วิถีเศาะหาบะฮฺ กับการซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ) วิถีเศาะหาบะฮฺ กับการซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ)
แปลและเรียบเรียงโดย เชค อบูนัสรีน
วิถีเศาะหาบะฮฺและเหล่าบรรพชนอิสลาม เมื่อพิจารณาถึงวิถีของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ตาบิอีน และชนยุคหลังจากนั้น เราจะพบว่าพวกเขาเหล่านี้ล้วนต่างได้เคยไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺของท่านนบี (ศ) ด้วยกันทั้งสิ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1.ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซซะฮฺรอ (สลามุลลอฮฺ อลัยฮา) “อิบนุอะสากิรฺ” และคนอื่น ๆ ได้รายงานจากสายรายของเขาจากท่านอิมามอะลี (อ) ว่า “หลังจากท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ถูกฝังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (สลามุลลอฮฺ อลัยฮา) ได้มาหยุดที่กุโบรฺของท่าน (ศ) แล้วเธอ (ส) ได้กอบดินจากกุโบรฺขึ้นมาป้ายที่ดวงตาทั้งสองของเธอพร้อมกับร้องไห้และขับลำนำขึ้นว่า
“อันใดเล่าทำให้บุคคลดมกลิ่นอายดินอะหฺมัด
ทั้งที่ไม่เคยเชยชมดมกลิ่นใดในช่วงเวลายาวนาน
มุศีบัต (ความทุกข์ทรมาน) ได้หลั่งพรั่งพรูสู่ฉัน
มาตรว่าหลั่งลงมายามทิวา จะแปรเปลี่ยนไปสู่ยามราตรีกาล”(วะฟาอุลวะฟาอ์ เล่ม 4 หน้า 1405 และ อิรฺชาดุสสารีย์ เล่ม 2 หน้า 390)
2. ญาบิรฺ อิบนุอับดิลลาฮฺ อันศอรีย์ “บัยฮะกีย์” รายงานจาก “อบีมุหัมมัด อิบนุมุนกะดิรฺ” จากสายรายงานของตนว่า “ฉันได้เห็นท่านญาบิรฺกำลังนั่งอยู่เคียงข้างกุโบรฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “น้ำตาได้ไหลหลั่งพรั่งพรู ณ สถานที่แห่งนี้ ฉันเคยได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) กล่าวว่า “ในระหว่างกุโบรฺ (สุสาน) ของฉัน กับมิมบัรฺ (แท่นเทศนา) ของฉัน จะมีสวนหนึ่งจากสรวงสวรรค์อยู่”(ชะอฺบุลอีมาน เล่ม 3 หน้า 491)
3. อบูอัยยูบ อันศอรีย์ “หากิม นีชาบูรีย์” รายงานจาก “ดาวูด อิบนุอบีศอลิหฺ” จากสายรายงานของตนว่า “วันหนึ่ง ในขณะที่“มัรฺวาน” กำลังเข้าไปที่กุโบรฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) นั้น เขาได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังแนบใบหน้าบนกุโบรฺ มัรฺวานจึงเข้าไปจับที่ต้นคอของชายผู้นั้นพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “รู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรลงไป ?” ทันใดนั้น เขาได้เห็นว่าที่แท้ชายผู้นั้นคือ “อบูอัยยูบ อันศอรีย์” นั่นเอง อบูอัยยูบได้กล่าวขึ้นว่า “ฉันไม่ได้มาที่นี้เพราะหิน และไม่ได้มาเพราะอิฐแต่อย่างใด แท้จริง ที่ฉันมาที่นี้ก็เนื่องจากท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) (อยู่ที่นี่) มิได้มาเพราะว่ามีหิน ฉันเคยได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงอย่าร้องไห้ให้กับศาสนา เมื่อผู้ดำเนินรอยตามมีคุณสมบัติที่คู่ควร แต่จงร้องไห้ให้กับศาสนา เมื่อผู้ดำเนินรอยตามมิได้มีคุณสมบัติที่คู่ควร” (มุสตัดร็อก หากิม เล่ม 4 หน้า 515 และ มัจญ์มุอุซซะวาอิด เล่ม 5 หน้า 245)
4. อาหรับเบดูอิน “อิมามอะลี (อ)” กล่าวว่า “ภายหลังจากที่เราได้ฝังมัยยิตของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ผ่านไปเป็นเวลา 3 วัน ได้มีอาหรับเบดูอินคนหนึ่งเข้ามายังเราพร้อมกับล้มลงเกลือกกลั้วบนกุโบรฺของท่าน (ศ) และกอบดินบนกุโบรฺโปรยบนศีรษะของตนพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “โอ้ เราะสูลุลลอฮฺ สิ่งที่ท่านกล่าว เราเคยได้ยิน ท่านได้รับมาจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮฺ ส่วนเราได้รับมาจากท่าน (ศ) และหนึ่งในโองการที่ถูกประทานมายังท่าน (ศ) ก็คือ “ถ้าพวกเขาอธรรมต่อตนเอง...........” แท้จริง ฉันได้สร้างความอธรรมต่อตัวฉันเอง และฉันมาหาท่านเพื่อร้องขอต่อท่านให้ทูลขอการอภัยโทษให้แก่ฉัน และแล้วได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกุโบรฺว่า “แท้จริง เจ้าได้รับการอภัยโทษแล้ว”(วะฟาอุลวะฟาอ์ เล่ม 4 หน้า 1361 และ ตัฟสีรฺนัสฟีย์ เล่ม 1 หน้า 234)
จากหะดีษข้างต้น ให้ผลลัพท์แก่เราท่านทั้งหลายดังนี้คือ
ก. ศาสนบัญญัติที่อนุมัติให้ซิยาเราะฮฺกุโบรฺ
ข. ศาสนบัญญัติที่อนุมัติให้ “ชัดดิริหาล” หรือการออกเดินทางโดยมีเจตนาว่าจะไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺ
ค. ศาสนบัญญัติที่อนุมัติให้ “ตะวัสสุล” หรือขอความช่วยเหลือโดยผ่านสื่อดวงวิญญาณของเอาลิยาอ์ของอัลลอฮฺ
ง. ศาสนบัญญัติที่อนุมัติให้ “อิสติฆอษะฮฺ” หรือขอความช่วยเหลือโดยผ่านดวงวิญญาณของเอาลิยาอ์ของอัลลอฮฺ
5. บิลาล หะบะชีย์ ภายหลังจากท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้วะฟาตแล้ว “บิลาล อิบนุเราะบาหฺ หะบะชีย์” ได้อพยพจากนครมะดีนะฮฺไปอยู่ที่ชาม (ซีเรีย) คืนหนึ่ง เขาได้ฝันเห็นท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ซึ่ง “อิบนุอะสากิรฺ” ได้รายงานด้วยสายรายงานของเขาจาก “อบูดัรฺดาอ์” ว่า “แท้จริง บิลาลได้ฝันเห็นท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ว่าท่านกล่าวกับเขาว่า “เหตุใดเจ้าจึงกระด้างกระเดื่องกับฉันถึงขนาดนี้เล่า โอ้ บิลาล ? ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะไปซิยาเราะฮฺฉันอีกหรือ โอ้ บิลาล ? หลังจากนั้น บิลาลได้ตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองและความกลัว และได้ขี่พาหนะเพื่อมุ่งหน้าไปยังนครมะดีนะฮฺทันที เขาได้มุ่งตรงไปยังกุโบรฺของท่านนบี (ศ) และเริ่มร้องไห้พร้อมกับแนบใบหน้าไปบนกุโบรฺของท่าน (ศ) เมื่ออิมามหะสัน (อ) และอิมามหุสัยน์ (อ) ได้มายังกุโบรฺ ทั้งสองได้กล่าวกับบิลาลว่า “เราทั้งสองปรารถนาที่จะได้ยินเสียงอะซานที่ท่านเคยอะซานให้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ฟังมาก่อน” บิลาลได้ตอบรับคำขอของทั้งสองด้วยการขึ้นไปบนดาดฟ้าของมัสญิดและยืน ณ สถานที่ที่เขาเคยยืนอยู่เสมอ ๆ เมื่อครั้งอดีต เมื่อเขาอะซานถึงประโยค “อัลลอฮุอักบัรฺ” ประหนึ่งว่านครมะดีนะฮฺจะสั่นสะเทือน เมื่อถึงประโยค “อัชฮะดุอันลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” ทำให้เสียงของชาวมะดีนะฮฺดังขึ้นกว่าเดิม และเมื่อเขากล่าวประโยค “อัชฮะดุอันนะมุหัมมะดัรฺเราะสูลัลลอฮฺ” ทำให้บรรดาสตรีทั้งหลายต่างวิ่งออกมาจากหลังม่าน ประชาชนต่างพากันกล่าวอย่างอึงคะนึงว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ถูกสถาปนามาเป็นคำรบสองหรืออย่างไร ?” ภายหลังจากท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้วะฟาตไปแล้ว พวกเขาไม่เคยเห็นประชาชนทั้งหญิงและชายต่างพากันร้องไห้มากมายเหมือนกับวันนั้นมาก่อน”
เมื่อพิจารณาจากหะดีษข้างต้นซึ่งมีสะนัดหรือสายรายงานที่เศาะหี๊หฺแล้ว พอจะสรุปได้ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) นั่นเองที่เป็นผู้อนุมัติให้ “ชัดดิริหาล” หรือออกเดินทางโดยมีเจตนาจะไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺด้วยตัวของท่านเอง
นอกจากนี้ ยังมีหะดีษเศาะหี๊หฺที่มีสายรายงานมุตะวาติรฺที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้วจนะเกี่ยวกับการฝันเห็นท่านอีกด้วยว่า “บุคคลใดที่ฝันเห็นฉัน โดยสารัตถะแล้ว เขาได้เห็นฉันจริง ๆ เพราะชัยฏอนจะไม่มีวันจำแลงเป็นฉันได้”(อัลมัจญ์มูอฺ นะวะวีย์ เล่ม 6 หน้า 211)
6. อับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรฺ “อับดุรฺร็อซซาก” ได้บันทึกหะดีษที่เศาะหี๊หฺในบาบ “การสลามแก่กุโบรฺท่านนบี (ศ)” ว่า “แท้จริง ภายหลังจาก “อับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรฺ” กลับจากการเดินทางทุกครั้ง เขาจะไปยังกุโบรฺของท่านนบี (ศ) และกล่าวให้สลามว่า “อัสลามุอลัยกะ ยา เราะสูลัลลอฮฺ” (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน โอ้ ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ)”(อัลมุศ็อนนิฟ เล่ม 3 หน้า 576 หะดีษที่ 6725, อัลมัจญ์มูอฺ นะวะวีย์ เล่ม 8 หน้า 272 และ วะฟาอุลวะฟาอ์ เล่ม 4 หน้า 1358)
7. อัยยูบ สัคติยานีย์ “สัมฮูดีย์ รายงานจาก “อับดุลลอฮฺ อิบนุมุบาร็อก” ว่า “ฉันได้ยิน “อบูหะนีฟะฮฺ” กล่าวว่า “ขณะที่ฉันอยู่ในนครมะดีนะฮฺ อบูอัยยูบ สัคติยานีย์ ได้เดินทางมาที่นั่น ฉันจึงกล่าวกับตัวเองว่าจะรอดูซิว่าเขาเข้ามาเพื่อทำอะไร เขาได้มุ่งตรงไปยัง (กุโบรฺ) ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) แล้วเขาได้ร้องไห้ (อย่างแท้จริง) มิใช่แค่นร้องออกมา และยืนด้วยท่าทางที่สำรวมยิ่ง”(วะฟาอุลวะฟาอ์ เล่ม 4 หน้า 1377)
ริวายะฮฺดังกล่าวชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงข้ออนุมัติให้ “ชัดดิริหาล” หรือออกเดินทางโดยเจตนาที่จะไปซิยาเราะฮฺ (กุโบรฺ) ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ทั้งนี้เนื่องจากสัคติยานีย์มิได้เป็นชาวนครมะดีนะฮฺนั่นเอง
8. การส่งตัวแทนให้ไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) “หาติม อิบนุวัรฺดาน” กล่าวว่า “อุมัรฺ อิบนุอับดิลอะซีซ” (ผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อับบาสียะฮฺ) มักจะมอบหมายตัวแทนจากเมืองชาม (ซีเรีย) ให้เดินทางไปยังนครมะดีนะฮฺเพื่อให้กล่าวสลามท่านนบี (ศ) แทนเขาเสมอ ๆ”(อัชชะฟาอ์ กอฎีย์ อะยาฎ เล่ม 2 หน้า 85, ชะอฺบุลอีมาน บัยฮะกีย์ เล่ม 3 หน้า 492 และ อัลมะวาฮิบุลละดุนนียะฮฺ เล่ม 3 หน้า 406)
อะฮฺลุสสุนนะฮฺเชื่อว่าการซิยาเราะฮฺกุโบรฺเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) เป็นมุสตะหับ นอกเหนือจากพวกวะฮะบีย์แล้ว อุละมาอ์อะฮฺลุสสุนนะฮฺเชื่อว่าเป็นที่อนุมัติให้ซิยาเราะฮฺกุโบรฺได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาถือว่ามุสตะหับให้ไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ) ด้วย ซึ่งเราจะขอนำเสนอทัศนะบางส่วนดังต่อไปนี้
1. “อบุลหะสัน มาวัรฺดีย์” กล่าวว่า “เมื่ออมีรุลหัจญ์กลับจากการประกอบพิธีหัจญ์ (ที่นครมักกะฮฺ) เขาจะนำหุจญาจเดินทางไปยังนครมะดีนะฮฺเพื่อซิยาเราะฮฺกุโบรฺเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) เพื่อให้หุจญาจได้รับมรรคผลร่วมกันทั้งจากการทำหัจญ์ที่บัยตุลลอฮฺ (อัลหะรอม) อัซซะวะญัลละฮฺ และการซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ทั้งนี้เพื่อเทิดเกียรติและทดแทนบุญคุณท่าน”(อัลอะหฺกามุสสุลฏอนียะฮฺ เล่ม 2 หน้า 109)
2. “อบูอิสห๊าก อิบรอฮีม อิบนุมุหัมมัด ชีรอซีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 476) กล่าวว่า “การซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) เป็นมุสตะหับ”(อัลมุฮัซซับ เล่ม 1 หน้า 233)
3. “กอฎีย์อะยาฎ มาลิกีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 544) กล่าวว่า “การซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ) ถือเป็นสุนนะฮฺที่ได้รับการยอมรับเป็นเอกฉันท์ และมีฟะฎีละฮฺหรือความประเสริฐที่ส่งเสริมให้กระทำ”(ชัรฺหุชชะฟาอ์ เคาะฟาญีย์ เล่ม 3 หน้า 515)
4. “อิบนุเกาะดามะฮฺ มุก็อดดะสีย์ หันบะลีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 620) กล่าวว่า “การซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ) เป็นมุสตะหับ”(ชัรฺห์มุคตะศ็อริลค็อรฺกีย์ ฟีฟุรูฆิลหะนาบิละฮฺ เล่ม 6 หน้า 588)
5. “มุหฺยิดดีน นะวะวีย์ ชาฟิอีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 677) กล่าวว่า “ภายหลังจากการประกอบพิธีหัจญ์แล้ว สุนนะฮฺหรือมุสตะหับให้ดื่มน้ำซัมซัมและไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ)”(อัลมินฮาจญ์ เล่ม 1 หน้า 511)
6. “เชคตะกียุดดีน สับกีย์ ชาฟิอีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 756) กล่าวไว้ในหนังสือ “ชะฟาอุสสิกอม” ว่า “การเดินทางโดยมีเจตนาจะไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺ ถือเป็นการแสวงหาสื่อเพื่อความใกล้ชิดอัลลอฮฺ”(ชะฟาอุสสิกอม หน้า 100 - 117)
โดยเขาได้อ้างอิงโองการจากคัมภีร์อัลกุรฺอานและริวายาตต่าง ๆ มาประกอบด้วย
7. “สัยยิดนูรุดดีน สัมฮูดีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 911) ได้พิสูจน์ไว้อย่างรอบด้านในหนังสือ “วะฟาอุลวะฟาอ์” ว่าการเดินทางไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺเป็นสุนนะฮฺหรือมุสตะหับ โดยกล่าวว่าการมีเจตนาไปซิยาเราะฮฺ ก็คือการแสวงหาสื่อเพื่อความใกล้ชิดอัลลอฮฺนั่นเอง”(วะฟาอุลวะฟาอ์ เล่ม 4 หน้า 1362)
8. “หาฟิซ อบุลอับบาส กิสฏิลานีย์ มิศรีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 923) กล่าวว่า “พึงรู้ไว้เถิดว่า การซิยาเราะฮฺกุโบรฺอันทรงเกียรติของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ถือเป็นการแสวงหาสื่อเพื่อความใกล้ชิดอัลลอฮฺ, เป็นความหวังอันเรืองรองในการเคารพภักดี และเป็นวิถีทางที่จะทำให้ฐานภาพสูงส่ง และใครก็ตามที่มีความเชื่อนอกเหนือไปจากนี้ โดยสารัตถะ เขาได้ออกนอกวิถีอิสลาม และเป็นผู้ต่อต้านอัลลอฮฺ, เราะสูลของพระองค์ และมติอันเป็นเอกฉันท์ของอุละมาอ์ชั้นแนวหน้าทั้งหลาย”(อัลมะวาฮิบุลละดุนนียะฮฺ เล่ม 4 หน้า 570)
9. “เชคมุหัมมัด เคาะฏีบ ชัรฺบีนีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 977) กล่าวว่า “...ส่วนการซิยาเราะฮฺท่านนบี (ศ) ถือเป็นการแสวงหาสื่อเพื่อความใกล้ชิดอัลลอฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งชายและหญิง”(มุฆนิลมุหฺตาจญ์ เล่ม 1 หน้า 365)
10. “ซัยนุดดีน อับดุลเราะอูฟ มนาวีย์ (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 1031) กล่าวว่า “การซิยาเราะฮฺกุโบรฺอันทรงเกียรติของท่านนบี (ศ) ถือเป็นการเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้กับการประกอบพิธีหัจญ์ ยิ่งไปกว่านั้น ชาวศูฟีย์ยังถือว่า การซิยาเราะฮฺกุโบรฺของท่าน (ศ) เป็นสิ่งวาญิบ และพวกเขายังมีทัศนะว่า การฮิจญ์เราะฮฺหรือเดินทางไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺของท่าน (ศ) เสมือนหนึ่งการฮิจญ์เราะฮฺติดตามท่านไปในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง”(ชัรฺหุญามิอุศเศาะฆีรฺ เล่ม 6 หน้า 140)
11. “เชคอับดุรฺเราะหฺมาน เชคซอเดะฮฺ” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 1078) กล่าวว่า “สุนนะฮฺหรือมุสตะหับที่ประเสริฐที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น อะมัลที่มีฐานภาพเกือบจะถึงระดับวาญิบก็คือ การซิยาเราะฮฺกุโบรฺนบีของเรา (ศ) และสัยยิดินา (หัวหน้าของเรา) มุหัมมัด (ศ)”(มัจญ์มะอุลอันฮัรฺ ฟีชัรฺหิ มุลตะกิลอับหัรฺ เล่ม 1 หน้า 157)
12. “มุหัมมัด อิบนุอับดิลบากีย์ ซัรฺกอนีย์ มาลิกีย์ มิศรีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 1122) กล่าวว่า “การซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ) ในยุคสมัยของเศาะหาบะฮฺผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ถือเป็นสิ่งที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่พวกเขา เมื่อครั้งที่อุมัรฺ อิบนุลค็อฏฏอบ ได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพกับประชาชนชาวบัยตุลมุก็อดดัส นั้น “กะอฺบุลอะหฺบารฺ” ได้มาพบเขา และได้เข้ารับอิสลาม ซึ่งสร้างความชื่นชมยินใดแก่อุมัรฺยิ่งนัก และได้กล่าวกับกะอฺบุลอะหฺบารฺว่า “ท่านสนใจที่จะร่วมเดินทางไปซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ) ที่นครมะดีนะฮฺกับฉันไหม ? เพื่อท่านจะได้รับมรรคผลจากการซิยาเราะฮฺกุโบรฺของเขา ?” เขาจึงตอบว่า “ตกลง”(ชัรฺหุลมะวาฮิบ เล่ม 8 หน้า 299)
13. “เชคมุหัมมัด อิบนุอะลี เชากานีย์” (เสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 1250) กล่าวว่า “นักปราชญ์มีทัศนะที่หลากหลายเกี่ยวกับการซิยาเราะฮฺกุโบรฺนบี (ศ) โดยญุมฮูรฺหรือนักวิชาการส่วนใหญ่มีทัศนะว่าเป็นสุนนะฮฺหรือมุสตะหับ ในขณะที่บางส่วนของมัซฮับมาลิกีย์และซอฮิรียะฮฺมีทัศนะว่าเป็นวาญิบ และมัซฮับหะนะฟีย์กล่าวว่า “เกือบจะถึงขั้นวาญิบ” แต่อิบนุตัยมียะฮฺ หันบะลีย์ ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนาม “ชัยคุลอิสลาม” กลับมีทัศนะว่ามิได้เป็นศาสนบัญญัติแต่อย่างใด”(นัยลุลเอาฏอรฺ เล่ม 5 หน้า 107)
14. “ญะซีรีย์” กล่าวว่า “การซิยาเราะฮฺกุโบรฺท่านนบี (ศ) เป็นสุนนะฮฺที่ประเสริฐที่สุด”(อัลฟิกฮฺ อะลัลมะซาฮิบิลอัรฺบะอะฮฺ เล่ม 1 หน้า 711)