เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ปรมัตถ์แห่งขันติธรรม ตอนที่ 3

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ปรมัตถ์แห่งขันติธรรม ตอนที่ 3

 

คุณลักษณะของมุตตะกีน
อัลกุรอานส่วนหนึ่งดังกล่าวนี้เป็น  هُدً۬ى لِّلۡمُتَّقِينَ   
คำถามว่าใครคือ “มุตตะกีน” ???
ใครคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากอัลกุรอาน ???

อัลกุรอานบอกไว้อย่างชัดแจ้งว่า “มุตตะกีนนั้นคือบรรดาผู้ศรัทธาในสิ่งเร้นลับ”  “และดำรงการนมาซ”
ความหมายในประโยคเหล่านี้จำเป็นต้องอรรถาธิบายให้สมบูรณ์

“และคือบุคคลที่ใช้จ่ายในสิ่งที่อัลลอฮฺ(ซบ) ได้ทรงประทานให้กับเขา” นั้นคือ “มุตตะกีน” คือเขาเหล่านี้ “มุตตะกีน” จึงไม่ใช่ผู้ศรัทธาอิสลามเพียงเปลือกนอก เพราะการกล่าวคำปฏิญาณ ดำรงนมาซครบ 5 เวลายังหาใช่ “มุตตะกีน”
“มุตตะกีน” คือบุคคลที่พัฒนาตัวตนถึงขั้น “ศรัทธาในสิ่งเร้นลับ” บุคคลที่พัฒนาไปถึงขั้นที่บุคคลจำนวนหนึ่งไม่รู้….. ไม่เข้าใจ….. แต่ “มุตตะกีน” พัฒนาตัวตนไปถึงขั้นความสามารถศรัทธาในสิ่งเร้นลับนั้นได้ อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน

ในวันกิยามัต วันแห่งการตัดสินตอบแทน ส่วนนี้จะเป็นมาตรวัด ชั่ง ตวง ความดีของมนุษย์ ไม่ใช่เปลือกนอกเพียงผิวเผิน เช่น อัลกุรอานบอกให้นมาซมีโองการเป็นร้อยๆ โองการที่บอกให้คนนมาซ แต่ก็มีบางโองการที่สาปแช่งคนนมาซเอาไว้ด้วย “ฟะอะกี มุศศอลาฮฺ” สั่งให้นมาซ อีกโองการหนึ่งบอกว่า “ฟะวัยล ลุน ลินมุศ็อลลีน” “ความวิบัติจงมีแด่ผู้นมาซ” ต้องศึกษาเรียนรู้ ความเข้าใจเรื่องการนมาซอย่างลึกซึ้ง เพราะนมาซเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ผลลัพธ์ทำให้ประสพผลสำเร็จเสียแล้ว อัลกุรอานมีคำสั่งให้นมาซ แต่ในคราวเดียวกันก็มีการสาปแช่งผู้นมาซอยู่ด้วย แสดงว่านมาซของบางคนถูกยอมรับและนมาซของอีกคนอาจถูกสาปแช่ง

ไม่ใช่นมาซเพียงเรื่องเดียวที่ถูกกล่าวเอาไว้ในอัลกุรอานอย่างนี้ ถ้าค้นคว้าให้ละเอียด ทุกๆ เรื่องที่เป็นการปฏิบัติที่สำคัญ เป็นวาญิบต้องกระทำ เช่น สั่งให้ถือศีลอดต้องอดอาหารในตอนกลางวัน และอัลกุรอาน ก็ไม่ได้บอกว่าในการถือศีลอดนั้นมีผลลบอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้มีวัจนะเอาไว้ว่า “มีคนจำนวนมากเมื่อเดือนถือศีลอดผ่านไปเขาไม่ได้อะไรเลย นอกจากความหิวกระหาย และความอดอยากเท่านั้น”

มีหะดีษจำนวนมากที่บอกว่าการถือศีลอดของบางคนจะไม่ได้รับผลตอบแทนอันใดจากอัลลอฮฺ(ซบ) ไม่มีรางวัลตอบแทนใดๆ จากพระองค์ นอกจากความหิวกระหายและอดอยาก และทุกๆ อิบาดะฮฺก็จะมีลักษณะ เช่นนี้

เนื้อหาจริงๆ แล้วอิสลามนั้นไม่ยอมให้มุสลิมทำอิบาดะฮฺแค่กายภาพเพียงเปลือกนอกเท่านั้น มีหลักฐานชัดแจ้งว่าการทำอิบาดะฮฺนั้นต้องควบคู่กันไปทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณ หมายถึงความศรัทธาอันเข้มข้นในการทำทุกๆ อิบาดะฮฺ
มีหะดีษจำนวนมากกล่าวถึงผลบุญของการอัญเชิญอัลกุรอาน บางครั้งบอกผลบุญกันเป็นตัวอักษรเป็นฮุรุฟ ๆ ว่าใครอัญเชิญอัลกุรอานเท่านี้จะมีผลบุญเท่านั้น โองการหนึ่งๆ จะมีผลบุญที่แตกต่างกันออกไป แต่ในคราวเดียวกันก็มีหะดีษจากท่านรอซูลลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) กล่าวว่า “รุบบะตะกุรอาน วะกุรอาน ยัลอะนุห์”

“มีคนกลุ่มหนึ่งอัญเชิญอัลกุรอาน และขณะที่อัญเชิญอยู่นั้น อัลกุรอาน ก็สาปแช่งเขา” แสดงว่าเรื่องของการอัญเชิญอัลกุรอานเป็นเรื่องของจิตวิญญาณด้วย หาใช่แต่เพียงกายภาพอย่างเดียวเท่านั้นไม่!!!

จากอุทาหรณ์ในการอัญเชิญอัลกุรอานนั้นพออนุมานได้ว่าเรื่องของศาสนาไม่ใช่เพียงปฏิบัติโดยเปลือกนอกทางกายภาพ แต่จำเป็นจะต้องเข้าไปถึงสัจธรรมในเรื่องนั้นๆ ถ้าไปไม่ถึงสาปแช่งทั้งกายและจิตใจในคราวเดียวกันแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงในการนับถือศาสนาอิสลามนั้นเลย การอัญเชิญอัลกุรอาน ถ้าไม่เข้าใจหลักภาษาอาหรับ อ่านภาษาอาหรับไม่ถูกต้อง ไม่เข้าใจในความหมายภาษาถิ่นของตน ก็คงไปถึงเป้าหมายไม่ได้ ในที่สุดแทนที่จะเป็นผลบุญก็จะกลายเป็นโทษมหันต์ไปเสีย!!! เดือนรอมฎอนก็ดุจเดียวกัน ไม่ใช่ปฏิบัติกันแค่เปลือกนอกทางกายภาพแต่ต้องเข้าใจในสัจธรรม เพื่อนำไปสู่ความศรัทธาอย่างเข้มข้นต่อไป

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม