เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ประวัติย่อของอิมามมุฮัมมัด บากิรฺ(อ.) (ตอนที่ 2)

2 ทัศนะต่างๆ 03.5 / 5

ประวัติย่อของอิมามมุฮัมมัด บากิรฺ(อ.) (ตอนที่ 2)

 

บทบาทด้านการเมืองของอิมามมุฮัมมัด บากิรฺ(อ.)

 

ในฐานะที่ปรึกษาของรัฐบาลในยุคนั้น การปกครองและบริหารโลกมุสลิมเป็นสิทธิ์อย่างแน่นอนของอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านศาสดา(ศ.) แต่ในเมื่อประชาชนสามัญผู้ไม่มีสิทธิ์เช่นนั้นได้ตกอยู่ในอำนาจทางโลก บรรดาอิมามจึงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบและเงียบเชียบ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านอาจสามารถปฏิเสธที่จะไม่ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาใดๆ แก่รัฐบาลแห่งยุคนั้นได้ แต่ความสูงส่งทางด้านศีลธรรมของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์มีอยู่เหนือมาตรฐานของคนทั่วไป เช่นอิมามอะลี(อ.) ผู้ซึ่งได้ให้ความร่วมมือกับคอลิฟะฮ์ร่วมสมัยของท่านและให้ได้คำแนะนำที่ดีเกี่ยวกับกิจการของมุสลิม บรรดาอิมามทุกท่านปฏิบัติตามแบบอย่างเดียวกันนั้นและไม่เคยรีรอที่จะให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ผู้ปกครองร่วมสมัยของพวกท่าน อิมามมุฮัมมัด บากิรฺ(อ.) ก็ไม่ยกเว้น รัฐบาลจากระตูลอุมัยยะฮ์ยังไม่มีสกุลเงินของตัวเองในขณะนั้น สกุลเงินไบแซนทีนของอาณาจักรโรมันตะวันออกเป็นเงินที่ใช้กันอยู่ในดามัสกัสด้วยเช่นกัน แต่ระหว่างสมัยการปกครองของวาลิด บิน อับดุลมาลิก ได้เกิดความแตกแยกระหว่างตัวเขากับผู้ปกครองไบแซนทีน ซึ่งต่อมาได้ตัดสินใจที่จะตราสกุลเงินใหม่ขึ้นด้วยถ้อยคำที่ถือว่าเป็นเครื่องรำลึกถึงท่านศาสดา(ศ.)

 

เรื่องนี้สร้างความตื่นตาตื่นใจในหมู่ประชาชาติมุสลิม วาลิดได้จัดประชุมคณะกรรมการที่มีนักวิชาการมุสลิมคนสำคัญๆ เข้าร่วม อิมามมุฮัมมัด บากิรฺ(อ.) ได้เสนอความเห็นของท่านว่า รัฐบาลควรจะตีพิมพ์บนเหรียญด้านหนึ่งด้วยคำว่า "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์" และอีกด้านหนึ่งตีพิมพ์ว่า "มุฮัมมัด รอซูลุลลอฮ์" ความเห็นของอิมามเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นเอกฉันทร์ และเหรียญของอิสลามได้ถูกจัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก บางส่วนของเหรียญเหล่านี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในอังกฤษเมื่อปี 1988 ในงานนิทรรศการศิลปะอิสลามในกรุงลอนดอน และมีบันทึกแสดงไว้ว่าเหรียญเหล่านี้ถูกจัดทำขึ้นในสมัยของวาลิด บิน อับดุลมาลิก ตามคำแนะนำของอิมามท่านที่ 5 จากอะฮ์ลุลบัยต์

 

ในระหว่างสมัยการปกครองของคอลิฟะฮ์อุมัร อิบนฺ อับดุลอาซิซ จากตระกูลอุมมัยยะฮ์ บรรดาลูกหลานของท่านศาสดาใช้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณสองปีกับห้าเดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาในสมัยปกครองของเขา เขาได้ปลดปล่อยพวกท่านจากการกล่าวร้ายอย่างมากมาย และห้ามการสาปแช่งอิมามอะลี(อ.) บนมิมบัร(แท่นเทศนา) ในวันศุกร์ โดยให้แทนที่ด้วยโองการอัล-กุรอานดังนี้

 

"แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้ให้รักษาความยุติธรรม ทำความดี และบริจาคแก่ญาติใกล้ชิด และให้ละเว้นจากการทำลามกและชั่วช้า และการอธรรม พระองค์ทรงตักเตือนพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจักได้รำลึก" (อัน-นะฮ์ลฺ : 90)

 

เมื่ออิมาม(อ.) ได้เข้าพบคอลิฟะฮ์อุมัร อิบนฺ อับดุลอาซิซ ท่านพบว่าเขาร้องไห้ให้กับความอยุติธรรมที่บรรพบุรุษของเขาได้ทำกับอะฮ์ลุลบัยต์ ท่านอิมาม(อ.) ได้ตักเตือนเขาด้วยคำสอนที่เต็มไปด้วยวิทยปัญญาจนกระทั่งเขาสะอึกสะอื้น คุกเข่าลงและขอให้ท่านตักเตือนเขาอีก หลังจากนั้นอิมาม(อ.) จึงได้ถามอุมัร อิบนฺ อับดุลอาซิซ ว่า มีความผิดพลาดใดที่ทำให้ท่านถูกนำตัวมาที่นี่เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง? มันไม่มีสิ่งอื่นใดเลยนอกจากฟะดัก ซึ่งท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้มอบให้แก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) บุตรสาวของท่านเพื่อเป็นของขวัญและให้แก่ลูกหลานของนาง ข้อความในบิฮารุล อันวารฺ เล่ม 4 กล่าวว่า "อุมัรได้หยิบกระดาษและปากกามาและเขียนว่า 'ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ นี่คือสิ่งที่อุมัร อิบนฺ อับดุลอาซิซได้มอบคืนกลับให้แก่มุฮัมมัด อิบนฺ อะลี เพื่อแก้ไขการทำผิดเกี่ยวกับฟะดักให้ถูกต้อง" หลังจากเหตุการณ์นี้ ที่ดินฟะดักจึงได้ถูกมอบคืนกลับให้แก่อะฮฺลุลบัยต์ ด้วยรายได้จากที่ดินและสวนผลไม้เหล่านี้เอง ที่ทำให้อิมามท่านที่ห้า(อ.) ได้เปิดโรงเรียนขึ้นหลายแห่งในมะดีนะฮ์ ที่ซึ่งมีนักเรียนหลายพันคนมาเรียนอัล-กุรอานและความหมายที่แท้จริงของมัน นักรายงานฮะดีษหลายร้อยคนที่จบออกมาจากโรงเรียนเหล่านี้ มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาฮะดีษและกฎหมายอิสลาม

 

อิมามมุฮัมมัด บากิรฺ(อ.) ถูกรังควานโดยรัฐบาลตระกูลอุมัยยะฮ์

 

ฮิชาม อิบนฺ อับดุลมาลิก ได้สืบทอดตำแหน่งจากอุมัร อิบนฺ อับดุลอาซิซ เขาเป็นคนใจแข็ง ไร้ศีลธรรมและเหยียดเชื้อชาติ ความอคติที่เขามีต่อชาวมุสลิมที่ไม่ใช่อาหรับทำให้เขาเรียกเก็บภาษีจากคนเหล่านั้นสูงเป็นเท่าตัว สมัยการปกครองของเขาเหมือนเป็นภาพฉายซ้ำของวันเวลาอันร้ายกาจแห่งยุคสมัยของยะสีด อิบนฺ มุอาวียะฮ์ และฮัจญาจ อิบนฺ ยูซุฟ ษะกอฟี ช่วงนี้เองที่เซด อิบนฺ อะลี ได้ทำการปฏิวัติขึ้นเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากการปฏิวัติของอิมามฮุเซน(อ.) และอิมามอะลี(อ.)

 

อิมามมุฮัมมัด บากิรฺ(อ.) ไม่เคยแสดงความสนใจหรือเข้าร่วมในเรื่องทางการเมือง นอกจากเมื่อผู้ปกครองได้เชิญชวนท่าน เนื่องจากการใช้ชีวิตอย่างสงบของท่านได้อุทิศไปเพื่อการชี้นำด้านจิตวิญญาณของประชาชน ท่านก็ไม่ได้รับความเห็นใจจากรัฐบาล ฮิชาม อิบนฺ อับดุลมาลิก ได้เขียนจดหมายถึงเจ้าเมืองมะดีนะฮ์ สั่งให้เขาส่งตัวอิมามบากิรฺ(อ.) และบุตรชายคืออิมามญะอฺฟัร ศอดิก(อ.) มายังดามัสกัส โดยมีความมุ่งหมายที่จะลบหลู่พวกท่านต่อหน้าผู้ชม เมื่อพวกท่านมาถึงยังดามัสกัส เขาปล่อยให้พวกท่านรอถึงสามวัน ในวันที่สี่ เขาเรียกพวกท่านมาพบ โดยที่เขานั่งอยู่บนบัลลังก์แวดล้อมด้วยองครักษ์ถืออาวุธ ตรงกลางพระราชฐานนั้น มีเป้าธนูถูกตั้งขึ้นซึ่งบรรดาขุนนางกำลังยิงธนูกันอยู่ เมื่ออิมาม(อ.) เข้ามา ฮิชามขอให้ท่านยิงธนูร่วมกับคนอื่นๆ

 

อิมามบากิรฺ(อ.) พยายามหลีกเลี่ยงคำสั่งของฮิชาม แต่เขายังยืนกรานและเตรียมที่จะพูดจาเย้ยหยันอิมาม เนื่องจากอิมาม(อ.) ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ฮิชามจึงคิดว่าท่านคงไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ใดๆ เขาไม่รู้ว่าลูกหลานของท่านศาสดา(ศ.) แต่ละคนได้รับมรดกความสามารถมาจากอิมามอะลี(อ.) และความกล้าหาญมาจากอิมามฮุเซน(อ.) เขาไม่รู้ว่าชีวิตที่สงบเงียบเชียบของพวกท่านเป็นการสนองตอบตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า

 

ด้วยการคะยั้นคะยอของฮิชาม อิมามบากิรฺ(อ.) จึงรับธนูมาด้วยความชำนาญ ท่านยิงลูกธนูออกไปอย่างต่อเนื่องหลายดอก ทุกดอกพุ่งตรงเข้าสู่จุดศูนย์กลางของเป้า บรรดาขุนนางที่ตื่นตะลึงลุกขึ้นส่งเสียงชื่นชมท่านจนกึกก้องทั้งทางด้านซ้ายและขวาของคอลิฟะฮ์ ฮิชามจึงเริ่มชวนให้ถกกันในประเด็นปัญหาเรื่องสภาวะอิมามัตและความบริสุทธิ์ของอะฮ์ลุลบัยต์ เขาเล็งเห็นว่าการที่อิมามยังอยู่ในดามัสกัสอาจทำให้ประชาชนให้ความเคารพนับถือต่ออะฮ์ลุลบัยต์ ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้พวกท่านเดินทางกลับมะดีนะฮ์ได้ ทั้งที่ภายในใจเขา ความเป็นปฏิปักษ์ต่อครอบครัวของท่านศาสดาได้เพิ่มพูนขึ้นแล้ว

 

ขณะที่ในเมืองมะดีนะฮ์ อิมามบากิรฺ(อ.) ได้ดำเนินต่อไปด้วยความก้าวหน้าของโรงเรียนสอนด้านศาสนา ซึ่งเปิดขึ้นตามคำแนะนำของท่าน และด้วยการสนับสนุนจากบรรดาสาวกของอะฮ์ลุลบัยต์ มีการบันทึกโดยนักประวัติศาสตร์จำนวนมากว่า ได้มีนักเรียนประมาณ 25,000 คนในโรงเรียนเหล่านี้ที่เรียนรู้ด้านฟิกฮ์อยู่จนกระทั่งอิมามที่ 5 ของเราได้เป็นชะฮีด ในช่วงเวลานี้เองที่ตำราฮะดีษ 400 เล่มได้ถูกรวบรวมขึ้นมาโดยนักเรียนจากโรงเรียนเหล่านี้ภายใต้การชี้นำของอิมามบากิรฺ(อ.)

 

ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีตำราฮะดีษออกเผยแพร่ เป็นวจนะที่แท้จริงของท่านศาสดา(ศ.) และได้แสดงให้ประชาชนได้เห็นการปฏิบัติว่าหน้าที่ต่างๆ ท่านศาสดา(ศ.) ปฏิบัติอย่างไร เนื่องจากการเผยแผ่ความรู้ที่ลึกซึ้งกว่าและจริงแท้กว่านี้เองที่ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักกันในนาม อัล-บากิรฺ ตำราฮะดีษ 400 เล่มที่ถูกเขียนขึ้นและต่อมาภายหลังได้รับการรับรองโดยอิมามญะอฺฟัร ศอดิก(อ.) บุตรชายของท่านเมื่อได้ดำรงตำแหน่งอิมามภายหลังจากที่บิดาได้เป็นชะฮีด เป็นตำราที่ท่านกุลัยนีได้ใช้ในการรวบรวมเป็นตำราสำคัญของท่านชื่ออัล-กาฟีย์ ในยุคสมัยของอิมามที่สิบสอง

 

ตามที่ได้กล่าวถึงไว้ก่อนหน้านี้ว่า คอลิฟะฮ์ฮิชาม อิบนฺ อับดุลมาลิก ไม่พอใจกับความก้าวหน้าของอิมามท่านที่ 5 ของเรา ที่ได้เข้าถึงประชาชนไม่เพียงแต่เฉพาะในมะดีนะฮ์เท่านั้นแต่ทั่วไปทั้งแผ่นดินของมุสลิม อิทธิพลทางด้านจิตวิญญาณอาจเปลี่ยนไปเป็นอิทธิพลทางการเมืองได้ และสิ่งนี้อาจเป็นความเสียงต่อตำแหน่งคลิฟะฮ์ซึ่งเป็นผู้ปกครองรัฐได้ ยิ่งรัฐบาลตระกูลอุมัยยะฮ์ได้รู้ถึงชื่อเสียงและความเป็นที่นิยมของประชาชนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเหลือทนกับการมีอยู่ของท่านมากเท่านั้น ในที่สุด พวกเขาก็ได้ใช้อาวุธเงียบแบบเดิมๆ คือยาพิษ ซึ่งราชวงศ์ที่หลักแหลมเคยใช้กันบ่อยครั้งเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ต้องสงสัย อานม้าอันหนึ่งถูกส่งมอบเป็นของขวัญให้แก่อมามซึ่งมีการฉาบยาพิษไว้ด้วยความชำนาญที่สุด เมื่อท่านขึ้นนั่งบนอานม้านั้น พิษของมันได้ส่งผลไปทั่วร่างกายของท่าน หลังจากที่ประสบกับความเจ็บปวดอยู่หลายวัน อิมาม(อ.) ก็ได้เป็นชะฮีดไปในวันที่ 7 ซุลฮิจญะฮ์ ฮ.ศ.114

 

ตามคำสั่งเสียของท่าน ร่างของท่านถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสามชิ้น ในจำนวนนี้มีผ้าจากเยเมนซึ่งท่านใส่ในการทำนมาซวันศุกร์ และเสื้อตัวที่ท่านใส่อยู่เสมอ ท่านได้พักผ่อนภายใต้สุสานญันนะตุล บะกีอฺ ที่เดียวกันกับอิมามฮะซัน(อ.) และอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ.)

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์

 

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม