เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

เกียรติยศแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ) ตอนที่ 2

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5


เกียรติยศแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ) ตอนที่ 2

 

 สถานภาพโดยตรงของท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)ไม่มีความแตกต่างใดๆกับท่านอิมามฮุเซ็น(อ) ส่วนมากในรายงานฮะดิษต่างๆจะพูดถึงความประเสริฐของท่านทั้งสองควบคู่กันเสมอ เช่น “ แท้จริงฮะซันและฮุเซ็นเป็นประมุขหรือชายหนุ่มในสรวงสวรรค์” ฮะดิษนี้ปรากฏในหนังสือตำรับตำราของพี่น้องชาวอะฮฺลิซซุนนะฮ อย่างมากจนไม่มีความคลางแคลงสงสัยใดๆ  และฮะดิษ  “แท้จริงฮะซันและฮุเซ็นคือกลิ่นหอมทั้งสองของสรวงสวรรค์”

ความประเสริฐของท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)นั้นเป็นที่รับรู้ในอุมมัตอิสลาม ไม่ว่าซุนนีหรือชีอะฮ และได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งท่านเป็นหนึ่งในบุคคลห้าคนในใต้ผ้าคลุมในฮะดิษกีซาอฺ สถานภาพของท่านเป็นที่รับรู้และถูกยอมรับโดยอุมมัตอิสลามทั้งหมดโดยไม่แบ่งแยกนิกายหรือมัศฮับใดๆ

หลังการเป็นชะฮีดของท่านอิมามอะลี อิบนิ อบีฏอลิบ(อ)บทบาทที่สำคัญควรแก่การศึกษาค้นคว้าของท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)นั้นเป็นอย่างไร? ในขณะที่บนีอุมัยยะฮฺกำลังก้าวไปจนเกือบถึงจุดสูงสุดของอำนาจ ช่วงที่ท่านอิมามอะลี(อ)ยังเป็นคอลีฟะฮอยู่นั้น อำนาจการปกครองของอิสลามถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือฝ่ายมุอาวียะฮซึ่งเป็นอำนาจของบนีอุมัยยะฮ และท่านอิมามอะลี(อ)ซึ่งเป็นอำนาจที่มาจากอะฮฺลุลบัยต(อ) มุอาวียะฮฺพยายามทำทุกวิถีทางที่จะขยายอำนาจของตนและทำทุกวิธีเพื่อทำลายอำนาจความน่าเชื่อถือและความประเสริฐของท่านอิมามอะลี(อ) ทำลายความประเสริฐของบรรดาอะฮลุลบัยต(อ)เพื่อที่จะสถาปนาอิสลามใหม่เป็นอิสลามแห่งบนีอุมัยยะฮฺ

 การเป็นชะฮีดของท่านอิมามอะลี(อ)ได้ทำให้ขั้วอำนาจของฝ่ายบนีอุมัยยะฮฺและผู้สนับสนุนเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งความจริงในยุคนั้นยังเป็นยุคของบรรดาศอฮาบะฮแต่ด้วยเหตุผลของความแค้นในอดีต ความอิจฉาริษยาในบรรดาศอฮาบะฮฺและอื่นๆมากมาย และด้วยอำนาจทรัพย์สินเงินทองของบนีอุมัยยะฮฺก็สามารถซื้อใจบรรดาศอฮาบะฮฺให้รับใช้พวกเขาได้เป็นจำนวนมาก  เมื่อท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)ขึ้นมารับตำแหน่งคอลีฟะฮอย่างเป็นทางการ นั่นคือขึ้นรับตำแหน่งพร้อมกันกับฝ่ายอุมัยยะฮฺ เหมือนกับสมัยท่านอิมามอะลี(อ)ที่เป็นคอลีฟะฮมีกุฟะฮเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอิสลามฝ่ายอะฮลุลบัยตฝั่งหนึ่ง และซีเรียก็เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอิสลามฝ่ายบนีอุมัยยะฮฝั่งหนึ่ง   
ขณะที่อิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบาขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ  มุอาวียะฮก็ประกาศอำนาจตนคือรัฐอิสลามในวันนั้นด้วยเช่นกันทำให้รัฐอิสลามเกิดขึ้นสองรัฐ การเป็นชะฮีดของท่านอิมามอะลี(อ)ยิ่งเพิ่มอำนาจความเข้มแข็งให้แก่บนีอุมัยยะฮฺที่นอกจากจะได้รับแรงหนุนจากบรรดาศอฮาบะฮที่เห็นแก่อามิสสินจ้างและมีความเคียดแค้นในอดีตเป็นทุนรวมทั้งพวกที่มีความอิจฉาริษยาในวงศ์วานศาสดาอีกจำนวนหนึ่ง มีการใช้เงินทองซื้อทหารที่เคยร่วมรบกับท่านอิมามอะลี(อ)และเหล่าทหารที่เคยอยู่ใต้การปกครองของอิมามฮะซัน(อ) รวมทั้งตำแหน่งของบรรดาแม่ทัพนายกองก็ถูกซื้อด้วยเงินของบนีอุมัยยะฮทั้งสิ้น

หลังจากที่ท่านอิมามฮะซัน(อ)ขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮแล้วได้มีการเตรียมการจัดทัพเพื่อไปปราบกบฏแห่งราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ  ท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)เป็นคอลีฟะฮที่ชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากอุมมัตอิสลามในยุคนั้น  แต่ด้วยความกลับกลอกของบรรดาแม่ทัพนายกองที่สยบให้กับอำนาจเงินของบนีอุมัยยะฮ การจัดทัพของท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)จึงไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีแรงสนับสนุน ส่วนประชาชนในยุคนั้นก็เพียงแต่ดำเนินชีวิตไปวันๆ นับถือศาสนาเพียงเปลือกนอกเท่านั้น แค่ได้นมาซ.... ถือศีลอด.... ก็คิดว่าหน้าที่ในศาสนาของตัวเองนั้นสมบูรณ์แล้ว.....!!!  

การนับถือศาสนาโดยไม่มีความคำนึงถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบสังคม ร่วมกันรับผิดชอบในชะตากรรมต่างๆที่เกิดขึ้นกับมุสลิมและอิสลาม มองศาสนาแค่เพียงเปลือกนอก คิดแค่ได้นมาซก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว เป็นคนดีแล้ว แนวคิดเหล่านี้ถือว่าเป็นอันตรายกับอิสลามเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือขัดกับสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮ(ซล)ได้กล่าวไว้ ว่า “ใครก็ตามที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องราวของพี่น้องมุสลิม เขาไม่ใช่มุสลิม”

ฮะดีษนี้มีความสำคัญและน่ากลัวเป็นอย่างมาก ในยามเช้าแม้จะตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้ทำบาปอะไรเลยแต่ขาดการสนใจขบคิดถึงปัญหาของพี่น้องมุสลิม ใครตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้ทำสิ่งนี้ ท่านรอซูลุลลอฮ(ซล)กล่าวว่า “พวกเขาไม่ใช่มุสลิม”

หรืออีกฮะดิษหนึ่งบอกไว้โดยตรงว่า “คนแบบนี้ไม่ใช่มุสลิม” บุคคลที่ในชีวิตของเขาคิดถึงแต่เรื่องปากท้องและความเดือดร้อนของตัวเอง ของครอบครัวลูกเมียและคนใกล้ชิดเท่านั้น ความเดือดร้อนปัญหาความยากลำบากของผู้อื่นเขาไม่ได้สนใจ คิดช่วยเหลือแก้ไข คิดเพียงว่าไม่ใช่เรื่องของเราไม่ใช่หน้าที่ของเราไม่จำเป็นต้องรับรู้


คนแบบนี้ไม่ใช่มุสลิม.....!!!

ไม่มีข้ออ้างใดๆแม้แต่ความยากจนที่จะสกัดกั้นไม่ให้เราสนใจรับรู้เรื่องของพี่น้องมุสลิม การช่วยเหลือในกิจการต่างๆของพี่น้องมุสลิมนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ บางคนต้องการกำลังใจ..... บางคนต้องการการช่วยเหลือในรูปแบบอื่นๆที่ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเงินอย่างเดียวเท่านั้น...... บางครั้งปัญหาทางการเมือง ปัญหาสังคมวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นกับพี่น้องมุสลิม เราทุกคนมีหน้าที่ช่วยเหลือ ผู้เป็นมุสลิมต้องรับรู้เรื่องของพี่น้องมุสลิมตามความสามารถตามศักยภาพของตัวเรา เพราะแน่นอนศาสนานี้ไม่ได้บังคับให้มนุษย์มีหน้าที่เกินความสามารถของตัวเอง และอัลกุรอานก็ยืนยันในสิ่งนี้

อัลกุรอานได้กล่าวว่า อัลลอฮจะไม่กำหนดภาระหน้าที่ให้กับคนหนึ่งคนใด เว้นแต่ในสิ่งที่เขาสามารถจะกระทำได้ ดังนั้นไม่ต้องตกใจ หากเราไม่สามารถช่วยเหลือพี่น้องของเราเรื่องเงินทองได้ เราสามารถช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นๆมากมายหลายวิธี ปัญหาของสังคมไม่ใช่ปัญหาของเงินเพียงอย่างเดียว สมมุติในสังคมเรามีผู้หญิงมีมุสลิมะฮฺจำนวนหนึ่งไม่คลุมฮิญาบ ถ้าเรามองแล้วคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็ไม่ใช่มุสลิม แต่ถ้าเรื่องมุสลิมะฮไม่คลุมฮิญาบเป็นเรื่องของเราและพี่น้องมุสลิมทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ อันนี้ไม่ได้หมายถึงให้เอาเขามาทุบมาตี  แต่เราควรมาปรึกษาหารือ ให้ความสนใจจัดประชุมอบรมให้ความรู้ ทั้งมุสลิมะฮฺและบรรดาผู้ปกครอง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเราได้ปฏิบัติตามฮะดิษบทนี้แล้ว

อิสลามยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะเป็นศาสนาที่สอนความเป็นหนึ่งเดียว ถ้ามุสลิมมีจิตวิญญาณสนใจกับฮะดิษนี้เพียงฮะดิษเดียว เรื่องราวต่างๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลกนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น ที่เราเห็นทั้งหมดทุกเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในโลกอิสลามทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมวลมุสลิม ทั้งด้านการเมือง สังคม สงครามการก่อการร้าย  การรุกรานและยึดครอง เรื่องทั้งหมดในปาเลสไตน์ ในบาห์เรน เยเมนหรือที่อื่นๆ หากมุสลิมยึดมั่นในฮะดิษนี้เพียงฮะดิษเดียวเรื่องต่างๆเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะท่านนบี(ซล)ได้กล่าวว่า ทุกเช้าที่ตื่นมาอย่าคิดแต่เรื่องตัวเอง  “อย่าตื่นขึ้นมาคิดแต่เรื่องของตัวเอง เพราะมุสลิมที่แท้จริงต้องคิดถึงเรื่องราวของพี่น้องมุสลิมอื่นๆด้วย และคำว่า “ตามศักยภาพของตัวเอง” จะไม่มีใครมีข้อแก้ตัวใดๆได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความยากจนหรืออะไรก็แล้วแต่

หากแต่สภาพสังคมในวันนั้น ในยุคที่ท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)ขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ คำสอนต่างๆเหล่านี้หายไป อุมมัตอิสลามไม่มีใครสนใจกันและกันกระทั่งไม่อาจแยกแยะระหว่างอิสลามของบนีอุมัยยะฮฺและอิสลามของอะฮฺลุลบัยต(อ)

การปกครองของบนีอุมัยยะฮฺในยุคแรก ผู้สถาปนาตนเองเป็นผู้ปกครองอุมมัตอิสลามคนแรกคือ มุอาวียะฮฺบุตรอบูซุฟยานกับนางฮินด์ ที่ตั้งเมืองหลวงขึ้นในซีเรีย แต่ประชาชนกลับไม่เห็นความแตกต่าง แม้แต่บรรดาผู้ที่ยอมรับการปกครองของท่านอิมามฮะซัน(อ)ก็ไม่มีความรู้สึกต้องลุกขึ้นมาต่อต้านจัดการกับรัฐบาลกบฏที่กำลังสอดแทรกเผยแพร่ความชั่วร้ายอยู่ในสังคมของบนีอุมัยยะฮฺที่ก่อตัวอยู่ในซีเรียเลยแม้แต่น้อย

ท่านอิมามอะลี(อ) ได้เคยสั่งเสียไว้ว่า “อิสลามจะไม่มีวันปลอดภัยหากการปกครองของบนีอุมัยยะฮฺยังคงอยู่และมีอำนาจการปกครองเหนือมวลมุสลิม” ดังนั้นท่านอิมามฮะซัน(อ)จึงถือปฏิบัติตามคำสั่งเสียจัดทัพเพื่อปราบกบฏ แต่การจัดทัพของท่านหลายๆครั้งนั้นไม่อาจประสบความสำเร็จด้วยเหตุผลหลักๆคือ

 1.การทรยศของบรรดามุสลิมระดับแม่ทัพนายกองที่ถูกบนีอุมัยยะฮฺซื้อตัวไป
 2. ประชาชนดำเนินชีวิตโดยไม่รับรู้เรื่องราวของศาสนา ไม่คำนึงถึงหน้าที่ทางศาสนาที่จะต้องรับผิดชอบดูแลทั้งสังคมการเมืองการปกครอง

จนกระทั่งสุดท้ายที่ท่านพยายามจัดทัพได้จำนวนหนึ่ง เพื่อเข้าพิชิตเพื่อทำลายล้างราชวงศ์ที่เป็นอันตรายต่ออิสลาม และในครั้งนี้เองที่ทำให้ท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)ได้บทสรุปสำคัญ และเปลี่ยนยุทธวิธีในการปกป้องศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์

เมื่อท่านเดินทัพไปถึงครึ่งทางเพื่อเผชิญหน้ากับทัพของบนีอุมัยยะฮฺนั้น ในระหว่างเส้นทางท่านได้ถูกมุสลิมคนหนึ่งลอบสังหารท่าน แต่ดาบหรือมีดอันนั้นได้เพียงปักไปที่เท้าของท่านเท่านั้น และเมื่อถูกจับตัวได้ คนที่ลงมีดไปยังร่างของท่านกลับร้องตะโกนว่า “เมื่อไหร่ที่พวกแกจะหยุด โอ้กาเฟรลูกของกาเฟร เมื่อไหร่ที่หยุดการหลั่งเลือดพี่น้องมุสลิมเสียที” เมื่อท่านอิมามฮะซัน อัล-มุจญตาบา(อ)ได้ยินสิ่งนั้นท่านก็รู้ว่าวันนี้สงครามหรือการจับดาบนั้นไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกอิสลามแล้ว

ชายคนนั้นเรียกท่านว่ากาเฟร ลูกของกาเฟร หมายความว่าท่านอิมามอะลี(อ)และท่านอิมามฮาซัน(อ) ถูกตักฟีรให้เป็นกาเฟรไปแล้ว และคำพูดที่ว่า “เมื่อไหร่จะปล่อยให้มวลมุสลิมอยู่ในความสงบ เมื่อไหร่จะหยุดการหลั่งเลือดมุสลิม”เป็นคำพูดให้ร้ายที่สร้างความเคลือบแคลงให้กับประชาชาติ


ทั้งๆที่ผู้ที่ถูกเรียกว่ากาเฟรคือผู้ที่มีฮะดิษและอัลกุรอานรองรับถึงความบริสุทธิ์และประเสริฐ พวกท่านคืออะฮลุลบัยต(อ)ที่หมายถึงอะลี(อ) ฮะซัน(อ) ฮุเซ็น(อ)และ หมายถึงท่านหญิงฟาติมะฮ อัซ ซะฮรอ (ซ)บุตรีแห่งศาสดา(ซล)พวกท่านคือผู้ถูกกล่าวถึงอยู่ใน ฮะดิษกีซา และโองการตัฏฮีร

إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا

และอีกหลายๆโองการ ตรงนั้นต้องการการพิสูจน์ต้องการอรรถาธิบาย แต่ฮะดิษไม่ต้องการการอธิบายเลย เพราะคำพูดของท่านรอซูล(ซล)นั้นชัดเจนยิ่ง  “แท้จริงฮาซันและฮูเซนคือหัวหน้าชายหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์” ซึ่งตีความได้ว่าเป็นหัวหน้าของชาวสวรรค์ทั้งหมดเพราะในสวรรค์ไม่มีคนแก่ชราแม้แต่คนเดียว
 
 “ฮาซันและฮูเซนเป็นกลิ่นหอมของสรวงสวรรค์” และมีฮะดีษที่ถูกกล่าวถึงอีกเป็นจำนวนมาก

 

บทความโดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม