อิมามท่านที่สิบเอ็ดแห่งวงศ์วานศาสดามุฮัมมัด
ฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) อิมามท่านที่สิบเอ็ดแห่งวงศ์วานศาสดามุฮัมมัด
เมื่อท่านอิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) ถือกำเนิด ท่านอิมามอะลี อัลฮาดีย์(อ.) บิดาของท่านกล่าวว่า เป็นคำสั่งจากท่านศาสดา(ศ.) ให้ตั้งชื่อบุตรชายของท่านว่า ฮะซัน เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า บิดาของอิมามท่านสุดท้ายจะมีชื่อว่าฮะซัน
มารดาของท่าน ซึ่งมีหลายนามด้วยกัน คือ ท่านหญิง ซุลัยล์ หรือฮุดัยษะฮ์ หรือ ซูซัน ท่านหญืงเคยเป็นทาสหญิงคนหนึ่งของอิมามที่ 10 กล่าวคือ ท่านอิมามอะลี อัลฮาดี ซึ่งท่านอิมาม(อ.) ได้ปล่อยตัวนางเป็นอิสระแล้วต่อมาได้แต่งงานด้วย และได้กล่าวเกี่ยวกับนางว่า คือผู้หนึ่งที่ปลอดพ้นจากความชั่วร้ายและมลทินทั้งปวง และนางคือผู้มีคุณธรรม
ฉายานามที่เป็นที่รู้จักกันคือ : อัลอัสกะรีย์
อิมามอะลี อัลฮาดีย์(อ.) และอิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) ต่างถูกเรียกขานว่า อัลอัสกะรีย์ ด้วยกันทั้งสอง เพราะพวกท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า อัสกะรีย์ หมายถึง ค่ายทหาร ในเมืองซามัรรอ
และอีกเหตุผลหนึ่งที่อิมามท่านที่ 11 ถูกเรียกว่า อัลอัสกะรีย์ ก็คือ ครั้งหนึ่งคอลีฟะฮ์มุตะวักกิล ต้องการโอ้อวดให้อิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) เห็นถึงกำลังพล 90,000 นายในกองทัพของเขา เขาจึงสั่งให้ทหารของเขาเอาทรายใส่กระสอบแล้ววางเรียงขึ้นให้สูง หลังจากนั้นเขาจึงให้อิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) มาดูภูเขากระสอบทรายนี้ของเขา ท่านอิมาม(อ.) ได้ขอให้มุตะวักกิลมองผ่านสองนิ้วของท่าน ซึ่งเขาได้มองเห็นกองทัพของมะลาอิกะฮฺ์(เทวทูต) พร้อมอาวุธ อิมามฮะซัน(อ.) ได้บอกกับเขาว่า บรรดามะลาอิกะฮ์เหล่านี้อยู่ใต้อาณัติของท่าน เพียงแต่ท่านจะไม่สั่งใช้พวกเขาเท่านั้น และกองทัพนี้มีชื่อว่า อัสกะรีย์
ชีวิตของท่านอิมามในยามที่ถูกคุมขัง
อะห์มัด บิน อิสฮาก เล่าว่า เมื่อครั้งที่เขาได้ยินข่าวการเสียชีวิตของอิมามท่านที่ 10 เขาได้เดินทางไปเมืองซามัรรอเพื่อตามหาอิมามท่านที่ 11 มีผู้บอกกับเขาว่าท่านอิมาม(อ.) ถูกมุอฺตัซบิลละฮ์ จับไปขังไว้ หลังจากที่เขาได้ให้สินบนแก่ผู้คุมเขาจึงสามารถเข้าไปเยี่ยมท่านอิมาม(อ.) ได้ในคืนหนึ่ง
เขาบรรยายถึงสภาพของคุกนั้นว่าเป็นเหมือนโพรงใต้ดินอยู่ใต้ที่พักของคอลีฟะฮ์ ที่ซึ่งไม่มีพื้นที่พอที่จะเหยียดขาและลุกขึ้นยืนได้ อะห์มัดกล่าวว่า เขาถึงกับร้องไห้เมื่อได้เห็นสภาพของอิมาม อาหารของท่านในหนึ่งวันมีเพียงน้ำหนึ่งแก้วกับขนมปังแห้งหนึ่งชิ้นเท่านั้น
ท่านถูกคุมขังเพราะพวกชนชั้นปกครองต่างรู้ดีในเรื่อง ความยุติธรรมที่ถูกสัญญาไว้ ที่จะมาพร้อมกับการมาของอิมามที่ 12 ซึ่งจะเกิดจากอิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) พวกเขาอยากจะขัดขวางไม่ให้อิมามที่ 11 มีบุตรได้
ในขณะที่ท่านอยู่ในคุกนั้น ท่านได้บอกให้สาวกของท่านรวบรวมคำถามทั้งหมดเกี่ยวกับบทบัญญัติศาสนาเพื่อให้ท่านตอบมันให้สมบูรณ์ในส่วนที่ขาดหายไป ท่านได้แนะนำให้ใช้หลักการ "ตักลีด" โดยให้ประชาชนปฏิบัติตามผู้รู้ที่เป็น "มุตตะกี(ผู้ที่มีความยำเกรงและสำรวมต่อพระผู้เป็นเจ้า เพราะเป็นการยากอย่างยิ่งที่ประชาชนจะได้พบท่าน อะบู ญะอฺฟัร อุษมาน บิน สะอีด เป็นตัวแทนคนหนึ่งของท่าน เขาทำหน้าที่รวบรวมเงินคุมส์และคำถามถูกนำมาถามแก่เขาด้วยเช่นกัน ต่อมาเขายังได้เป็นตัวแทนคนแรกของอิมามมะฮ์ดีย์(อ.) อีกด้วย
อิสรภาพของท่านอิมาม
เมื่อครั้งที่เกิดความแห้งแล้งอย่างหนักขึ้นในเมืองซามัรรอ และมีบาทหลวงคริสเตียนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้ฝนตกได้ ไม่ว่าที่ใดที่เขายกมือขึ้นฝนก็จะตกลงมา ความศรัทธาของมุสลิมเริ่มสั่นคลอน ทำให้คอลีฟะฮ์มุอฺตัสบิลละฮ์เป็นกังวลว่าพวกเขาจะละทิ้งอิสลาม และเมื่อไม่มีมุสลิม เขาก็จะไม่เหลือใครให้ปกครอง
เขาจึงจำต้องมาหาอิมามฮะซัน อีลอัสกะรีย์(อ.) เพื่อบอกว่า ศาสนาของท่านตาของท่านนั้นกำลังตกที่นั่งลำบากแล้ว โดยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านอิมาม(อ.) จึงขอให้เขาเรียกประชาชนทั้งหมดออกมาที่นอกเมืองซามัรรอพร้อมกับบาทหลวงคริสเตียนผู้นั้น ที่นั่น ท่านได้ขอให้บาทหลวงทำการขอฝนให้ดู เมื่อเขายกมือขึ้นอธิษฐาน ฝนก็เริ่มตกลงมา ท่านอิมาม(อ.) ได้ขอสิ่งที่อยู่ในมือของเขาไปแล้วให้เขาขอฝนอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีฝนตก ท่านอิมาม(อ.) จึงแสดงให้ประชาชนเห็นว่า สิ่งที่อยู่ในมือของบาทหลวงผู้นี้ในขณะขอฝนก็คือกระดูกของศาสดาผู้หนึ่ง ซึ่งเมื่อนำมาเผยใต้ท้องฟ้าโล่งแจ้งจะทำให้ฝนตก
ท่านอิมาม(อ.) ได้ทำการวิงวอนขอฝน และฝนก็ได้ตกลงมา หลังจากเหตุการณ์นี้ คอลีฟะฮ์มุอฺตัสบิลลาฮ์ ไม่สามารถนำอิมามฮะซัน(อ.) กลับไปคุมขังได้อีกเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพราะเมื่อประชาชนได้เห็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาต่างก็ต้องการที่จะได้เยี่ยมเยือนท่านและถามว่าจะพบท่านได้ที่ไหน ท่านได้ชี้ไปยังตัวคอลีฟะฮ์เพื่อให้ประชาชนไปถามเขา มุอฺตัสบิลลาฮ์จึงบอกกับพวกเขาว่า อิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังที่อิมามอะลี ฮาดีย์(อ.) เคยพำนักอยู่
ผลงานการประพันธ์ของท่านอิมาม
ลูกศิษย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของอิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) คือ อะบู อะลี อัล-ฮะซัน อิบนฺ คอลิด เป็นผู้เรียบเรียงและรวบรวมบทอรรถาธิบายคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งควรจะถือว่าเป็นผลงานของอิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) ท่านเป็นผู้กำหนดเนื้อหาต่างๆ ของหนังสือนี้ให้แก่อะบูอะลี และเขาได้เขียนบทอรรถาธิบายตามคำบอกของท่าน นักวิชาการระบุว่าหนังสือเล่มนี้มี 1,920 หน้า
การพลีชีพของท่านอิมาม
อิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) มีชีวิตที่สั้นมาก ท่านมีอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น และในระยะเวลาการใช้ชีวิตที่แสนสั้นนี้ท่านยังได้ประสบกับความทุกข์ยากอย่างหนักด้วยน้ำมือของคอลีฟะฮ์แห่งตระกูลวงศ์อับบาสิด ในช่วงเวลาหกปีของการทำหน้าที่อิมามท่านต้องใช้ความเพียรพยายามในชีวิตของท่านอย่างยิ่ง
เมื่อวันที่ 1 รอบิอุลเอาวัล ปีฮ.ศ.260 ได้จัดการวางยาพิษท่านในขณะอยู่ในคุกแล้วส่งท่านกลับบ้าน ท่านอิมาม(อ.) ประสบกับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแสนสาหัสเป็นเวลา 8 วัน จนกระทั่งวันที่ 8 รอบีอุล เอาวัล ท่านได้ขอให้บุตรชายวัย 6 ขวบของท่าน คืออิมามมะฮ์ดีย์(อ.) นำน้ำมาให้ท่านแล้วกลับออกไป ท่านได้เสียชีวิตลงในวันนั้น และได้รับการอาบน้ำฆุซุลและห่อกะฟั่นโดยอิมามท่านที่ 12 ผู้เป็นบุตรชายของท่าน
การฝังศพ
ผู้นำนมาซให้แก่ท่านคืออิมามมะฮ์ดีย์(อ.) และนั่นคือครั้งแรกที่ชีอะฮ์หลายคนได้เห็นท่าน มีประชาชนจำนวนมากมาร่วมพิธีศพของท่าน และร่างของท่านถูกฝังในเมืองซามัรรอ
ขอขอบคุณเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี
เมื่อท่านอิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) ถือกำเนิด ท่านอิมามอะลี อัลฮาดีย์(อ.) บิดาของท่านกล่าวว่า เป็นคำสั่งจากท่านศาสดา(ศ.) ให้ตั้งชื่อบุตรชายของท่านว่า ฮะซัน เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า บิดาของอิมามท่านสุดท้ายจะมีชื่อว่าฮะซัน
มารดาของท่าน ซึ่งมีหลายนามด้วยกัน คือ ท่านหญิง ซุลัยล์ หรือฮุดัยษะฮ์ หรือ ซูซัน ท่านหญืงเคยเป็นทาสหญิงคนหนึ่งของอิมามที่ 10 กล่าวคือ ท่านอิมามอะลี อัลฮาดี ซึ่งท่านอิมาม(อ.) ได้ปล่อยตัวนางเป็นอิสระแล้วต่อมาได้แต่งงานด้วย และได้กล่าวเกี่ยวกับนางว่า คือผู้หนึ่งที่ปลอดพ้นจากความชั่วร้ายและมลทินทั้งปวง และนางคือผู้มีคุณธรรม
ฉายานามที่เป็นที่รู้จักกันคือ : อัลอัสกะรีย์
อิมามอะลี อัลฮาดีย์(อ.) และอิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) ต่างถูกเรียกขานว่า อัลอัสกะรีย์ ด้วยกันทั้งสอง เพราะพวกท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า อัสกะรีย์ หมายถึง ค่ายทหาร ในเมืองซามัรรอ
และอีกเหตุผลหนึ่งที่อิมามท่านที่ 11 ถูกเรียกว่า อัลอัสกะรีย์ ก็คือ ครั้งหนึ่งคอลีฟะฮ์มุตะวักกิล ต้องการโอ้อวดให้อิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) เห็นถึงกำลังพล 90,000 นายในกองทัพของเขา เขาจึงสั่งให้ทหารของเขาเอาทรายใส่กระสอบแล้ววางเรียงขึ้นให้สูง หลังจากนั้นเขาจึงให้อิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) มาดูภูเขากระสอบทรายนี้ของเขา ท่านอิมาม(อ.) ได้ขอให้มุตะวักกิลมองผ่านสองนิ้วของท่าน ซึ่งเขาได้มองเห็นกองทัพของมะลาอิกะฮฺ์(เทวทูต) พร้อมอาวุธ อิมามฮะซัน(อ.) ได้บอกกับเขาว่า บรรดามะลาอิกะฮ์เหล่านี้อยู่ใต้อาณัติของท่าน เพียงแต่ท่านจะไม่สั่งใช้พวกเขาเท่านั้น และกองทัพนี้มีชื่อว่า อัสกะรีย์
ชีวิตของท่านอิมามในยามที่ถูกคุมขัง
อะห์มัด บิน อิสฮาก เล่าว่า เมื่อครั้งที่เขาได้ยินข่าวการเสียชีวิตของอิมามท่านที่ 10 เขาได้เดินทางไปเมืองซามัรรอเพื่อตามหาอิมามท่านที่ 11 มีผู้บอกกับเขาว่าท่านอิมาม(อ.) ถูกมุอฺตัซบิลละฮ์ จับไปขังไว้ หลังจากที่เขาได้ให้สินบนแก่ผู้คุมเขาจึงสามารถเข้าไปเยี่ยมท่านอิมาม(อ.) ได้ในคืนหนึ่ง
เขาบรรยายถึงสภาพของคุกนั้นว่าเป็นเหมือนโพรงใต้ดินอยู่ใต้ที่พักของคอลีฟะฮ์ ที่ซึ่งไม่มีพื้นที่พอที่จะเหยียดขาและลุกขึ้นยืนได้ อะห์มัดกล่าวว่า เขาถึงกับร้องไห้เมื่อได้เห็นสภาพของอิมาม อาหารของท่านในหนึ่งวันมีเพียงน้ำหนึ่งแก้วกับขนมปังแห้งหนึ่งชิ้นเท่านั้น
ท่านถูกคุมขังเพราะพวกชนชั้นปกครองต่างรู้ดีในเรื่อง ความยุติธรรมที่ถูกสัญญาไว้ ที่จะมาพร้อมกับการมาของอิมามที่ 12 ซึ่งจะเกิดจากอิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) พวกเขาอยากจะขัดขวางไม่ให้อิมามที่ 11 มีบุตรได้
ในขณะที่ท่านอยู่ในคุกนั้น ท่านได้บอกให้สาวกของท่านรวบรวมคำถามทั้งหมดเกี่ยวกับบทบัญญัติศาสนาเพื่อให้ท่านตอบมันให้สมบูรณ์ในส่วนที่ขาดหายไป ท่านได้แนะนำให้ใช้หลักการ "ตักลีด" โดยให้ประชาชนปฏิบัติตามผู้รู้ที่เป็น "มุตตะกี(ผู้ที่มีความยำเกรงและสำรวมต่อพระผู้เป็นเจ้า เพราะเป็นการยากอย่างยิ่งที่ประชาชนจะได้พบท่าน อะบู ญะอฺฟัร อุษมาน บิน สะอีด เป็นตัวแทนคนหนึ่งของท่าน เขาทำหน้าที่รวบรวมเงินคุมส์และคำถามถูกนำมาถามแก่เขาด้วยเช่นกัน ต่อมาเขายังได้เป็นตัวแทนคนแรกของอิมามมะฮ์ดีย์(อ.) อีกด้วย
อิสรภาพของท่านอิมาม
เมื่อครั้งที่เกิดความแห้งแล้งอย่างหนักขึ้นในเมืองซามัรรอ และมีบาทหลวงคริสเตียนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้ฝนตกได้ ไม่ว่าที่ใดที่เขายกมือขึ้นฝนก็จะตกลงมา ความศรัทธาของมุสลิมเริ่มสั่นคลอน ทำให้คอลีฟะฮ์มุอฺตัสบิลละฮ์เป็นกังวลว่าพวกเขาจะละทิ้งอิสลาม และเมื่อไม่มีมุสลิม เขาก็จะไม่เหลือใครให้ปกครอง
เขาจึงจำต้องมาหาอิมามฮะซัน อีลอัสกะรีย์(อ.) เพื่อบอกว่า ศาสนาของท่านตาของท่านนั้นกำลังตกที่นั่งลำบากแล้ว โดยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านอิมาม(อ.) จึงขอให้เขาเรียกประชาชนทั้งหมดออกมาที่นอกเมืองซามัรรอพร้อมกับบาทหลวงคริสเตียนผู้นั้น ที่นั่น ท่านได้ขอให้บาทหลวงทำการขอฝนให้ดู เมื่อเขายกมือขึ้นอธิษฐาน ฝนก็เริ่มตกลงมา ท่านอิมาม(อ.) ได้ขอสิ่งที่อยู่ในมือของเขาไปแล้วให้เขาขอฝนอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีฝนตก ท่านอิมาม(อ.) จึงแสดงให้ประชาชนเห็นว่า สิ่งที่อยู่ในมือของบาทหลวงผู้นี้ในขณะขอฝนก็คือกระดูกของศาสดาผู้หนึ่ง ซึ่งเมื่อนำมาเผยใต้ท้องฟ้าโล่งแจ้งจะทำให้ฝนตก
ท่านอิมาม(อ.) ได้ทำการวิงวอนขอฝน และฝนก็ได้ตกลงมา หลังจากเหตุการณ์นี้ คอลีฟะฮ์มุอฺตัสบิลลาฮ์ ไม่สามารถนำอิมามฮะซัน(อ.) กลับไปคุมขังได้อีกเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพราะเมื่อประชาชนได้เห็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาต่างก็ต้องการที่จะได้เยี่ยมเยือนท่านและถามว่าจะพบท่านได้ที่ไหน ท่านได้ชี้ไปยังตัวคอลีฟะฮ์เพื่อให้ประชาชนไปถามเขา มุอฺตัสบิลลาฮ์จึงบอกกับพวกเขาว่า อิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังที่อิมามอะลี ฮาดีย์(อ.) เคยพำนักอยู่
ผลงานการประพันธ์ของท่านอิมาม
ลูกศิษย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของอิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) คือ อะบู อะลี อัล-ฮะซัน อิบนฺ คอลิด เป็นผู้เรียบเรียงและรวบรวมบทอรรถาธิบายคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งควรจะถือว่าเป็นผลงานของอิมามฮะซัน อัสกะรีย์(อ.) ท่านเป็นผู้กำหนดเนื้อหาต่างๆ ของหนังสือนี้ให้แก่อะบูอะลี และเขาได้เขียนบทอรรถาธิบายตามคำบอกของท่าน นักวิชาการระบุว่าหนังสือเล่มนี้มี 1,920 หน้า
การพลีชีพของท่านอิมาม
อิมามฮะซัน อัลอัสกะรีย์(อ.) มีชีวิตที่สั้นมาก ท่านมีอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น และในระยะเวลาการใช้ชีวิตที่แสนสั้นนี้ท่านยังได้ประสบกับความทุกข์ยากอย่างหนักด้วยน้ำมือของคอลีฟะฮ์แห่งตระกูลวงศ์อับบาสิด ในช่วงเวลาหกปีของการทำหน้าที่อิมามท่านต้องใช้ความเพียรพยายามในชีวิตของท่านอย่างยิ่ง
เมื่อวันที่ 1 รอบิอุลเอาวัล ปีฮ.ศ.260 ได้จัดการวางยาพิษท่านในขณะอยู่ในคุกแล้วส่งท่านกลับบ้าน ท่านอิมาม(อ.) ประสบกับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแสนสาหัสเป็นเวลา 8 วัน จนกระทั่งวันที่ 8 รอบีอุล เอาวัล ท่านได้ขอให้บุตรชายวัย 6 ขวบของท่าน คืออิมามมะฮ์ดีย์(อ.) นำน้ำมาให้ท่านแล้วกลับออกไป ท่านได้เสียชีวิตลงในวันนั้น และได้รับการอาบน้ำฆุซุลและห่อกะฟั่นโดยอิมามท่านที่ 12 ผู้เป็นบุตรชายของท่าน
การฝังศพ
ผู้นำนมาซให้แก่ท่านคืออิมามมะฮ์ดีย์(อ.) และนั่นคือครั้งแรกที่ชีอะฮ์หลายคนได้เห็นท่าน มีประชาชนจำนวนมากมาร่วมพิธีศพของท่าน และร่างของท่านถูกฝังในเมืองซามัรรอ
ขอขอบคุณเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี