ใครคือผู้ปฏิบัติตามศาสดาอย่างแท้จริง
ใครคือผู้ปฏิบัติตามศาสดาอย่างแท้จริง
บรรดาผู้ปฏิบัติตามท่านอะลี (อ.) เมื่อได้พิจารณาที่ชาติกำเนิด ตำแหน่งและฐานะของท่านอะลี (อ.) ที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ยกย่องไว้เหนือศอฮาบะฮฺท่านอื่นๆ ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺและผู้นำภายหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องเป็นหน้าที่ของท่านอะลีอย่างแน่นอน ตลอดจนมีสาเหตุอื่นๆเป็นองค์ประกอบภายนอก เช่น เหตุการณ์ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของทานศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่ท่านไม่สบาย สิ่งเหล่านี้ได้เป็นตัวมาสนับสนุนความเชื่อของพวกเขา
(หมายเหตุ) วันที่ท่านศาสดาไม่สบายและใกล้ที่จะเป็นวะฟาต ท่านได้ทำการแต่งตั้งท่าน อุซามะฮฺ บินซัยดฺเป็นแม่ทัพ และขอร้องให้ทุกคนไปสงครามโดยออกไปจากเมืองมะดีนะฮฺ ขณะที่มีบางคนไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของท่านศาสดาเช่น ท่านอบูบักรฺ และท่านอุมัรฺ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) โกรธมาก
ขณะที่ท่านศาสดาใกล้จะเป็นวะฟาต ท่านได้กล่าวว่า“เอาปากกาและกระดาษมาให้ฉันเพื่อที่ฉันจะได้บันทึกบางอย่างแก่พวกท่าน และพวกท่านจะได้ไม่หลงทางตลอดไป”
ท่านอุมัรฺได้ขัดขวางไม่ให้นำกระดาษ และปากกามาให้และพูดว่า“ท่านศาสดาไข้ขึ้นสูงและเพ้อเจ้อแล้ว”
และเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เคาะลิฟะฮฺที่ 1 กำลังจะเสียชีวิตท่านได้สั่งเสียให้ท่านอุมัรฺเป็นเคาะลิฟะฮฺสืบแทน แต่ในระหว่างที่สั่งเสียท่านได้สลบไป ขณะที่ท่านอุมัรฺมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา หรือกล่าวว่าท่านอบูบักรฺเพ้อแต่อย่างไร แต่ในทางตรงกันข้ามท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่อยู่ในฐานะของผู้บริสุทธิ์กับถูกท่านอุมัรฺกล่าวหาว่าเพ้อเจ้อ
แต่ทว่าเหตุการณ์ได้ผันเปลี่ยนไปจากที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้ วันที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เป็นวะฟาต ร่างของท่านยังมิได้ถูกนำไปฝัง ได้มีศอฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน เพื่อแสดงเจตจำนงที่ดีต่ออิสลาม โดยมิได้ปรึกษาหารือกับใครและไม่ได้ส่งข่าวให้กับครอบครัวของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่กำลังเสียใจต่อการจากไปของท่านศาสดาให้รับทราบ พวกเขาได้เพิกเฉยต่อการกระทำดังกล่าว และได้รีบร้อนทำการกำหนดตัวเคาะลิฟะฮฺ เพื่อปกครองอาณาจักรอิสลามสืบต่อไปจากท่านศาสดาขึ้นมาทันที โดยปล่อยให้ท่านอะลี และสหายของท่านเป็นผู้จัดการกับศพของท่านศาสดา และเป็นผู้ดูเหตุการณ์แต่เพียงอย่างเดียว
ท่านอะลี (อ.) และสหายบางคนเช่น ท่านอับบาส ซุเบร ซัลมาน อบูซัร อัมมาร และมิกดารฺ เมื่อได้ฝังร่างของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้ยินข่าวการเลือกเคาะลิฟะฮฺ ท่านและสหายจึงได้เดินทางไปยังกลุ่มศอฮาบะฮฺ เพื่อทำการท้วงติงต่อการกระทำดังกล่าว แต่ท่านอิมามอะลีกับพวกได้ยินคำตอบแต่เพียงว่า เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมจึงต้องทำเช่นนี้
อะไรคือสาเหตุของการแยกตัวออกจากชนกลุ่มใหญ่ของผู้ปฏิบัติท่านอะลี
การประท้วงของท่านอะลี (อ.) กับสหายบางคนเป็นเหตุการณ์นำไปสู่การแยกตัวของชนกลุ่มน้อยออกจากชนกลุ่มใหญ่ ผู้ติดตามอะลี (อ.) จึงได้รับฉายานามว่าเป็นชีอะฮฺอะลีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ฝ่ายของเคาะลิฟะฮฺที่เพิ่งเลือกตั้งขึ้นมา ได้เดินเกมทางการเมืองทันที โดยพยายามบิดเบือนนามดังกล่าวของชนกลุ่มน้อย (ชีอะฮฺอะลี) ให้เป็นอย่างอื่น และพยายามทำให้เห็นว่าสังคมมิได้ถูกแบ่งเป็นชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่ แต่ถูกแบ่งเป็นพวกฝ่ายเคาะลิฟะฮฺที่ยอมให้สัตยาบัน กับพวกปฏิเสธเคาะลิฟะฮฺที่ไม่ยอมให้สัตยาบัน และเป็นศัตรูต่อมุสลิม ซึ่งในบางครั้งพวกเขาได้ให้นามแก่พวกชนกลุ่มน้อยเป็นอย่างอื่นที่น่าเกลียดอย่างยิ่ง
อุมัร บิน ฮุเรษได้พูดกับ ซะอ์ด บิน ซัยดฺว่า “มีใครที่ไม่ยอมให้บัยอัตบ้างหรือไม่? เขาได้ตอบว่า ไม่มีหรอกนอกจากพวกที่เป็นมุรตัดหรือพวกที่กำลังจะเป็นเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม บรรดาชีอะฮฺในยุคนั้นที่ถูกคว่ำบาตรทางการเมืองตั้งแต่ตอนแรก พวกเขาไม่อาจดำเนินการใดๆ ได้ แม้แต่การประท้วงการกระทำของฝ่ายเคาะลิฟะฮฺ ส่วนท่านอะลี (อ.) ได้ให้ทัศนะว่า เพื่อเห็นแก่อิสลามและชีวิตของมุสลิม ประกอบกับการไม่มีกำลังที่เพียงพอที่จะทำการปฏิวัติ หรือต่อรองกับฝ่ายปกครองได้ ท่านจึงต้องอดทนต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ถึงกระนั้น ประชาชนที่ทำการประท้วงและไม่ยอมชนกลุ่มใหญ่ (บนพื้นฐานของความศรัทธา) ยอมรับว่า ท่านอะลีคือตัวแทนของทานศาสดา และเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านศาสนจักรและอาณาจักรอย่างแตกฉานเหนือผู้อื่น และท่านคือผู้มีสิทธิ์ในตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺอย่างแท้จริง
ในฮะดีษษะเกาะลัยนฺที่เป็นที่รู้จักกันดีกล่าวว่า“ฉันได้ฝากสิ่งหนักสองสิ่งที่มีค่ายิ่งไว้ในหมู่ของพวกท่าน หากพวกท่านได้ยึดมันทั้งสองเอาไว้จะไม่หลงทางอย่างแน่นอน และทั้งสองนั้นคือ อัล-กุรอานกับอะฮ์ลุลบัยตฺของฉัน ซึ่งสิ่งทั้งสองจะไม่มีวันแยกทางกันอย่างเด็ดขาด”) ฮะดีษดังกล่าวนี้ได้มีสายสืบรายงานมากเกินกว่า 100 สายสืบเล่าโดยศอฮาบะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) 35 ท่าน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฏอบะกอตฮะดีษษะเกาะลัยนฺ ฆอยะตุ้ลมะรอม หน้าที่ 211
พวกเขาจึงกลับไปหาและปรึกษาปัญหาศาสนาทั้งด้านความรู้และจริยธรรมกับท่านอะลี (อ.) แต่เพียงผู้เดียว และได้เชิญชวนประชาชนไปสู่ท่าน (ตารีคยะอฺกูบีย์ 2/105/150 ได้กล่าวซ้ำไว้หลายครั้ง)
ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์