50%
หลักศรัทธาเกี่ยวกับอิมามะฮ์ในอิสลาม



17. อิมามะฮฺ และการชี้นำมนุษยชาติด้วยวิธีซ่อนเร้น คุณสมบัติพิเศษประการหนึ่งของอิมามหรือผู้นำก็คือการชี้นำประชาชาติด้วยวิธีซ่อนเร้น (ฮิดายะฮฺบาฏินีย์) ซึ่งไม่ใช่การชี้นำโดยวิธีเปิดเผย (ฮิดายะฮฺตัชรีอีย์) เป็นตำแหน่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกสรรกลุ่มชนที่พระองค์ทรงประทานเกียรติยศและฐานภาพอันสูงส่งแก่พวกเขา

ภายหลังจากที่พระผู้อภิบาลได้ทรงทดสอบศาสดาผู้ทรงเกียรติทั้งห้า (อุลุลอัซมฺ) ด้วยอุปสรรคและภัยพิบัติที่ร้ายแรงนานัปการ และพวกเขาได้พิสูจน์ให้ประจักษ์ถึงศรัทธาและจิตวิญญาณที่มั่นคงจนกระทั่งขึ้นสู่ระดับของความเชื่อมั่นที่แท้จริงแล้ว พระองค์จึงทรงแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นอิมามเพื่อทำหน้าที่ชี้นำประชาชนด้วยวิธีซ่อนเร้น

ในทำนองเดียวกัน กุรฺอานได้กล่าวถึงอิมามมะอฺศูมีน (อลัยฮิมุสลาม) ในหลายโองการว่าพวกเขาได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่ชี้นำด้วยวิธีซ่อนเร้น.

ดังที่อัลกุรฺอานได้กล่าวถึงคุณสมบัติอันสูงเกียรติของผู้ดำรงตำแหน่งอิมามว่า
“เมื่อพวกเขา (ผ่านการทดสอบด้วยความ) อดทน และเชื่อมั่นในโองการของเรา เราจึงแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นอิมามเพื่อนำคำบัญชาของเราชี้นำกลุ่มชนของพวกเขา”(สูเราะฮฺสัจญ์ดะฮฺ 32 : 24(แปลมัฟฮูม))

เจตนารมณ์ของการชี้นำ (ฮิดายะฮฺ) ในที่นี้หมายถึงการชี้นำตักวีนีย์ (ฮิดายะฮฺตักวีนีย์) มิใช่ฮิดายะฮฺตัชรีอีย์ ทั้งนี้เนื่องจากการเรียกร้องเชิญชวนและชี้นำมนุษย์ไปสู่สัจธรรมด้วยวิธีที่เปิดเผย (ซอฮิรีย์) นั้น เป็นภาระหน้าที่ของผู้ศรัทธาทุกคนอยู่แล้ว และการทำหน้าที่บริหารให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺก็มิได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าจะต้องได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอิมาม มีความอดทน และมีความเชื่อมั่นในโองการทั้งหลาย และต้องผ่านกระบวนการแห่งการทดสอบแต่อย่างใด แต่สำหรับการชี้นำตามบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า เป็นตำแหน่งที่จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้อภิบาลเท่านั้น และจะต้องสามารถอดทนและยืนหยัดไม่ถลำสู่ความผิดบาปและกระทำในสิ่งไร้สาระ

“และเราได้แต่งตั้งพวกเขาให้เป็นอิมามเพื่อชี้นำสู่แนวทางที่ถูกต้องโดยบัญชาของเรา” (สูเราะฮฺอัมบิยาอ์ 21 : 23)
“วันที่เราจะเรียกมนุษย์ทุกคนพร้อมกับอิมามของพวกเขา” (สูเราะฮฺอิสรออ์ 17 : 71)

เมื่ออิบรอฮีม (อ) ได้ผ่านการทดสอบของอัลลอฮฺแล้ว พระองค์จึงทรงตรัสกับเขาว่า
“เมื่อพระผู้อภิบาลได้ทรงทดสอบอิบรอฮีมด้วยบัญชา แล้วเขาได้ปฏิบัติอย่างครบถ้วน พระองค์จึงตรัสว่า แท้จริง ฉันจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นอิมามของมนุษยชาติ เขาจึงวิงวอนว่า และจากลูกหลานของฉันด้วย พระองค์ทรงตรัสว่า พันธะสัญญาของฉันจะไม่ผูกพันถึงพวกอธรรม” (สูเราะฮฺบะเกาะเราะฮฺ 2 : 124)

ประเด็นที่สมควรพิจารณาจากโองการข้างต้น
ประการแรก ภายหลังจากศาสดาอิบรอฮีม (อ) ได้ผ่านการถูกทดสอบจากพระผู้อภิบาลในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งศาสนทูตของพระองค์แล้ว พระองค์จึงได้ทรงแต่งตั้งท่านให้ดำรงตำแหน่งอิมาม

พระผู้อภิบาลได้ตรัสกับศาสดาอิบรอฮีม (อ) ในบั้นปลายชีวิตภายหลังจากที่ท่านได้ผ่านขั้นตอนแห่งการทดสอบอย่างแสนสาหัสมานานัปการแล้ว ซึ่งไม่เป็นที่สงสัยว่าขณะที่ท่านถูกทดสอบจากพระองค์นั้น ท่านกำลังอยู่ในฐานะของศาสดา (นบูวะฮฺ) และกำลังทำหน้าที่ชี้นำหลักศรัทธา โลกทัศน์ และจริยธรรมแก่ประชาชาติของท่าน ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้เองที่พระองค์ได้ทรงสัญญาว่าจะมอบหมายตำแหน่งอิมาม

เงื่อนไขประการที่สาม อิมามจะได้รับการปกป้องให้พ้นจากมลทินและความผิดบาป ดังที่โองการได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าพันธะสัญญาที่พระองค์จะทรงมอบหมายตำแหน่งอิมามะฮฺและวิลายะฮฺนั้นจะไม่ผูกพันถึงทายาทที่เป็นทุจริตชนซึ่งได้ล่วงละเมิดขอบเขตของความเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ว่าพวกเขาจะสร้างความอธรรมต่อตนเองหรือต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็ตาม

1. อิมามะฮฺคือพันธสัญญาของอัลลอฮฺ และเป็นตำแหน่งที่ผูกพันเฉพาะผู้ที่มีเกียรติคุณ มีความผ่องแผ้ว สำรวมตนจากความชั่ว มีความยุติธรรม

2. ตำแหน่งนบีย์ (นบูวะฮฺ) กับตำแหน่งอิมาม (อิมามะฮฺ) สามารถรวมอยู่ในบุคคลเดียวกันได้ดังในกรณีของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ) ทั้งนี้เนื่องจากในด้านหนึ่งนั้นท่านได้รับวิวรณ์จากพระผู้อภิบาลในฐานะนบีย์ และได้ใช้หลักตรรกะและข้อพิสูจน์ที่เป็นเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อสร้างสรรค์ประชาคมให้หลุดพ้นจากความคิดที่บิดเบือนและหลงทาง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ท่านมีวัตรปฏิบัติ จริยธรรมที่สูงส่ง พลังแห่งจิตวิญญาณที่ชี้นำมนุษย์ไปสู่วิถีทางที่เที่ยงธรรม ด้วยเหตุนี้เองที่ประตูแห่งอิมามะฮฺจึงถูกเปิดกว้างจนในที่สุดท่านจึงได้รับการแต่งตั้งสู่ตำแหน่งที่สูงส่งดังกล่าว

โองการข้างต้นชี้ให้เห็นว่าผู้ที่จะได้รับตำแหน่งอิมามะฮฺจะต้องสืบเชื้อสายมาจากสายธารของศาสดาอิบรอฮีม (อ) เท่านั้น และพวกเขาจะต้องไม่มีประวัติที่ด่างพร้อย ไม่เคยประพฤติฉ้อฉลและสร้างความอธรรมให้กับตนเองและผู้บริสุทธิ์คนอื่น ๆ ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าบ่าวผู้เป็นกัลยาณชนและมีคุณสมบัติพร้อมสรรพที่จะสืบทอดตำแหน่งอิมามต่อจากอิบรอฮีม (อ) ก็คือท่านศาสดามุหัมมัด (ศ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อะอิมมะฮฺ มะอฺศูมีน - อลัยฮิมุสลาม) นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาคือทายาทผู้มีภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์ที่สุดของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ) ซึ่งด้วยลำดับขั้นของการฮิดายะฮฺและการเป็นผู้นำที่ซ่อนเร้นและความรู้ในสิ่งเร้นลับ

ท่านอิมามศอดิก (ศ) กล่าวว่า
“ก่อนที่อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง จะทรงแต่งตั้งอิบรอฮีม (อ) ให้เป็นศาสดา (นบูวะฮฺ) พระองค์ได้ทรงเลือกสรรเขาให้อยู่ในฐานะบ่าว (อับดฺ) ของพระองค์

และก่อนที่จะทรงสถาปนาตำแหน่งศาสนทูต (ริสาละฮฺ) พระองค์ทรงมอบหมายตำแหน่งศาสดา (นบูวะฮฺ) แก่ท่าน และก่อนที่จะทรงประทานตำแหน่งริสาละฮฺ พระองค์ทรงเลือกสรรเขาให้อยู่ในฐานะกัลญาณมิตร (เคาะลีล)

และก่อนที่จะทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นอิมาม พระองค์ได้เลือกสรรเขาให้เป็นเคาะลีลุลคอลิศ (มิตรแท้)ของพระองค์

และเมื่อเขาได้รับฐานภาพอันสูงส่งทั้งหมดแล้ว พระองค์จึงทรงตรัสกับเขาว่า
“ ณ บัดนี้ ฉันได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นอิมามแล้ว” (อุศูลุลกาฟีย์ เล่ม 1 หน้า 175)

หะดีษจากอิมามมะอฺศูมีน (อ) มากมายที่ได้ย้ำยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องมีอิมามเพื่อทำหน้าที่ชี้นำผู้คน และเป็นเสมือนคำขวัญของพวกเขาที่กล่าวว่า “ตราบเท่าที่มนุษย์ยังดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลักฐานและข้อพิสูจน์ของอัลลอฮฺ (หุจญะตุลลอฮฺ) ก็จะคงอยู่ควบคู่ด้วยเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้สารัตถะอิสลามธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ภายใต้การพิทักษ์รักษาและการสาธยายที่ถูกต้องเที่ยงธรรมของมิตรผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ (วะลียุลลอฮฺ)”

ท่านอมีรุลมุอ์มินีน อลีย์ (อ) ได้กล่าวว่า
“อุปมาวงศ์วานแห่งมุหัมมัด (ศ) อุปมัยดั่งดวงดาวทั้งหลาย คราใดที่ดาวดวงหนึ่งต้องอันตรธานหายไป ดาวดวงใหม่จะเจิดจรัสขึ้นมาทดแทนเสมอ”(นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คุฏบะฮฺที่ 100 หน้า 146 ศุบหี๊ย์ ศอลิหฺ)

อิมามศอดิก (อ) ได้กล่าวคุฏบะฮฺในตอนหนึ่งว่า
“อัลลอฮฺจะทรงทำให้ศาสนาของพระองค์เต็มไปด้วยรัศมีอันเจิดจ้าด้วยสื่อจากอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยต์ (อ) และทรงทำให้ความรู้ของพระองค์สว่างไสวด้วยการสาธยายของพวกเขา บุคคลใดที่ประจักษ์แจ้งถึงสิทธิของผู้เป็นอิมาม เขาจะได้ลิ้มรสชาดอันหวานชื่นของศรัทธา และเขาจะถูกรู้จักจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงดงามและมีรัศมีอิสลาม ทั้งนี้เนื่องจากอัลลอฮฺทรงแต่งตั้งอิมามให้เป็นหลักฐานและข้อพิสูจน์และเป็นผู้ชี้นำประชาชาติ มงกุฎอันอลังการและสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้นำปรากฏบนศีรษะของเขา และรัศมีแห่งฟากฟ้าฉายแสงบนใบหน้าของเขา และพลังหนึ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุดจากฟากฟ้าจะเป็นพยานให้เขา ความจำเริญจากพระผู้อภิบาลจะถูกประทานลงมาแก่ปวงบ่าวโดยผ่านมูลเหตุทั้งหลาย พระองค์จะไม่ทรงรับการรู้จักใด ๆ ของมนุษย์โดยมิได้ผ่านการรู้จักอิมาม

อิมามเป็นผู้ที่รอบรู้ทั้งวิวรณ์ (วะหฺยุ) และแบบฉบับ (สุนัน) ที่คลุมเครือและสลับซับซ้อนของศาสดา อัลลอฮฺทรงเลือกสรรทายาทของหุสัยน์ (อ) ให้เป็นอิมาม พวกเขาจะเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่วิถีแห่งอัลลอฮฺและโลกอันสถาพร พระองค์จะทรงแต่งตั้งทายาทของเขาให้เป็นผู้ชี้นำและเป็นแสงสว่างแก่มนุษยชาติ และเพื่อให้การชี้นำสัมฤทธิ์ผล และให้พวกเขาตัดสินบนบรรทัดฐานของสัจธรรมและความยุติธรรม

พวกเขาคือทายาทผู้ถูกเลือกสรรของศาสดาอาดัม, นูหฺ, อิบรอฮีม และอิสมาอีล และเป็นทายาทผู้มีฐานภาพและเกียรติคุณของศาสนทูตแห่งอิสลาม (ศ) พวกเขาได้จุติและถือกำเนิดอย่างสว่างไสวในโลกก่อนที่จะถูกสรรสร้างในเรือนร่างแห่งดิน และอัลลอฮฺทรงบันดาลให้พวกเขาเป็นรากฐานแห่งการดำรงชีวิตของมนุษยชาติและเป็นรากฐานที่มั่นคงของอิสลาม” (ยะนาบีอุลมะวัดดะฮฺ ชัยค์สุลัยมาน หะนะฟีย์ หน้า 23 และ 524)

อิมามศอดิก (อ) ยังกล่าวด้วยว่า
“มาตรว่ามนุษย์จะหลงเหลืออยู่บนหน้าแผ่นดินนี้เพียงสองคน หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นอิมาม มนุษย์คนสุดท้ายที่จะอำลาจากโลกนี้คืออิมาม เพื่อมิให้มนุษย์คนใดเอ่ยอ้างว่าพระองค์ทรงปล่อยเขาให้ระหนโดยปราศจากอิมามผู้ชี้นำ” (อุศูลุลกาฟีย์ เล่ม 1 หน้า 180)

ครั้งหนึ่ง “อะอฺมัช” ได้ถามอิมามศอดิก (อ) ว่า
“ประชาชนจะได้รับคุณประโยชน์อันใดจากการหายไปของอิมาม ?” ซึ่งอิมาม (อ) ได้ตอบว่า “อุปมาที่พวกเขาได้รับคุณูปการจากดวงตะวันที่เคลื่อนคล้อยอยู่หลังเมฆหมอก อุปมัยดั่งที่พวกเขาได้รับความจำเริญและคุณประโยชน์จากการซ่อนเร้นกายของอิมามนั่นเอง” (ยะนาบีอุลมะวัดดะฮฺ หน้า 21)

“อิสหาก อิบนุฆอลิบ” รายงานว่า อิมามศอดิก (อ) ได้กล่าวว่า “อิมามได้รับการแนะนำและแต่งตั้งจากอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์เพื่อให้เป็นหุจญะฮฺ (หลักฐานและข้อพิสูจน์) ของอัลลอฮฺสำหรับมนุษย์ เพราะความจำเริญแห่งการมีอิมามนี่เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างปวงบ่าวกับโลก และสายธารแห่งความจำเริญของพระองค์ยังคงหมุนเวียนอย่างไม่ขาดสาย กิจการงานทุกอย่างของผู้เป็นบ่าวของพระองค์จะไม่ถูกตอบรับ นอกจากพวกเขาจะจำนนต่อวิลายะฮฺ (อำนาจการปกครอง) ของอิมามเท่านั้น พระองค์จะไม่ทรงสรรสร้างมนุษย์โดยปล่อยพวกเขาให้ระหน จนกว่าจะสำแดงวิถีแห่งตักวา และทำให้หุจญะฮฺ (หลักฐานและข้อพิสูจน์) แห่งสัจธรรมได้ครบถ้วนสมบูรณ์แก่พวกเขา” (อิษบาตุลฮุดา เล่ม 1 หน้า 247)

อิมามมุหัมมัด บากิรฺ กล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นับตั้งแต่พระองค์ทรงนำดวงวิญญาณของอาดัม (อ) ไปสู่โลกอันนิรันดรแล้ว พระองค์ไม่เคยปล่อยให้แผ่นดินว่างเว้นอิมาม อิมามคือผู้ชี้นำมนุษย์ไปสู่สัจธรรม และเป็นหุจญะฮฺสำหรับปวงบ่าวของพระองค์ และแผ่นดินจะไม่ว่างเว้นจากการมีอยู่ของอิมามตลอดไป เพื่อให้พวกเขาเป็นหุจญะฮฺสำหรับปวงบ่าวของพระองค์สืบต่อไปนั่นเอง” (อุศูลุลกาฟีย์ เล่ม 1 หน้า 179

“อบูคอลิด กามิลีย์” ได้ถามอิมามมุหัมมัด บากิรฺ (อ) ถึงตัฟสีรฺในอายะฮฺ “ดังนั้น จงศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์และรัศมีที่เราได้ประทานลงมา” (สูเราะฮฺอัตตะฆอบุน 64 : 8) ว่า รัศมี (นูรฺ) ในที่นี้หมายถึงอะไร ? ท่านอิมาม (อ) ได้ตอบว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ รัศมีในที่นี้คืออิมาม รัศมีของอิมามที่ปรากฏอยู่ในหัวใจของผู้ศรัทธาจะทอแสงสว่างที่แรงกล้ากว่ารัศมีของดวงตะวันเสียอีก การมีอยู่ของอิมามได้จุดประกายแห่งความสดใสขึ้นในดวงใจของผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺจะทรงยับยั้งมิให้รัศมีของอิมามฉายแสงเข้าสู่หัวใจของผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และหัวใจของพวกเขาจะมืดมนอนธกาล” (อุศูลุลกาฟีย์ เล่ม 1 หน้า 195)

ชัยค์เศาะดูก บันทึกใน “อิละลุชชะรอยิอฺ” ว่า “ญาบิรฺ อันศอรีย์” ได้ถามท่านอิมามบากิรฺ (อ) ว่า “เหตุใดมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีนบีย์และอิมาม ?”

ท่านได้ตอบว่า “เพื่อให้โลกยังคงธำรงไว้ และสันติภาพยังคงหลงเหลืออยู่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีนบีย์และอิมาม เพราะความจำเริญจากการมีอยู่ของนบีย์และอิมามนี้เองที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงทัณฑ์อย่างทันท่วงทีต่อประชาชน ดังที่อัลกุรฺอานได้กล่าวว่า
“ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่ในท่ามกลางพวกเขา อัลลอฮฺจะยังไม่ลงโทษพวกเขา” (สูเราะฮฺอันฟาล 8 : 33)

ท่านนบีย์ (ศ) ได้วจนะว่า “หมู่ดวงดาวเป็นความปลอดภัยของชาวฟ้าฉันใด อะฮฺลุลบัยต์ของฉันก็เป็นความปลอดภัยของชาวภาคพื้นดินฉันนั้น มาตรว่าดวงดาวบนฟากฟ้าต้องประสบกับความหายนะแล้วไซร้ ย่อมจะสร้างความเสียหายให้กับชาวฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย และมาตรว่าอะฮฺลุลบัยต์ของฉันมิได้อยู่ในท่ามกลางประชาชนแล้วไซร้ วิกฤตการณ์อันน่าสะพรึงกลัวจะต้องประสบกับชาวภาคพื้นดินอย่างแน่นอน”





แปลและเรียบเรียงโดย เชค อบูนัสรีน