ชีวประวัติศาสดาแห่งอิสลาม ตอนที่ 4
ชีวประวัติศาสดาแห่งอิสลาม ตอนที่ 4
วิธีการของพวกบูชารูปปั้นกับท่านมุฮัมมัด
เมื่อบรรดาพวกตั้งภาคีทั้งหลายไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของตนด้วยวิธีการทรมาน และการกลั่นแกล้ง ก็หันมาใช้วิธีการขู่บังคับและการเสนอผลประโยชน์ เนื่องจากบุคลิกภาพของท่านศาสดาประทับใจชนเผ่าต่าง ๆ มากขึ้นทุกวัน พวกเขาพอใจและหันมายอมรับอิสลามมากขึ้น
บรรดาพวกตั้งภาคีทั้งหลาย ตัดสินใจพบท่านอบูฏอลิบลุงเพียงคนเดียวของท่านศาสดา ที่คอยช่วยเหลือ และปกป้องท่านศาสดาตลอดมา พวกเขากล่าวกับอบูฏอลิบว่า โอ้อบูฏอลิบเอ๋ย ท่านนั้นทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิดีกว่าพวกเรามาก หลานชายของท่านมุฮัมมัด เขากล่าวสิ่งที่ไม่มีความเหมาะสมกับเทพเจ้าของพวกเรา ศาสนาของบิดามารดาของพวกเรา เขาถือว่าความเชื่อของพวกเราไม่ถูกต้องและไร้ค่า พวกเราขอร้องให้ท่านไปบอกกับเขา ให้เลิกการเผยแผ่ของเขาเสีย และอย่าพูดจาดูถูกเทพเจ้าของพวกเรา หรือไม่ก็ส่งเขามาให้เรา และท่านก็เลิกปกป้องเขาเสียที
บรรดาพวกตั้งภาคี เมื่อรู้สึกว่าอิสลามกำลังจะเติบโต ชนเผ่าน้อยใหญ่สนใจและยอมรับอิสลามมากขึ้น ขณะที่อิสลามก็มีอิทธิพลครอบคลุมพวกเขา โองการอัล-กุรอานกินใจและมีบทบาทกับพวกเขามากขึ้นทุกวัน บรรดาพวกตั้งภาคีเริ่มรู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาต้องป้องกันอันตรายไม่ให้ลุกลามต่อไป จึงตัดสินใจพบกับอบูฏอลิบผู้มีเกียรติแห่งกุเรช และเป็นผู้นำของบนีฮาชิมอีกครั้งเพื่อยุติปัญหา อบูฏอลิบรับปากพวกเขาว่าจะช่วยเจรจากับมุฮัมมัดให้ แต่ทุกครั้งที่เจรจากับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ท่านศาสดาจะกล่าวอย่างนิ่มนวลกับลุงสุดที่รักว่า โอ้ท่านลุงที่เคารพ หลานขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า หากวางพระอาทิตย์อยู่บนมือขวา และวางพระจันทร์อยู่บนมือซ้าย หลานก็จะไม่ยอมเลิกรา การประกาศเชิญชวนให้ประชาชนมาเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียวเด็ดขาด บนวิถีทางดังกล่าวคือ เผยแผ่อิสลามให้กว้างออกไปตามเป้าหมาย หรือยอมพลีบนแนวทาง
อบูฏอลิบ กล่าวกับหลานรักของตนว่า ลุงขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า จะไม่ยอมเลิกราการปกป้องและคุ้มกันเจ้าอย่างเด็ดขาด เจ้าจงทำหน้าที่ของเจ้าต่อไปให้ถึงที่สุด
ในที่สุดบรรดาพวกยโสโอหังเหล่านั้น ซึ่งคิดเอาเองว่ามุฮัมมัดต้องยอมรับเงื่อนไขแน่นอน เนื่องจากหิวกระหายในทรัพย์สินสฤงคาร จึงได้ส่งข่าวไปว่า พวกเราพร้อมที่จะให้ทุกอย่างแก่มุฮัมมัดไม่ว่าจะเสนอสิ่งใดมาก็ตาม จะเป็นแก้วแหวนเงินทอง อำนาจบารมี หรือสตรีที่สวยงาม แต่มีเงื่อนไขว่ามุฮัมมัดต้องยุติการประกาศเผยแผ่ศาสนาใหม่ และยุติคำพูดไม่ดีกับเทพเจ้าของพวกเรา
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ไม่สนใจต่อคำพูดที่ถ่ายทอดออกมาจากความคิดของพวกเขา ในทางกลับกัน ท่านเชิญชวนให้พวกเขาหันมายอมรับ อัลลอฮฺ พระเจ้าองค์เดียว
บรรดาพวกตั้งภาคี ซึ่งมีความคิดที่คับแคบ ไม่อาจยอมรับสิ่งที่ท่านศาสดานำเสนอ พวกเขาไม่สามารถละทิ้งเทพเจ้าจำนวน ๓๖๐ องค์ และหันมาเคารพภักดีต่อ อัลลอฮฺ (ซบ.) พระเจ้าองค์เดียวได้เด็ดขาด
นับต่อจากนี้ไปอบูละฮับและพวกตั้งภาคีคนอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยกลั่นแกล้งท่านศาสดา และบรรดามุสลิมมาแล้วนับไม่ถ้วน เขากับพรรคพวกได้เริ่มกลั่นแกล้ง และล้อเรียนท่านศาสดากับบรรดาผู้ศรัทธาอีกครั้ง
การยืนหยัดของศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ)
แม้ว่าประชาชนจะกลั่นแกล้งท่านศาสดากับมุสลิมเท่าใดก็ตาม ท่านได้ยืนหยัดต่อสู้กับพวกเขาดุจดังขุนเขา ทุกที่ ทุกเวลา หากมีคนสองสามคนนั่งอยู่ด้วยกันท่านจะสอนความเป็นเอกะของพระเจ้า อัล-กุรอาน และหลักการปฏิบัติแก่พวกเขา ท่านทำให้หัวใจของพวกเขาอ่อนโยนด้วยโองการของพระองค์ และมีจิตใจโน้มเอียงสู่อิสลาม ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า ...
อัลลอฮฺ คือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว พระองค์คือเจ้าของโลกนี้ และโลกหน้า เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราต้องแสดงความเคารพภักดี และเชื่อฟังปฏิบัติตาม อำนาจทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ พวกเราทั้งหลายหลังจากตายไปแล้ว จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเพื่อรอรับการสอบสวน ถ้าเป็นคุณงามความดีก็จะได้รับรางวัลเป็นการตอบแทน แต่ถ้าเป็นความชั่วหรือบาปกรรม ก็จะได้รับการลงโทษ โอ้ประชาชนทั้งหลาย จงออกห่างจากการทำบาป การโกหก การใส่ร้าย และการพูดจาด่าทอเถิด
ชาวกุเรชได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโองการอัล-กุรอาน จนไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงไปหา วะลีด เพื่อให้เขาตัดสินปัญหา และแก้ไขอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของพวกเขา วะลีดหลังจากรับฟังอัล-กุรอานแล้ว ได้กล่าวกับพวกเขาว่า..
วันนี้ฉันได้ยินคำพูดหนึ่งจากมุฮัมมัด ซึ่งไม่ใช่คำพูดของมนุษย์ และญินแน่นอน มีเอกลักษณ์และความไพเราะเฉพาะตัว มีความอ่อนหวาน กิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยดอกผล รากของมันเต็มไปด้วยความจำเริญ เป็นคำพูดที่มีความประเสริฐ ซึ่งฉันไม่คิดว่าจะมีคำพูดใดดีไปกว่านี้อีก
ผู้ตั้งภาคีชาวมักะฮฺ เมื่อได้ยินความหวานชื่น และความดึงดูดใจของพระดำรัสแห่งพระเจ้า ยิ่งทำให้พวกเขาไร้ความสามารถยิ่งขึ้น และมองดูว่าการงานของพวกเขาไร้หนทางลงทุกขณะ สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้คือ การใส่ร้ายพระดำรัสแห่งฟากฟ้าว่าเป็น เวทมนต์คาถา และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้คนมีศรัทธาต่อท่านศาสดา พวกเขาได้หาข้อกล่าวอ้างต่าง ๆ นานา เช่น พวกเขาบอกกับท่านศาสดาว่า ต้องการให้พระเจ้า และมลาอิกะฮฺปรากฏองค์ ต้องเนรมิตปราสาททองคำ หรือเรือกสวนบนน้ำ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตอบพวกเขาว่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรเกินไปกว่าศาสดาของพระเจ้า ถ้าปราศจากคำอนุญาตของพระองค์ ฉันไม่สามารถนำสิ่งมหัศจรรย์ใด ๆ มาได้
อพยพไปสู่เอธิโอเปีย
เมื่ออย่างเข้าปีที่ ๕ ของการแต่งตั้ง จำนวนสาวกของท่านศาสดาเพิ่มเป็น ๘๐ คน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในภาวะบีบคั้น กดดัน และถูกกลั่นแกล้งจากบรรดาผู้ตั้งภาคี ในสมัยนั้นสาวกกลุ่มหนึ่งจึงได้รับอนุญาตจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ให้อพยพไปยังเอธิโอเปีย ซึ่งขณะนั้นยังสงบและมีความปลอดภัย ประกอบกับ นะญาชียฺ กษัตริย์แห่งเอธิโอเปียในสมัยนั้นเป็นคนมีเมตตา นับถือศาสนาคริสต์ บรรดามุสลิมเมื่ออพยพไปถึงยังที่นั้นได้ขอสถานที่พักพิง และประกอบการนมัสการต่อพระผู้เป็นเจ้า แม้ว่าจะเป็นดินแดนที่ไกลโพ้นออกไป แต่สภาพชีวิตของมุสลิมก็ยังไม่สงบ ไม่วายถูกรังแก และถูกกลั่นแกล้งจากผู้ตั้งภาคีชาวมักกะฮฺ ซึ่งพวกเขาต้องการให้นะญชียฺ ส่งตัวมุสลิมที่อพยพกลับคืนมักกะฮฺ และเพื่อเป็นการเรียกร้องความต้องการ พวกเขาได้นำของกำนัลจำนวนมากมายไปฝากกษัตริย์นะญาชียฺ
กษัตริย์นะญาชียฺ กล่าวกับพวกเขาว่า มีสถานที่มากมายบนโลกนี้ แต่พวกเขากับเลือกแผ่นดินของฉันเป็นที่พักพิง ฉะนั้น ฉันต้องพิจารณาก่อนว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงเลือกที่นี้ ฉันต้องการรู้ว่าพวกเขาจะพูดว่าอย่างไร มีเหตุผลและข้อกล่าวอ้างอันใดบ้าง หลังจากนั้นกษัตริย์ได้สั่งให้ พาตัวบรรดามุสลิมที่อพยพมายังท้องพระโรง ต่อหน้าพระพักตร์ของท่าน และต้องการให้พวกเขาอธิบายถึงเหตุผลและเจตนาในการอพยพ พร้อมกับแนะนำศาสดาผู้นำศาสนาใหม่มาประกาศเผยแผ่ ญะอฺฟัร บุตรของอบูฏอลิบ ในฐานะตัวแทนของมุสลิมอพยพได้นำกล่าวว่า
พวกเราเคยเป็นประชาชาติที่โง่เขลาเบาปัญญามาก่อน เคยเคารพสักการะบูชาสิ่งไร้สาระมาก่อน บริโภคซากสัตว์ กระทำความชั่ว ไม่ใส่ใจต่อสิทธิของเพื่อนบ้าน ฉ้อโกง และใช้ชิวิตอย่างไร้จุดหมายไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น ต่อมาพระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานศาสดาลงมาท่ามกลางพวกเรา พวกเรารู้จักท่านในฐานะผู้ซื่อสัตย์ และมีความสัจจริง ท่านเชิญชวนพวกเราไปสู่การเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว ท่านต้องการให้พวกเราเลิกสักการะเทวรูปที่ทำจากหิน และไม้ ให้พวกเราเป็นผู้พูดความจริง รักษาสัญญา รักครอบครัวและเครือญาติ มีความประพฤติที่ดี และหลีกเลี่ยงการกระทำบาป อย่าโกงกินทรัพย์สินเด็กกำพร้า ละเว้นการผิดประเวณี จงดำรงนมาซ ถือศีลอด และบริจาคทาน พวกเราศรัทธาต่อศาสดาองค์นี้ และเชื่อฟังปฏิบัติตามท่าน และเนื่องจากชนเผ่าของเรายอมรับศาสดา และศาสนาที่ท่านเผยแผ่จึงได้รับการต่อต้าน และกดขี่จากพวกกุเรช พวกเขาต้องการให้พวกเราเลิกนับถือศาสนาใหม่ ต้องการให้เรากราบไหว้เทวรูปดังเดิม ประกอบกรรมชั่ว และประพฤติในกามต่อไป เมื่อพวกเราไม่ปฏิบัติตามความคิดของพวกเขา จึงได้รับการกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง พวกเราจึงอพยพมาพึ่งอาศัยท่าน และหวังว่าขณะที่พวกเราอาศัยท่านอยู่นั้น คงจะได้รับความคุ้มครอง และรอดพ้นจากการกดขี่
กษัตริย์นะญาชียฺกล่าวว่า เจ้าจงอ่านโองการที่ศาสดาของเจ้าอ่านให้ข้าฟังซิ
ญะอฺฟัร อ่านโองการแรกของบทมัรยัม สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความรู้สึกของนะญาชียฺ กับเหล่าทหารของเขาเปลี่ยนไป และร้องไห้ นะญาชียฺ ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ กล่าวว่า ขอสาบานด้วยนามของพระเจ้านี่คือคำพูดที่มาจากแหล่งคำพูดเดียวกันกับที่ศาสดาอีซา ได้นำมาสั่งสอน
หลังจากนั้นนะญาชียฺ กล่าวกับผู้ตั้งภาคีชาวมักกะฮฺว่า ฉันจะไม่ส่งมุสลิมที่อพยพมาซึ่งเขาอยู่ในฐานะแขกของฉันแก่พวกเจ้าอย่างเด็ดขาด ซึ่งสร้างความอับอายให้กับพวกเขาอย่างยิ่ง และพวกเขาเดินทางกลับมักกะฮฺทันที
การล้อมกรอบทางเศรษฐกิจ
บรรดาพวกตั้งภาคีเผ่ากุเรชได้กำหนดมาตรการขึ้นเพื่อบีบบังคับมุสลิมให้ลำบากที่สุด พวกเขาสัญญาและลงนามร่วมกันว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปกุเรชจะตัดสัมพันธ์กับมุฮัมมัดและสาวกร่วมขบวนการของเขา พวกเราจะไม่แต่งงาน และซื้อขายกับพวกเขา พวกเราจะร่วมมือกันต่อต้านอิสลามและมุฮัมมัด ข้อตกลงดังกล่าวปิดไว้ที่กะอฺบะฮฺ และพวกกุเรชทำการสาบานร่วมกันว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด อีกด้านหนึ่งอบูฏอลิบ ผู้ซึ่งเป็นลุง เป็นผู้สนับสนุน และคอยปกป้องท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตลอดมา เป็นบุคคลหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเขตปิดล้อมนามว่า ชุอฺบิ อบีฏอลิบ เพื่อต้องการออกห่างจากพวกบูชารูปปั้น บรรดามุสลิมได้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นด้วยความยากลำบาก ต้องอาศัยร่มเงากลางแดดที่ร้อนระอุพักพิงแทนบ้าน พวกเขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความยากลำบาก อีกทั้งต้องคอยป้องกันไม่ให้พวกกุเรชเข้าทำร้ายท่านศาสดา บรรดามุสลิมถูกล้อมกรอบอยู่ ณ ที่นั้นนานถึง ๓ ปี เฉพาะเดือนฮะรอม (เราะญับ มุฮัรรอม ซิลกะอฺดะฮฺ ซิลฮิจญฺ) เท่านั้นที่ท่านศาสดาอนุญาตให้มุสลิมออกมาข้างนอกเพื่อเผยแผ่คำสอน และซี้อข้าวของเครื่องใช้สำรองเอาไว้ แต่อบูละฮับคนใจบาปได้กว้านซื้อสินค้าจนหมด หรือสั่งให้ขายแพงที่สุด เพื่อว่ามุสลิมจะได้ไม่สามารถจัดซื้อได้ ความหิวกระหายได้ล่วงเลยไปถึงขีดสุด แต่ไม่มีมุสลิมคนใดยอมแพ้ พวกเขายังคงยืนหยัดต่อสู้เหมือนเดิม วันหนึ่งวะฮฺยูได้ลงมาแจ้งข่าวแก่ท่านศาสดาว่าหนังสือสัญญาถูกปลวกกินหมดแล้ว ไม่เหลือคำพูดใดนอกจากคำว่า بسمك اللهم" โดยนามของท่านโอ้พระเจ้า ประเด็นนี้ท่านอบูฏอลิบได้แจ้งให้พวกกุเรชทราบ เมื่อพวกเขาไปตรวจสอบก็เป็นจริงตามที่อบูฏอลิบกล่าว ดังนั้น ข้อตกลงในการล้อมกรอบทางเศรษฐกิจเป็นอันจบสิ้น บรรดามุสลิมได้รับอิสรภาพ หลังจากนั้นสองสามเดือนต่อมา ท่านอบูฏอลิบ และท่านหญิงเคาะดิญะฮฺ ภรรยาสุดที่รักของท่านศาสดาก็ต้องมาจากไป การจากไปของทั้งสองสร้างความเสียใจแก่ท่านศาสดาอย่างยิ่ง เพราะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับท่าน หลังจากนั้นพวกตั้งภาคีได้เริ่มกลั่นแกล้งท่านศาสดาและมุสลิมอีกครั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอขอบคุณเว็บไซต์ทีวีชีอะฮ์