ทิพย์โอสถ (ตอนที่1) ต้อนรับ "วันตรุษอีดิ้ลฟิตริ"   

                                                                                                                                                                                                                                  

ด้วยความเป็นศิริมงคลแห่งวันสำคัญอันยิ่งใหญ่วันนี้  ขอแสดงความยินดีชื่นชมแด่พี่น้องผู้ศรัทธาทุกท่าน
 
วันอีด อิดิลฟิตรี เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองสำหรับบุคคลผู้กลับสู่ฟิตเราะฮฺอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  ด้วยความสำเร็จในการขัดเกลาตนเอง ณ เดือนรอมฎอนอันยิ่งใหญ่ที่ผ่านมา  อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงปรารถนาที่จะให้บ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ประสพความสำเร็จในการขัดเกลาตัวเองในเดือนนี้ โดยทรงบอกถึงวิธีการขัดเกลาจิตวิญญาณของประชาชาติอิสลาม การขัดเกลาจิตวิญญาณนั้นถือว่าเป็นอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ของประชาชาติอิสลาม ที่พระองค์ทรงยืนยันไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานในซูเราะฮฺ อัลอะอฺลา  โองการที่ 14 – 19  และซูเราะฮฺ อัชชัมซฺ  โองการที่  1-10  ที่ได้อัญเชิญไว้ในนมาซอีดนี้แล้ว

-โลกจะประสพความสันติสุขได้ต่อเมื่อมนุษย์ผู้ขัดเกลาจิตวิญญาณมาปกครองโลก  

ในซูเราะฮฺ อัลอะอฺลานั้นอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงบอกว่าผู้ที่ประสพความสำเร็จนั้นคือบุคคลที่ได้ขัดเกลาตนเองอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา เมื่อขัดเกลาตนเองได้แล้วเขาก็จะรำลึกถึงพระผู้อภิบาลของเขาด้วยการนมาซ และดำรงนมาซนั้นตลอดเวลา

ส่วนในซูเราะฮฺ อัชชัมซฺ นั้น อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงสาบานถึง 11 สาบาน ประกาศให้ยิ่งใหญ่กว่า  เพราะก่อนที่พระองค์จะประกาศสาส์นฉบับนี้พระองค์ได้ทรงสาบานถึง 11 ครั้ง คือ
ขอสาบานด้วยดวงอาทิตย์และยามสาย
 ขอสาบานด้วยดวงจันทร์ที่ได้คล้อยตามหลังดวงอาทิตย์
ขอสาบานด้วยกลางวันที่ได้ปรากฏขึ้น
ขอสาบานด้วยกลางคืนที่ได้ปิดคลุมนำความมืดมิดมา
ขอสาบานด้วยชั้นฟ้าและเสาที่ค้ำยันเอาไว้
ขอสาบานด้วยการแผ่ขยายออกไป
ขอสาบานด้วยนัฟส์ ด้วยดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งที่สร้างความสมดุลให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้น  
และด้วยดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ได้ถูกสร้างความสมดุลแล้ว จะบอกมนุษย์ถึงความชั่ว ความละเมิด และจะเตือนมนุษย์อยู่ตลอดเวลาจงอย่าได้กระทำ  แต่จะดลใจมนุษย์ในสิ่งที่ดีงาม

    หลังจากจบคำสาบานดังกล่าว อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงประกาศสาส์นของพระองค์ว่า แน่นอนผู้ที่ประสพความสำเร็จนั้นคือผู้ที่ขัดเกลาตนเองเท่านั้น ความอัปยศ...... ความขาดทุน...... และความต้อยต่ำจะประสพแก่บุคคลผู้หมกมุ่นในกิเลสและตัณหา ผู้ที่ไม่ยอมขัดเกลา และผู้ที่สะสมสนิมในตน!!!!!

 นี่คือสองโองการที่ถูกสั่งให้อัญเชิญในวันอีด เพราะทั้งสองโองการนี้มีสาส์นอันเดียวกัน  และยังมีสาระอื่น ๆ ไว้สอนใจมนุษย์อีกมากมาย ทั้งยังได้ย้ำเตือนมนุษย์ว่าเดือนรอมฎอนได้ผ่านไปแล้ว จงอย่าให้ความเป็นศิริมงคลแห่งเดือนนี้ได้จากไปอย่างสูญเปล่า เพราะถ้าเราไขว่คว้าเอาความเป็นศิริมงคลนี้ไว้อีก 11 เดือนนั้นต่อไปชีวิตก็จะพบแต่ความศิริมงคลอันจำเริญยิ่งตลอดไป
               
ได้เคยกล่าวเสมอมาว่า เดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งการขัดเกลาจิตวิญญาณ....... เป็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ........ เป็นการรังสรรค์วัฒนธรรม........  เป็นการย้ำเตือนให้มนุษย์ได้ดำเนินชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ในเดือนรอมฎอนอันจำเริญนี้  อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงปรารถนาให้มนุษยชาติได้มีโอกาสขัดเกลาจิตวิญญาณและต้อนรับสาส์นต่างๆ จากพระองค์  พระองค์จึงไม่ทรงอนุญาตให้มีสิ่งอื่นใดมาแผ้วพานในเดือนนี้  มารร้ายจึงถูกล่ามโซ่  มนุษย์จึงควรตระหนักถึงคุณงามความดีตามหลักการอิสลามจากสาส์นอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ย้ำเตือนมาแล้ว

โลกจะประสพความสันติสุขขึ้นได้ต่อเมื่อมนุษย์ผู้ขัดเกลาจิตวิญญาณมาปกครองโลก  สาส์นอิสลามที่พระองค์ทรงส่งถึงจากซูเราะฮฺดังกล่าว แล้วการทรงสาบานถึง 11 สาบาน เพื่อที่จะทรงบอกว่าตลอดชีวิตของมนุษย์ถ้าหาก     ดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วก็ถือว่าพอเพียง
 
แต่ในอีกอุดมคติหนึ่งของผู้ที่หยิ่งยโสผยองกล้าท้าทายกับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ซึ่งปรากฏในอัลกุรอานซูเราะฮฺฎอฮา  โองการที่ 64

     وَقَدْ أَفْلَحَ الْيَوْمَ مَنِ اسْتَعْلَىٰ

alhassanainth, [11.05.21 12:22]
ความว่า  “และแท้จริงในวันนี้ ผู้มีฝีมือเหนือกว่าย่อมได้รับชัยชนะเป็นแน่”  
 
นี่คืออุดมคติของบรรดาฟิรฺอูน......  บรรดากอรูน.......  และบรรดานัมรูด  เป็นอุดมคติหนึ่งซึ่งพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานบอกว่า บรรดาบุคคลเหล่านี้ได้บอกว่าผู้ที่ประสพความสำเร็จคือผู้ที่ยิ่งใหญ่..... ผู้ที่มีอำนาจเหนือคนอื่น.... ผู้มีอำนาจจากทรัพย์สินเงินทอง......  อำนาจทางการทหาร หรืออำนาจใดๆ ที่ไม่ใช่อำนาจแห่งการศรัทธา
 
สองอุดมการณ์ที่จะต้องต่อสู้กันระหว่างอุดมคติของผู้ที่หยิ่งผยอง กับอุดมการณ์ของผู้ที่ศรัทธาที่ อัลลอ(ซ.บ.) ทรงกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ อัลอะลา
         
สาส์นของพระองค์นั้น มนุษย์ไม่ค่อยให้ความสนใจ จึงไม่มีอุดมการณ์ในการดำเนินชีวิตด้วยการขัดเกลาจิตวิญญาณตนเอง อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงบอกว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะผลจากการดำเนินชีวิตด้วยความประมาทเลินเล่อ  หลงใหลได้ปลื้มกับความสุขชั่วยามในดุนยา  กิเลสตัณหาเหล่านี้ได้ครอบงำเขาเสียแล้วลืมไปว่าอาคีเราะฮฺมีความสุขกว่า  ดีกว่า ..... จีรังกว่า...... ยั่งยืนกว่า......  และจะอยู่กับเขาตลอดไป

ผลจากความสุขชั่วยามดังกล่าวนี้  มนุษย์จึงทำความผิดได้ทุกรูปแบบ  ดื้อรั้นที่จะขัดเกลาจิตวิญญาณตัวเอง  ดื้อรั้นที่จะใคร่ครวญพฤติกรรมตนเอง  ดื้อรั้นที่จะพิจารณาการดำเนินชีวิต  กล่าวคือ  ดื้อรั้นต่อโองการที่พระองค์ทรงส่งสาส์นมาให้ต่อมนุษย์
 
สิ่งแปลกปลอมบนดุนยาไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจ  ยศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ  ล้วนแล้วแต่เป็นมายาทั้งสิ้น ขณะที่วิญญาณจะออกจากร่างของเขา  เขาจะต้องจากสิ่งเหล่านี้ไป  กลับไปหาพระองค์ด้วยความว่างเปล่า  พร้อมด้วยการถูกลงทัณฑ์จากพระองค์อย่างเจ็บปวดมหันต์  ด้วยกิเลสตัณหาที่ถูกครอบงำในจิตใจ  ทำให้มนุษย์ลืมตัวไปอย่างน่าเสียดาย  ลืมอาคีเราะฮฺอันเป็นโลกนิรันดร์ทั้งที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.)  ได้ทรงสำทับไว้แล้วว่า พึงระวังพฤติกรรมเหล่านี้  พฤติกรรมแห่งทุนนิยม อำนาจนิยม  และมายานิยมใดๆ พระองค์ได้ทรงกำราบมาหมดสิ้นแล้วในอดีต  ไม่ว่าจะเป็นฟิรฺอูน(ฟาโรห์)ซึ่งมีอำนาจการปกครองอันยิ่งใหญ่แต่อธรรม  กอรูนซึ่งมีอำนาจทุนนิยม  เศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่แต่ฉ้อฉล  และนัมรูดผู้มีอำนาจนิยมแต่กดขี่และรีดนาทาเร้น  เขาเหล่านี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้มนุษย์ได้สำนึกถึงผลกรรมแห่งความโฉดชั่วได้เป็นอย่างดี
            
อดีตกาลพระองค์ได้ทรงยกเรื่องราวของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.) และท่านศาสดามูซา (อ.) ว่าสองศาสดาที่ยิ่งใหญ่นี้ได้พิชิตอำนาจอันอธรรมไม่ว่า ฟิรอูน กอรูน นัมรูด หรือใครก็ตามที่คัดค้านกับสาส์นแห่งพระองค์  ผลลัพธ์ที่ผู้คัดค้านฝ่าฝืนได้รับมีแต่ความพินาศสถานเดียว
 
โลกแห่งความเป็นจริงตามอุดมการณ์แห่งอิสลามอันบริสุทธิ์  จึงต้องเป็นโลกของการขัดเกลาจิตวิญญาณ  โลกแห่งจริยธรรมและศีลธรรม  โลกแห่งการกลับมาปกครองเหมือนกับยุคสมัยของอัมบิยาอฺและนบีต่างๆ  อำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเจ้าแห่งอำนาจจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน....

บทความโดย ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี