ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กับเบดูอิน
ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กับเบดูอิน
ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) เป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในหมู่ชาวอาหรับทั้งที่เป็นมุสลิมและมิใช่มุสลิม กิตติศัพท์ของท่านทำให้ผู้ที่ไม่เคยพบเจอตัวจริงของท่านมาก่อนอาจคิดไปได้ว่าท่านต้องมีความเป็นอยู่อย่างหรูหราและเลิศลอยเหมือนกับบรรดากษัตริย์ผู้ปกครองรัฐทั้งหลาย
วันหนึ่ง ชายเบดูอิน(อาหรับเร่ร่อน) คนหนึ่งเดินทางเข้ามาในเมืองมะดีนะฮ์ เขาตรงไปยังมัสญิดประจำเมืองเพื่อเข้าพบกับท่านศาสดา(ศ็อลฯ)และจะเรียกร้องขอทรัพย์สินเงินทองจากท่าน ขณะนั้น ท่านศาสดา(ศ.) กำลังนั่งอยู่กับมิตรสหายและสาวกของท่าน พูดคุยกันถึงประเด็นต่างๆ เรื่องศาสนาและปัญหาส่วนตัวอื่นๆ ของมุสลิมบางคน
ชายเบดูอินคนนั้นเดินเข้ามาหาท่านและเอ่ยปากขอความช่วยเหลือทางการเงินจากท่านอย่างไม่เกรงใจใคร ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาแล้วมอบให้แก่เขา ชายเบดูอินป่าเถื่อนทำท่าเยอะเย้ยกับจำนวนเงินที่ได้รับและเรียกร้องขอมากกว่านี้อย่างหยาบคาย
บรรดามุสลิมที่อยู่ ณ ที่นั้นโกรธเคืองกับพฤติกรรมไม่ให้เกียรติของชายเร่ร่อนป่าเถื่อนผู้นี้เป็นอย่างมาก พวกเขาตัดสินใจที่จะลงโทษเขา แต่ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้ยกมือขึ้นยับยั้งพวกเขาไว้ไม่ให้แสดงปฏิกิริยาอะไร
ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) นำชายเบดูอินคนนี้ไปยังบ้านของท่าน และพยายามหาของชิ้นอื่นๆ เพื่อมอบให้แก่เขาตามที่เขาต้องการเพื่อให้เขาพอใจ ขณะนั้นเอง ชายเบดูอินคนนั้นก็ได้มองไปรอบๆ บ้านของท่านและประจักษ์ชัดว่าท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยกับผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ท่านไม่ได้มีสมบัติอะไรอย่างที่เขาเรียกร้องจากท่านเลย เขารู้สึกละอายใจ และขอบคุณท่านศาสดา (ศ็อลฯ) สำหรับความมีน้ำใจในการช่วยเหลือเขา
ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) กล่าวว่า "เจ้าพูดจาหยาบคายมากในมัสญิด และทำให้มุสลิมที่อยู่ที่นั่นโกรธเคือง ฉันกลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายเจ้าถ้าเจ้าไม่กลับไปที่มัสญิดและประกาศความพอใจของเจ้าต่อหน้าพวกเขา"
ชายเบดูอินเห็นด้วย ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) จึงกลับมายังมัสญิดและกล่าวว่า "สหายของฉัน ชาวอาหรับผู้นี้พอใจกับฉันแล้ว และไม่มีข้อข้องใจอะไรอีกแล้ว เขาอยากจะบอกกับพวกท่านทุกคน"
ชายเบดูอินคนนั้นจึงขอบคุณท่านศาสดา(ศ.) อย่างที่เขาได้ทำก่อนหน้านี้ และชาวมุสลิมทุกคนจึงคลายความรู้สึกขุ่นเคืองลง
หลังจากที่ชายเบดูอินคนนั้นจากไปแล้ว ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ได้กล่าวกับบรรดามุสลิมที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่นว่า "คนแบบนั้นสามารถเปรียบเทียบได้กับอูฐที่ขุ่นเคืองเจ้าของของมันแล้ววิ่งเตลิดไป เมื่อเจ้าของเริ่มวิ่งตามมัน บรรดาคนที่เห็นเหตุการณ์อยู่ก็พยายามจะช่วยและตะโกนเสียงดังพลางวิ่งไล่ตาม อูฐที่หวาดกลัวอยู่แล้วจึงเริ่มวิ่งเร็วขึ้น เจ้าของอูฐหยุดวิ่งแล้วร้องเสียงดังว่า 'พวกท่านหยุดวิ่งตามอูฐของฉันเถอะ ฉันจะจัดการมันด้วยตัวเอง ฉันรู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร' ทุกคนจึงหยุดวิ่ง
เจ้าอูฐตัวนั้นหยุดวิ่ง เจ้าของจึงเอาฟางหญ้ามาถือในมือแล้วเดินเข้าไปหามัน เจ้าของอูฐวางฟางหญ้าไว้ใกล้ปากของมัน แล้วจับสายบังเหียนของมันได้ และนำมันกลับมาในสภาพที่มันสงบลงแล้ว
ถ้าฉันไม่ขวางพวกท่านไว้จากการตอบโต้อย่างรุนแรง ชายผู้โชคร้ายคนนั้นก็จะต้องจบชีวิตลงในสภาพผู้บูชารูปปั้น วันนี้พวกท่านก็ได้ประจักษ์ถึงผลของการให้ความรักความเมตตาแล้ว ว่ามันตรงข้ามกับการบีบบังคับและใช้ความรุนแรง"
ขอขอบคุณเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี