เอโดอาร์โด ทายาทมหาเศรษฐีชาวอิตาลีที่เข้ารับชีอะห์ ตอนที่ 4

 

เอโดอาร์โด “ทายาทมหาเศรษฐีชาวอิตาลี”  ชะฮีดผู้มอบชีวิตให้ศาสนา (เรื่องเล่าผ่านวิถีชีวิตของ “เอโดอาร์โด (ชะฮีด มะห์ดี) ” ทายาทมหาเศรษฐีชาวอิตาลีที่เข้ารับชีอะห์)

เอโดอาร์โด ตัดสินใจหยิบคัมภีร์อัลกุรอาน แล้วมุ่งหน้าไปยังสถาบันศาสนาอิสลามในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แล้วพูดขึ้นว่า “ ฉันมาที่นี้เพื่อเข้ารับศาสนาอิสลาม  

“ฉันมาที่นี้เพื่อแสวงหาสัจธรรม

ฉันมาที่นี้เพื่อยึดมั่นในหนทางแห่งสัจธรรม” 

 
และแล้วเขาก็ได้กล่าวคำปฏิญาณตน ณ ที่นั่น  

เอโดอาร์โด ได้เข้ารับศาสนาอิสลามแล้ว และเข้ารับนิกายอะห์ลุลซุนนะห์  พร้อมกับตั้งชื่อใหม่ ว่า “ฮิชาม อะซีซ”

เขาอยู่ในอเมริการาวสิบปี ในที่สุดก็สามารถคว้าปริญญาเอกสำเร็จ  จากนั้นก็ได้เดินทางกลับไปหาครอบครัวของเขาที่อิตาลี  บุคคลผู้ซึ่งก่อนออกเดินทางจากอิตาลี ได้นับถือศาสนาคริสต์  แต่ขณะนี้กำลังเดินทางกลับไปในสภาพที่นับถือศาสนาอิสลาม  ซึ่งเป็นศาสนาที่เป็นอันตรายสำหรับบิดาของเขา ครอบครัวของเขา และไซออนิสต์ที่อยู่รอบๆบิดาของเขา

เขาคิดหนัก คิดมาก ไตร่ตรองแล้ว ไตร่ตรองอีก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  จะเก็บความลับนี้ไว้ในใจหรือ จะเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้....

สุดท้าย...จึงพูดกับตัวเองว่า  “ฉันต้องพูดความจริง ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”  

 วันหนึ่งเขาได้ยืนอยู่ต่อหน้าบิดาและมารดา สายตาของเขาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของทั้งสอง และพูดว่า “ฉันเป็นมุสลิม และปฏิบัติตามศาสนาของ ท่าน นบีมูฮัมหมัด บิน อับดุลเลาะห์ !!!”  เขารู้ว่า การบอกสิ่งนี้มันเป็นเรื่องที่ยาก  แต่ทว่า เขาก็ได้บอก.... บอกไปด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว

จิอันนี่ อันเญลลี และภรรยาของเขาถึงกับช็อค  ราวกับโดนไฟดูด  รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นความฝัน  เขาไม่อยากจะเชื่อและไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ในหมู่เครือญาติของพวกเขาจะมีผู้ที่กล่าวคำปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม นับประสาอะไรกับลูกชายของเขา

จิอันนี่ อันเญลลี แทบจะเสียสติ  เขามุ่งไปหาญาติพี่น้องและครอบครัวของเขา  และพูดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ราวกับว่าบ้านได้พังทลายลงมาทับตัวเขา   จากนั้นได้พูดกับคนในครอบครัวของเขาว่า  เอโดอาร์โด เสียสติแล้ว  เขาเสียสติอย่างแท้จริงแล้ว  และฉันไม่สามารถที่จะพูดคุยกับเขาได้แม้แต่เสี้ยววินาที  เราต้องพยายามทำให้เขาเปลี่ยนมารับศาสนาเดิมและหันหลังให้กับศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆก็ตาม....... ”

 
โปรดติดตามตอนที่ 5

ขอขอบคุณ เฟสบุ๊ค SaiyidSulaiman Husaini