้ไปสู่ความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ

ขณะปฏิบัตินมาซ ท่านจะยืนหันหน้าไปทางไหนก็พบอัลลอฮฺ (ซบ.) ทั้งนั้น เพราะอัล-กุรอานยืนยันว่า “ไม่ว่าเจ้าจะหันหน้าไปทางไหนก็จะพบกับอัลลอฮฺ” (อัล-บะกอเราะฮฺ/๑๑๕)

แต่เพื่อเป็นการประกาศต่อชาวโลกถึงความเป็นเอกภาพและการมีน้ำหนึ่งใจ เดียวกันของประชาชาติอิสลามและการดำเนินชีวิตให้ไปในทางทิศเดียวกัน จึงกำหนดว่า มุสลิมทุกคนต้องหันหน้าไปทางกิบละฮฺ อันเป็นสถานตั้งวิหารกะอฺบะฮฺ และทำไมต้องเป็นอัล-กะอฺบะฮฺด้วย

· เพราะกะอฺบะฮฺ คือ สถานที่แรกที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ประชาชาติประกอบอิบาดะฮฺ อัล-กุรอานกล่าวว่า “บ้านหลังแรกที่ถูกสถาปนาขึ้นเพื่อมวลมนุษย์ ได้แก่ อัล-กะอฺบะฮฺ เป็นบ้านที่จำเริญ” (อาลิอิมรอน/๑๖)
· ผู้ก่อตั้งกะอฺบะฮฺ และซ่อมแซม คือ บรรดาศาสดาทั้งหลาย ดังนั้น การหันหน้าไปทางกะอฺบะฮฺเท่ากับเป็นการร่วมมือและประสานใจกันทางมัซฮับ (ศาสนา) นับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
· กะอฺบะฮฺ คือ สัญลักษณ์ของความเป็นเสรีภาพและปลอดภัย เพราะในยุคแรกของอิสลามมุสลิมทำนมาซโดยหันหน้าไปทาง บัยตุ้ลมุก็อดดิส บรรดายะฮูดีและนัศรอนีต่างพากันพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามว่า พวกมุสลิมไม่มีกิบละฮฺเป็นของตัวเอง เวลาประกอบอิบาดะฮฺต้องหันหน้ามาทางกิบละฮฺของเรา ทำให้มองดูว่า บรรดามุสลิมไม่มีเสรีภาพเป็นของตนเอง อัลลอฮฺ (ซบ.) จึงประทานโองการมาว่า “เจ้าจงผินหน้าไปทางมัสญิดุ้ลหะรอมเถิด และไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ ที่ใดพวกเจ้าก็จงผินหน้าไปทางนั้น ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้ไม่มีข้อโต้แย้งแก่พวกเจ้า” (อัล-บะกอเราะฮฺ/๑๕๐)
ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า กะอฺบะฮฺ คือสัญลักษณ์ของเสรีภาพและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและทั้งหมดที่กล่าวมาล้วน เป็นบทเรียนที่อยู่ในแผนของนมาซทั้งสิ้น

๕.การบำบัดจิต

ปัจจุบันจะพบว่าสถิติของคนเป็นโรคจิต มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างหน้าเป็นห่วง บรรดาจิตแพทย์ทั้งหลายต่างวิเคราะห์ ถึงสาเหตุและวิธีรักษา กระนั้นก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งมันได้เพราะจิตมนุษย์ฟุ้งซ่านตลอดเวลา สิ่งจำเป็นคือ การแสงหาวิธีการดับจิตและทำอย่างไรจึงจะสามารพควบคุมจิตได้ อิสลามจึงได้แนะนำ นมาซให้กับมนุษย์เพราะในความเป็นจริงแล้ว นมาซก็คือการนำจิตวิญญาณเข้าเฝ้าอัลลอฮฺ (ซบ.) เป็นการดับความฟุ้งซ่านและรักษาสัมมาสมาธิให้กับตน

ท่านอิมามซัยนุ้ลอาดีน (อ.) ได้กล่าวไว้ใน มะนาญาตซากิรฺ เกี่ยวกับจิตที่ฟุ้งซ่านที่พรรณนาถึงอัลลอฮฺ (ซบ.) ว่า “ข้าแต่พระองค์ ข้าฯ ขอฟ้องต่อพระองค์ว่าจิตของข้าฯ ชอบทำตามอารมณ์และหนีความจริงเสมอ”

ความมหัศจรรย์ของบรรดาศาสดา (ศ็อลฯ) คือการแสดงภาระกิจที่เหนือธรรมชาติ โดยได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ดังนั้น การที่กล่าวว่า “การเคารพภักดีที่บริสุทธิ์ใจ คือพลังที่แข็งแรงซึ่งได้มาจากพระผู้อภิบาล” หมายถึง อำนาจที่มีอยู่เพื่อสรรพสิ่งทั้งหลายอันเป็นผลมาจากการเคารพภักดีที่มีต่อ พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง

หะดีษกล่าวว่า“อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า มนุษย์สามารถใกล้ชิดกับข้าได้ด้วยกับการปฏิบัติ อมั้ลที่เป็นมุสตะฮับ และนมาซนาฟิละฮฺต่าง ๆ และกลายเป็นที่รักของข้าในที่สุด และถ้าเขาไปถึงยังตำแหน่งดังกล่าว ข้าจะเป็น ตา เป็นหูเป็นลิ้น และเป็นแขนขาให้กับการเคลื่อนไหวของเขาจึงเป็นการเคลื่อนไหวที่มีเป้าหมาย เพื่อข้า” เหมือนกับตำแหน่งของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ที่อัล-กุรอานกล่าวว่า “แท้จริงการนมาซของฉัน อิบาดะฮฺของฉัน ชีวิตของฉัน และความตายของฉัน ล้วนเพื่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก” (อัล-อินอาม/๑๖๒) “ในสภาพเช่นนี้เมื่อใดที่เขาดุอาอฺของเขา และเมื่อใดที่เขาเรียกร้องหรือวิงวอนข้าจะตอบรับเขา” (บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๗๐ หน้าที่ ๒๒)

๑๑. ภาพลักษณ์ของนมาซ

ไม่ว่าจะเขียนหรืออธิบายด้วยปากเปล่าถึงนมาซมากเพียงใดก็ตาม ดูเหมือว่าเรายังมิได้พูดถึงสิทธิที่แท้จริงของนมาซเลย และเป็นไปได้อย่างไร แค่เพียงคำพูดหรือบทความเพียงสองสามประโยคจะสามารถอธิบายเป้าหมายที่แท้จริง ของนมาซอันเป็นเสาหลักของศาสนา, ธงชัยของอิสลาม, ของกำนัลของบรรดาศาสดา (อ.) และเป็นมาตรฐานของการตอบรับอมั้ลอื่น ๆ ของมนุษย์ ให้เข้าใจได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ตรงนี้ต้องยอมรับว่ามนุษย์อาจอธิบายวัตถุประสงค์บางประการ และความหมายคร่าว ๆ ของนมาซได้แต่มิใช่ทั้งหมดอาทิเช่น
· นมาซคือกิจวัตรประจำวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น, เพราะเมื่อมนุษย์ตื่นขึ้นในตอนเช้า คำพูดแรกที่เป็นวาญิบสำหรับเขาคือ นมาซ และเมื่อพลบค่ำคำพูดสุดท้ายที่เป็นวาญิบก็เป็นนมาซอีกเช่นกัน ดังนั้นการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของมนุษย์ จึงเริ่มต้นด้วยการระลึกถึงพระองค์และเป็นไปเพื่อพระองค์

· จะอยู่ระหว่างเดินทางหรือพำนึกอยู่กับที่, อยู่บนพื้นดิน หรืออยู่ในอากาศ เป็นยาจก หรือเป็นเศรษฐีต้องทำนมาซเหมือนกันทุกคน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดและเป็นใครก็ตามต้องเคารพภักดีเฉพาะพระองค์เท่านั้นมิใช่ สิ่งอื่น

· นมาซคือวิสัยทัศน์และอุดมคติของมุสลิมเพราะในนั้นได้อธิบายความเชื่อศรัทธา แนวความคิด, ความปรารถนาและแบบอย่างอันดีงามไว้

· นมาซให้การสนับสนุนที่มั่นคงต่อคุณค่าและเกียรติยศที่สูงส่ง ขณะเดียวกันนมาซปฏิเสธการทำลายและขายคุณค่าของตนเองและสังคม เพราะเมือวัสดุชั้นหนึ่งไม่ได้มาตรฐาน อาคารจะคงทนอยู่ได้อย่างไร

· อะซานนมาซคือภาพสะท้อนของความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า และความเป็นเอกภาพของมุสลิม เมื่ออะซานได้ถูกประกาศขึ้นความต่างของสีผิว เชื้อชาติ และวรรณะได้ถูกสลัดทิ้งทันที เพราะอะซานได้เรียกให้ทุกคนมาสู่นมาซยืนอยู่ในแถวเดียวกันหลังอิมามที่มี ความยุติธรรม

· อิมามญะมาอัตต้องเอาใจใส่คนที่อ่อนที่สุดของสังคม ซึ่งเป็นการเตือนสำทับว่าการตัดสินใจในกิจการของสังคมต้องไม่ลืมชนชั้นที่ อ่อนแอ ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ยินเสียงเด็กร้องขณะที่ท่านทำนมาซอยู่ ท่านได้รีบทำจนเสร็จเพราะว่าหากมารดาของเด็กร่วมนมาซอยู่ด้วยจะได้รีบไปดูแล ลูกของเธอ (บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๘๘ หน้าที่ ๔๑/๙๓

· คำสั่งแรกที่พระองค์ไปบัญชาออกมาหลังจากการสร้างมนุษย์ คือ การสุญูด เพราะพระองค์ได้สั่งให้มวลมะลาอิกะฮฺ สุญูดท่านศาสดาอาดัม (อ.) ตรัสว่า “พวกเจ้าสุญูดอาดัมเถิด”

· สถานที่แรกของโลกที่โผล่ขึ้นจากน้ำหลังจากน้ำได้ถ่วมโลกและกลายเป็นสถานที่ อิบาดะฮฺ คือ มักกะฮฺ

· ภารกิจแรกของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) หลังจากอพยพไปยังมะดีนะฮฺ คือ การสร้างมัสญิด

· นมาซเป็นอมั้ลที่ทำการเชิญชวนไปสู่ความดีและห้ามปรามความชั่วในเวลาเดียวกัน ทุกๆวันเราจึงได้ยินว่า “จงเร่งรีบสู่การนมาซ” “จงเร่งรับสู่การกระทำที่ดีที่สุด” อีกด้านหนึ่งนมาซเป็นอะมั้ลที่หักห้ามมนุษย์ออกจากความชั่วทั้งหลาย อัล-กุรอานกล่าวว่า “แท้จริงนมาซจะยับยั้งความชั่วและสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย” (อัล-อังกะบูต/๔๖)

· นมาซเป็นการเคลื่อนไหวบนความปรารถนาแห่งความรู้จักพระผู้เป็นเจ้า การปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์และเพื่อพระองค์ ด้วยเหตุนี้ อัล-กุรอานจึงห้ามว่า “สูเจ้าอย่าปฏิบัตินมาซขณะมึนเมา” หรือ “เกียจคร้าน” (อัน-นิสาอฺ ๔๓/๑๔๒) เพราะต้องการให้มนุษย์มีสมาธิที่สุดขณะปฏิบัติ

· นมาซเป็นการประชาสัมพันธ์ เพราะบัญญัติของอิสลามกล่าวว่า ต้องมีการจัดนมาซญุมอะฮฺทุก ๆ สัปดาห์ ซึ่งเงื่อนไขหนึ่งของนมาซญุมอะฮฺ คือ ต้องกล่าวคุฏบะฮฺ (คำเทศนา) ก่อนนมาซ ท่านอิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่า “คุฎบะฮฺนมาซญุมอะฮฺจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบในทุก ๆ เรื่อง” (บิฮารุ้ลอันวาร เล่มที่ ๔๙ หน้าที่ ๒๐๑)

· นมาซคือการดับตัวตนเพื่อไปพบกับพระผู้เป็นเจ้า อัล-กุรอานกล่าวว่า “ใครก็ตามได้ออกจากบ้านเรือนของตนโดยมุ่งอพยพไปสู่อัลลอฮฺและศาสนทูตของ พระองค์ ต่อมาความตายได้มาสู่เขา แน่นอนรางวัลของเขาได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ณ อัลลอฮฺ” (อัน-นิสาอฺ/๑๐๐)

ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) กล่าวว่า “ความหมายหนึ่งของโองการ คือ การอพยพออกจากจิตของตนเพื่อไปพบกับอัลลอฮฺ (ซบ.) หมายถึง การออกห่างจากการถืออัตตาตัวตน เห็นแก่ตัวและการถือตนเป็นใหญ่ไปสู่การภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซบ.) ความปรารถนาในพระองค์ และเพื่อพระองค์ซึ่งถือว่าเป็นการอพยพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” (อัสรอรุส-เศาะลาฮฺ หน้าที่ ๑๒)

· นมาซอยู่ในฐานะของนามที่ยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ (ซบ.) ทว่ามันคือนามของพระองค์

· นมาซเป็นคำอธิบายถึงเกียรติยศของอัลลอฮฺ และความต่ำต้อยของมนุษย์

· นมาซเป็นธงชัยของอิสลาม หะดีษกล่าวว่า “ธงชัยของอิสลามคือ นมาซ (กันซุ้ลอุมาล หะดีษที่ ๑๘๘๗๐)

ธง คือสัญลักษณ์ของประเทศ นมาซ คือสัญลักษณ์ของความเป็นมุสลิม ธงชาติย่อมได้รับการเคารพเสมอ ถ้าหากใครดูถูกธงชาติ เท่ากับได้ดูถูกประชาชนของประเทศนั้น ดังนั้นการไม่สนใจต่อนมาซเท่ากับว่า มิได้สนใจคำสอนของศาสนาทั้งหมด ตราบใดที่ธงชาติยังชูอยู่บนยอดเสาแสดงว่าประเทศนั้นยังมีอำนาจทางการเมือง และการปกครองอยู่ นมาซก็เช่นกัน ตราบที่ยังมีผู้ปฏิบัตินั้นหมายถึงว่า อิสลามยังมีชีวิตอยู่

๑๒. นมาซกับอัล-กุรอาน

มีหลายที่ด้วยกันที่นมาซกับอัล-กุรอานถูกกล่าวพร้อมกัน อาทิเช่นกล่าวว่า “จงอัล-เชิญมหาคัมภีร์อัล-กุรอานและจงดำรงนมาซ” (อัล-ฟาฏิร/๒๙)
บางโองการกล่าวว่า “พวกเขาได้ยึดมั่นในคัมภีร์และดำรงนมาซ” (อัล-อะอฺรอฟ / ๑๗๐)
ในบางครั้งทั้งนมาซและอัล-กุรอานถูกอธิบายด้วยคำ ๆ เดียวกันคือ อัซ-ซิกรฺ อัล-กุรอานกล่าวว่า “แท้จริงเราได้ประทานอัซ-ซิกรฺลงมา (อัล-กุรอาน) (อัล-หิจรฺ/๙)
และอัซ-ซิกรฺถูกอธิบายว่าเป็นปรัชญาของนมาซ อัล-กุรอานกล่าวว่า “จงดำรงนมาซเพื่อระลึกถึงข้า” (อัซ-ซิกรี) (ฏอฮา / ๑๔)

นอกเหนือไปจากนี้ ในบางครั้งอัล-กุรอานใช้คำว่า “กุรอาน- แทนที่นมาซ เช่นโองการที่ ๗๘ ซูเราะฮฺ อัล-อิสรอ กล่าวว่า “แท้จริง กุรอานในยามรุ่งอรุณย่อมได้รับการยืนยัน” จุดประสงค์ของอัล-กุรอานในยามรุ่งอรุณ หมายถึง นมาซศุบฮฺ นั่นเอง

การอ่านอัล-กุรอาน ซูเราะฮฺฟาติฮะฮฺและซูเราะฮฺ – เป็นหนึ่งในวาญิบของนมาซ ขณะที่นมาซถูกกล่าวไว้มากมายทั้งในซูเราะฮฺที่ยาวที่สุด (อัล-บะกอเราะฮฺ) และซูเราะฮฺที่สั้นที่สุด (อัล-เกาษัร)

นมาซกับการกิศอศ(ชำระโทษ)
มิใช่ศาสนาอิสลามเพียงอย่างเดียวที่กล่าวถึงเรื่องการชำระโทษ แต่เกือบทุกศาสนาได้กล่าวถึงสิ่งนี้เอาไว้ เช่นถ้ามีใครสักคนตัดหูของคนคนหนึ่งขาด เขาจะต้องถูกลงโทษโดยการตัดหูให้ขาดไปเช่นกัน หรือทำฟันของคนอื่นหัก เขาต้องถูกลงโทษด้วยประการเดียวกัน การทำเช่นนี้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมทางสังคม หรือขโมยต้องถูกลงโทษตัดนิ้วมือสี่นิ้ว โดยเหลือฝ่ามือเอาไว้เพื่อทำสุญูด อัล –กุรอานกล่าวว่า “บริเวณลงสัจญะดะฮฺเป็นของอัลลอฮฺ” (อัล-ญิน /๑๘)

เพราะขณะลงสุญูดฮฺต้องให้ฝ่ามือแนบกับพื้น ด้วยเหตุนี้จะเห็นแม้แต่การลงโทษขโมยยังจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนมาซและการสุญูด โดยมีคำสั่งว่าต้องเหลือฝ่ามือเอาไว้เพื่อสิทธิในการปฏิบัติอิบาดะฮฺแม้ว่า คนผู้นั้นจะเป็นขโมยก็ตาม




โปรดติดตามต่อ

ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัช ชีอะฮ์