ความหมายของเศาะละวาต
ความหมายของการซอละวาต(ประสาทพร)แด่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)
"แท้จริงอัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺ(เทวทูต)ของพระองค์ประสาทพรแก่ศาสดา โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย !พวกเจ้าจงประสาทพรให้เขาและกล่าวทักทายเขาโดยคารวะ"(อัล-กุรอาน 33/56)
วิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการที่จะได้รู้จัก บุคลิกภาพของมหาบุรุษนั้น คือการศึกษาผลงานประพันธ์ของพวกท่าน และรับฟังถ้อยคำของพวกท่าน ดังที่อิหม่ามอะลีได้กล่าวไว้ในหนังสือนะฮฺญุล-บะลาเฆาะฮฺ :
"มนุษย์นั้นซ่อนอยู่เบื้องหลังลิ้นของเขา"
หมายความว่า ด้วยคำพูดของเรานี้เองที่เป็นการแนะนำตัวเองออกไป ไม่ใช่ใบรับรองใดๆ ของเรา
คนในกลุ่มที่แตกต่างกันด้วยหน้าที่การงาน ก็จะใช้สำนวนภาษาที่แตกต่างกันไป กลุ่มนักการเมืองก็มีสำนวนภาษาของตัวเอง เช่นเดียวกับกลุ่มแพทย์, คนขับรถ และอื่นๆ สำนวนภาษาของคนขับรถบรรทุกแตกต่างไปจากของบรรดาศาสตราจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาพูดคุยกัน คุณก็จะสามารถบอกได้เลย จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชำนาญในด้านนี้ของคุณว่าพวกเขาอยู่ในระดับไหน ของสังคม
วันนี้ข้าพเจ้าจะขอนำเสนอถ้อยคำแห่งวิทยปัญญาของท่านอิหม่ามริฎอ(อ.)สักบทหนึ่ง เป็นฮะดีษ(รายงานคำพูด) ที่กล่าวถึงความหมายของการซอละวาต(ประสาทพร) ซึ่งเรากล่าวกันอยู่ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง อย่างไรก็ตาม พวกเราหลายคนอาจจะไม่รู้ถึงความหมายของมันอย่างเพียงพอ
เชคศอดดูก ผู้รู้ที่ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งของเรา ซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 แห่งปีฮิจเราะฮฺ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "อุยูน-อัคบารุล-ริฎอ"(น้ำพุแห่งพจนารถของอิหม่ามริฎอ) ข้าพเจ้าได้อ้างอิงฮะดีษ(รายงานคำพูด) จากหนังสือเล่มนี้
อิมามริฎอ(อ.) กล่าวว่า "โอ้ อัลลอฮฺ! โปรดประสาทพรให้แก่บุคคลผู้หนึ่งซึ่งในนมาซประจำวันได้รับเกียรติด้วยการประสาทพรแก่เขา"
การสลาม(อวยพร) และซอละวาต(ประสาทพร) ให้แก่ท่านศาสดา เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในกุรอาน ในบทที่ 33 โองการที่ 56 ความว่า :
"แท้จริงอัลลอฮฺและมะ ลาอิกะฮฺ(เทวทูต) ของพระองค์ประสาทพรแก่ศาสดา โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าจงประสาทพรให้เขาและกล่าวทักทายเขาโดยคารวะ" (อัล-กุรอาน 33/56)
เท่าที่ข้าพเจ้ารู้ การส่งสลาม(อวยพร) และซอละวาต(ประสาทพร)ให้แก่ศาสดาแห่งอิสลาม เป็นลักษณะพิเศษที่เห็นเด่นชัดประการหนึ่งของศาสดาของเรา ซึ่งศาสดาท่านอื่นๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้รับมาก่อน มุสลิมทั่วโลก นับตั้งแต่สมัยที่โองการข้างต้นได้ถูกประทานลงมา จนกระทั่งถึงวันแห่งการพิพากษา จำเป็นต้องให้การซอละวาต(ประสาทพร) แก่ท่านศาสดาแห่งอิสลาม มุสลิมที่อะซาน(เรียกสู่การนมาซ) และอิกอมะฮฺ(เรียกให้ยืนขึ้นเพื่อนมาซ) วันละห้าเวลา และแม้แต่ในนมาซประจำวันของพวกเขา พวกเขาก็ได้ส่งการซอละวาต(ประสาทพร) ให้แก่ศาสดาแห่งอิสลาม
เรื่องนี้ตรงกับคำสัญญาอันสูงส่งที่ว่า "และเราได้ยกย่องให้แก่เจ้าแล้ว ซึ่งการกล่าวถึงเจ้า"(อัล-กุรอาน 94/4)
มารยาทในการส่งคำประสาทพร
เมื่อคุณอยู่ต่อหน้าบุคคลที่มีเกียรติ์สูง คุณจะใช้สรรพนามชั้นสูง เช่น พระองค์,ท่าน,ดร.,ฯพณฯ ท่าน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อบุคคลผู้นั้นไม่อยู่แล้ว และเราพูดถึงเขาเราอาจไม่สนใจที่จะใช้สรรพนามเหล่านั้น ในมารยาทของอิสลาม สรรพนามอันสูงส่งที่สุดใช้สำหรับอัลลอฮฺ(ซ.บ.) และถัดมาก็ใช้กับผู้บริสุทธิ์ทั้ง 14 ท่าน มุสลิมที่มีความรู้เชื่อว่าพวกเขาอยู่และควรจะอยู่ต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของอัลลอฮฺ และผู้บริสุทธิ์ทั้ง 14 ท่านอยู่เสมอ ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวถึงพระนามชื่อของพระองค์และท่านเหล่านั้นด้วยความเคารพเป็น อย่างสูง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่า อิหม่ามโคมัยนี(ร.ฎ.) เคยกล่าวถึงพระนามของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) โดยไม่มีคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์อยู่ด้วยเลย
การซอละวาต(ประสาทพร) แก่ท่านศาสดาและวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ของท่านจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้เอง
มรรคผลของการซอละวาต(ประสาทพร)
1. เป็นการกระทำที่มีคุณค่ามากที่สุดในตาชั่งของคุณ
2. เป็นการแก้ไขชดเชยความบาป
"ใครก็ตามที่ไม่สามารถแก้ไขชดเชยความบาป ของเขาได้ เขาก็ควรจะกล่าวซอละวาต(ประสาทพร) ให้แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด และอะฮฺลุลบัยต์(วงศ์วาน)ของท่านศาสดา เพราะมันจะทำลายความบาปจนหมดสิ้น"
3. เป็นกุญแจของการตอบรับคำวิงวอน
มีรายงานฮะดีษ(คำพูด) หลายบทที่ระบุว่า เพื่อที่จะให้คำวิงวอนขอของคุณได้รับการตอบรับนั้น คุณจะต้องเริ่มต้นคำวิงวอนด้วยการซอละวาต(ประสาทพร) และจบด้วยการซอละวาต เพราะการซอละวาต(ประสาทพร)นั้น เป็นคำวิงวอนที่ได้รับการตอบรับอย่างแน่นอน และอัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้น คือผู้ทรงเมตตาจนเกินกว่าที่จะตอบรับเฉพาะคำขึ้นต้นและลงท้ายของคำวิงวอนของคุณ แต่ไม่ตอบรับคำวิงวอนขอที่อยู่ระหว่างนั้น
4. การรำลึกถึงท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เท่ากับการรำลึกถึงอัลลอฮ์(ซ.บ)
"ใครก็ตามที่รำลึกถึงอัลลอฮฺ จะได้รับรางวัลตอบแทน 10 ประการ และใครก็ตามที่รำลึกถึงท่านศาสดาจะได้รับรางวัลตอบแทน 10 ประการ เพราะอัลลอฮฺทรงเชื่อมศาสนทูตของพระองค์ไว้กับพระองค์เอง"
จากฮะดีษ(คำรายงาน) ของอิมามริฎอ (อ.) การซอละวาต(ประสาทพร)แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)และลูกหลานของศาสดา เท่ากับการตัสบีฮฺ(การสดุดีความบริสุทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์), ตะฮฺลีล(การสดุดีความเป็นเอกะของพระองค์อัลลอฮ์) และตักบีร(การสดุดีความเกรียงไกรของพระองค์อัลลอฮ์)
5. เป็นคำที่ดีที่สุดในมัสญิดอัล-ฮะรอม(มัสญิดศักดิ์สิทธิ์)
บางคนได้มาหาอิมามศอดิก(อ.)และกล่าวกับท่านว่าเขาได้ไปเยือนมัสญิดศักดิ์สิทธิ์ในนครมักกะฮฺ ในระหว่างที่เขาประกอบพิธีการอยู่นั้น เขาจำบทวิงวอนอื่นๆ ไม่ได้เลยนอกจากการซอละวาต(ประสาทพร) แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด ท่านอิมามได้ตอบแก่เขาว่า ท่านได้จำบทวิงวอนที่ดีที่สุดแล้ว
6. ซอละวาต(ประสาทพร) เป็นการรักษาอาการหลงลืม
เป็นการพิสูจน์ในทางปฏิบัติว่า การซอละวาต(ประสาทพร) จะช่วยรักษาโรคหลงลืมได้
7. นมาซประจำวันจะเป็นโมฆะถ้าไม่มีการซอละวาต(ประสาทพร)
มัรญิอฺ(ผู้วินิจฉัยบทบัญญัติศาสนา)ทั้ง หมดลงความเห็นว่า การซอละวาต(ประสาทพร) และตะชะฮุด(ปฏิญาณตน)อยู่ในกฎข้อบังคับเดียวกัน และในกรณีเจตนาไม่กล่าวซอละวาต การนมาซนั้นถือเป็นโมฆะ นิกายชาฟิอี และฮัมบาลี ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันนี้ในการกล่าวตะชะฮุด(ปฏิญาณตน) เช่นกัน
ซอละวาตในจักรวาล
จักรวาลทั้งปวงขอการประสาทพรให้แก่ท่าน ศาสดา "อัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺ(เทวทูต)ของพระองค์ประสาทพรแก่ศาสดา" นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมท่านศาสดาจึงเป็น "พรสำหรับจักรวาล"
การปฏิบัติตามขั้นตอนแห่งธรรมชาตินี้ ผู้ศรัทธาได้ถูกบัญญัติให้ส่งคำประสาทพรให้แก่ท่านศาสดา
ตามข้อเท็จจริงแล้ว กฎเกณฑ์ทั้งหลายของอิสลามล้วนสอดคล้องกลมกลืนไปกับกฎของธรรมชาติ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้อิสลามได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งธรรมชาติ จักรวาลได้ขอการประสาทพรให้แก่ "พรของโลก" อยู่เป็นนิจสิน ดังนั้น ผู้ศรัทธาจึงถูกบัญญัติให้ทำตามกฎธรรมชาติข้อนี้ด้วยเช่นกัน
ความหมายของการซอละวาต(ประสาทพร)
1. ซอละวาต(ประสาทพร) คือพหูพจน์ของคำว่า ซอลาต ซึ่งมีความหมายว่า "การเรียกร้อง"(ดุอาอฺ)การเรียกร้องที่แท้จริงนั้นก็คือ การที่คนผู้เรียกพยายามที่จะดึงความสนใจจากคนผู้ถูกเรียก ประเภทของการดึงดูความสนใจ ถ้ามันมาจากแหล่งที่สูงกว่าเราเรียกว่า เราะฮฺมัต(พร) และถ้ามันมาจากแหล่งที่ต่ำต้อยกว่าเราเรียกว่า "ดุอาอฺ"(คำวิงวอน)
2. เป็นข้อเท็จจริงในหลักความเชื่อของอิสลามที่ว่า การมีอยู่ของศาสดามุฮัมมัด(ศ.)นั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่สิ่งแรกที่มาจากอัลลอฮฺ หรือกล่าวได้ว่า การมีอยู่ของท่านนั้นอยู่บนยอดสูงสุดของบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ซึ่งหมายความว่า การประสาทพรแห่งการมีชีวิต ซึ่งมีอยู่ในการประสาทพรอื่นๆ ทั้งหลายนั้น มีแก่ท่านศาสดาเป็นคนแรก แล้วจึงไปยังสิ่งอื่นๆ คำวิงวอนของเราต่ออัลลอฮฺจะไม่ไปถึงยังพระองค์นอกจากโดยการผ่านศาสนทูตของ พระองค์ เช่นเดียวกับที่การประสาทพรของอัลลอฮฺก็จะไม่มาถึงยังสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ของพระองค์นอกจากโดยผ่านศาสนทูตของพระองค์
เพราะฉะนั้น การซอละวาต(ประสาทพร)ของอัลลอฮฺที่มีแก่ท่านศาสดา ในเมื่อมันมาจากอัลลอฮฺผู้ทรงนาจ พระองค์ได้ส่งการประสาทพรแก่ศาสนทูตของพระองค์อยู่เป็นเนืองนิตย์ และดังนั้น ท่านศาสดาจึงได้เป็น "เราะฮฺมะตุน ลิล อาละมีน" (พรของจักรวาล)
การซอละวาตของมนุษย์แก่ท่านศาสดา คือการวิงวอนจากอัลลอฮฺให้ส่งการประสาทพรของพระองค์ให้แก่พวกเขาโดยผ่านท่านศาสดา ผู้ซึ่งเป็นเราะฮฺมะตุน ลิล อาละมีน(พรของจักรวาล) นั่นเอง
การซอละวาต(ประสาทพร)ของเทวทูต ดังที่ท่านอิหม่าม(อ.)ได้ระบุไว้ในฮะดีษข้างต้นนั้น คือ "ตัซกียะฮฺ"ตัซกียะฮฺหมายถึงการปลดเปลื้องและขจัดมลทินในที่นี้หมายถึงอะไร?
เทวทูตแต่ละท่านเป็นเสมือนคุณลักษณะอันงด งามอย่างหนึ่งของพระเจ้า ไม่มีเทวทูตท่านใดที่จะเป็นได้เหมือนคุณลักษณะอันสวยงามได้ทั้งหมด ในขณะที่ท่านศาสดาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด มีคุณลักษณะที่งดงามและสูงส่งทุกประการ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ท่านมีความสูงส่งกว่าเทวทูตทั้งหลาย
มาถึงตรงนี้ บรรดาเทวทูตล้วนทำการปลดเปลื้องและขจัดมลทินให้แก่ท่านศาสดาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ท่านเป็นอิสระจากความสามารถใดๆ ของพวกเขา นี่คือความหมายของการที่บรรดาเทวทูตก้มกราบแก่อาดัม ซึ่งหมายถึงบรรดาเทวทูตนั้นเป็นทาสรับใช้ของท่านศาสดาและอะฮฺลุลบัย ต์(วงศ์วาน)ของท่าน
วิธีการกล่าวซอละวาต(ประสาทพร)
สิ่งที่ปรากฏอยู่ในอัล-กุรอานเกี่ยวกับ วิธีการซอละวาต(ประสาทพร)ที่ต้องปฏิบัตินั้น คือการส่งคำประสาทพรให้แก่ท่านศาสดา ไม่มีการกล่าวถึง "อาล"(ครอบครัวอันบริสุทธิ์ของท่าน)
มาถึงตรงนี้ ชีอะฮฺจึงถูกตั้งคำถามว่า ทำไม และด้วยพื้นฐานใด ที่พวกเขาได้เพิ่มคำว่า "อาล"เข้าไปในการซอละวาต(ประสาทพร)?
คำตอบของคำถามนี้อยู่ที่กรณีแวดล้อมที่เกิดขึ้นหลังการประการโองการนี้
นักอรรถธิบายอัล-กุรอานส่วนใหญ่ได้กล่าวว่า เมื่อโองการนี้ถูกประทานลงมานั้น บรรดาสาวกได้ถามท่านศาสดาแห่งอิสลามว่า "โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ เรารู้วิธีการกล่าวสลาม(อวยพร)แก่ท่าน แต่เราจะกล่าวซอละวาต(ประสาทพร) ให้แก่ท่านว่าอย่างไร (ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเขา) ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวตอบว่า
"อัลลอฮุมมะ ซอลลิ อะลา มุฮัมมัด วะอาลิ มุฮัมมัด กะมา ซอลลัยตะ อะลา อิบรอฮีม อินนะกะ ฮามิดุน มะญีด"
นักวิชาการฝ่ายซุนนีหลายท่านได้ลงความเห็น ว่าฮะดีษ(รายงานคำพูด)นี้มีความถูกต้องแม่นยำ
ยิ่งไปกว่านั้น มีสายรายงานฮะดีษ(คำพูด) ที่ท่านศาสดาได้เตือนประชาชนไม่ให้ส่งการซอละวาต(ประสาทพร)ที่ไม่ครบบริบูรณ์ให้แก่ท่าน เมื่อมีผู้ถามว่า การซอละวาต(ประสาทพร)ที่ไม่ครบบริบูรณ์หมายถึงอะไร ท่านตอบว่า : คือการซอละวาตให้แก่ฉันโดยไม่รวม "อาลิฮ์"(อะฮ์ลุลบัยต์) ของฉันด้วย
เป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งที่จะกล่าวว่า ท่านมุสลิมได้เปิดหัวข้อในซอฮิฮฺ (บันทึกสายรายงานฮะดีษที่ถูกต้อง)ของท่านในหัวข้อเรื่อง "บทว่าด้วยการซอลาวาต (ให้พร)แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด"
ท่านได้กล่าวถึงฮะดีษ(รายงานคำพูด)เพียงสองบทในหัวข้อนี้ที่เกี่ยวกับวิธีการซอละวาต(ประสาทพร)ที่ควรปฏิบัติ ทั้งสองฮะดีษระบุว่าให้กล่าว "มุฮัมมัดและอาลิมุฮัมมัด" อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าท่านมุสลิมเอง หรือบางทีอาจเป็นผู้ตีพิมพ์ ที่ได้ละเลยข้อความภายในหัวข้อนี้ เพราะบนส่วนบนสุดของหัวข้อนี้ ที่มีชื่อของท่านศาสดาระบุอยู่นั้น มีประโยคที่พิมพ์ไว้ว่า "ซอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม" คำว่า "อาลิ" ถูกตัดออกไป ซึ่งเป็นเรื่องแปลกแต่จริง
บทความโดย : เชคมันซูร ลีฆออี
แปล/เรียบเรียงโดย : เญาฮาเราะห์
ขอขอบคุณเว็บไซต์ อะห์ลุลบัยต์อคาเดมี (ประเทศไทย)