เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

อัยยามุลฟาฏิมิยะฮ์ รำลึกถึงประมุขสตรีแห่งสากลจักรวาล [ตอนที่ 7]

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5


อัยยามุลฟาฏิมิยะฮ์ รำลึกถึงประมุขสตรีแห่งสากลจักรวาล [ตอนที่ 7]


บางส่วนจากการบรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามฯ ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
________________
[เนื้อหาต่อจากตอนที่ 6]
••• เมื่อมีคำสั่งหรือบริบทที่ท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)กำลังจะสร้างสังคมแห่งการบริจาค
โดยเฉพาะเรื่อง “การบริจาค” ท่านหญิงฟาฏีมะฮ์(อ)มีบทบาทเป็นอย่างมาก ในการเป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบของการบริจาค
แน่นอน การบริจาคในอะห์กาม คือ การที่เรามีอะไร ก็ช่วยเหลือกันไปตามที่เรามี บางคนก็ให้มาก นั้นแค่อะห์กาม ซึ่งสิ่งนี้ บางคนอะห์กามก็ยังไปไม่ถึง(คือไม่ค่อยบริจาค
เมื่อพูดถึงเรื่องบริจาค พวกเราจะหน้าซีดใจสั่น ตกใจ มือจะสั่น เหงื่อจะออก ถ้าบริจาคน้อยๆไม่เป็นไร แต่เมื่อพูดถึงการบริจาคอย่างแท้จริง ในบริบทของอะห์กาม บางคนยังทำไม่ได้ แล้วเราจะรู้จักท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ) ได้อย่างไร ?
การมีมะรีฟัต เมื่อถึงบริบทแห่งการบริจาค
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ) บริจาค จนกระทั่งท่านนบี(ศ็อลฯ) บอกว่า ‘ได้แล้ว พอแล้วลูก มากไปแล้ว’ ชี้ให้เห็นว่า เมื่ออยากจะบริจาค จะต้องไม่ยึดติดต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้น
ดังนั้น เรื่องราวแห่งการบริจาคชุดแต่งงานในวันแต่งงาน ในวันส่งตัว วันที่สตรีทั้งหมดตื่นเต้นที่สุด อยากจะใส่เสื้อที่สวยที่สุด อยากจะสวยที่สุด ในวันแต่งงาน แต่ทว่าความเป็นที่สุดของดุนยา ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)กลับปฏิเสธความเป็นที่สุดของดุนยาทั้งหมด
ในวันที่มวลมนุษย์ โดยเฉพาะสตรีต้องการที่จะเป็นที่สุดในวันนั้น เรื่องราวการบริจาคของท่านหญิง(อ.). เกิดขึ้น เพื่อจะสอนว่า ความเป็นที่สุดของดุนยานั้น ไม่ใช่หนทางไปสู่การมีมะรีฟัต ซึ่งตรงนี้อาจจะอยู่ในบริบทของ “อัคลาก”ที่สูงขึ้นมา แต่การที่หิวแล้วให้คนอื่นอิ่ม อันนี้อยู่ในบริบทของ “อิรฟาน”
** การบริจาคในบริบทของอิรฟาน
การที่ตัวเองหิว และเอาอาหารของตัวเองให้ผู้อื่น อันนั้นเราทำไม่ได้ แค่ให้ได้รับฟัง ได้เข้าใจว่า ที่มาของความสูงส่งของสตรีผู้นี้มาจากเรื่องใด และลักษณะนี้ การเกิดเป็นลูกศาสดายังไม่พอ ยังไม่พอ ขอยืนยันว่ายังไม่พอ เพราะลูกศาสดาในอดีตจำนวนมาก ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์พร้อมกับศาสดา และทุกอย่าง ทุกเรื่อง เราไม่สามารถที่จะยกตัวอย่างได้ทั้งหมด
สูงสุดของการบริจาค คือ การบริจาคที่ให้ผู้อื่นได้อิ่มและตัวเองหิว ซึ่งถ้าไม่มีแบบอย่าง ถ้าไม่มีคนทำให้ดู ยากที่มนุษย์จะยอมรับว่าสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ จริงๆแล้วมันไม่สามารถที่จะเป็นอะห์กามได้
ถ้าหากศาสนาบอกว่า ถ้าคนอื่นหิว ในขณะเดียวกัน เรามีของกิน แล้วเราอย่ากิน สมมุติบังคับว่า วาญิบให้บริจาคให้คนอื่น รับรองว่า ไม่มีมุสลิมเหลือให้เห็น แม้สักคนเดียวในโลกนี้
นั่นคือ เหตุผลที่ว่าศาสนาจะต้องวางขั้นตอนของมนุษย์ ในบริบทของอะห์กาม อัคลาก จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดก็คือ ขั้นของอิรฟาน
‘อิรฟาน’ หมายถึง การมีมะรีฟัตที่สูงขึ้นไปกว่านั้น
ในการบริจาคที่มีมะรีฟัต ก็คือ พร้อมที่จะอดเพื่อที่จะให้คนอื่นนั้นอิ่ม ซึ่งเรื่องราวของท่านหญิงได้รับรองในสิ่งนี้
อัลลอฮ์(ซบ.)ต้องการให้สิ่งนี้ปรากฏด้วยการกระทำของท่านหญิง(อ.) จึงประทานอยู่ในพระมหาคัมภีร์อัลกรุอ่านจำนวนมากพอสมควร ที่ชี้ให้เห็นถึงการกระทำของท่านหญิง(อ.)ทุกอย่าง เช่น
– เมื่อดำรงตำแหน่งภรรยา ก็เป็นภรรยาที่สูงสุด เป็นภรรยาที่มี “ มะรีฟัต”
– เมื่ออยู่ในบริบทของการเป็นบุตรสาวของศาสดา ก็ทำหน้าที่การเป็นบุตรสาวของศาสดาอย่างเต็มที่
– เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งของการเป็นภรรยา ก็เป็นภรรยาที่ทำหน้าที่ของการเป็นภรรยาอย่างแท้จริง จึงเป็นที่กล่าวกันว่า เมื่อท่านอิมามอาลี(อ)เข้ามาในบ้าน ต้องทักทายท่านหญิง(อ.) หลังจากสลาม ด้วยคำว่า….
‎ “بابي انت وامي” ขอให้พ่อและแม่ของฉันนั้นได้พลีเพื่อเจ้าด้วยเถิด โอ้ท่านหญิงฟาฏีมะฮ์ (อ) !!!
สตรีหนึ่ง ซึ่งไม่เคยหวังดุนยาใดๆจากสามี ดำเนินชีวิตโดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากสามี บริบทเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และบริบทนี้ไม่ใช่สอนให้ผู้ชายเอาเปรียบผู้หญิง เรื่องผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบก็มีบทลงโทษมากแต่ว่าเนื้อหามันไม่ใช่เรื่องของคํ่าคืนนี้
สตรีท่านนี้ไปถึงขั้นที่ว่า ที่บ้านไม่มีอาหารกินถึง 2- 3 วัน ก็ไม่ยอมเปิดเผยให้กับสามีได้รับรู้ เราลองไปหาดูว่าในโลกจะมีผู้หญิงแบบนี้ไหม?
อินชาอัลลอฮ์… ในยุคอิมามมะฮ์ดี(อ)จะมีสตรีแบบนี้อยู่เป็นจำนวนมาก
➡️ นั่นคือ เหตุผลที่อิมามมะฮ์ดี(อ)จะยึดครองโลกได้ยืนยันว่า ในยุคของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ)นั้นจะมีสตรีมุสลิมเป็นอย่างท่านหญิงฟาฏีมะฮ์(อ) เป็นอย่างท่านหญิงซัยหนับ(อ)จำนวนมาก
แบบอย่างของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)แบบอย่างท่านหญิงซัยหนับ(อ) จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ)นั้น สามารถที่จะยึดโลกได้
เมื่อสามีออกไปทำสงคราม ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)คือ บุคคลที่แต่งตัวชุดนักรบให้กับท่านอิมามอาลี(อ)
ท่านอิมามอาลี(อ)เพียงแค่ยื่นมือมา ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)ใส่เสื้อเกราะให้ ท่านหญิงผูกเอวให้ เพราะเสื้อเกราะอาหรับนั้น เจ้าตัวไม่สามารถที่จะใส่เองได้ คือ ยื่นมือออก ใส่เสื้อเกราะข้างหน้า ใส่เสื้อเกราะข้างหลัง ผูกเชือกทางด้านข้าง รัดเข็มขัด ใส่ดาบ แล้วก็บิสมิลละฮ์ บอกให้สามีนั้นออกไปยังหนทางของอัลลอฮ(ซบ.) ยุคนี้อาจจะมีบ้างแต่น้อย มีสตรีจำนวนมาก พอรู้ว่าสามีต้องออกไปรบแบบนี้ ใจสั่น นอนไม่หลับ
การเป็นสตรีที่สมบูรณ์ที่อิสลามต้องการนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)ได้แสดงให้เห็นในทุกๆบริบท เมื่อสามีกลับมาพร้อมด้วยบาดแผล ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)ทำหน้าที่พยาบาล เย็บแผล จากรอยที่ถูกฟัน รอยคมดาบต่างๆที่มีอยู่บนร่างกายของท่านอิมามอาลี(อ) ท่านหญิงเปิดโอกาสให้สามีนั้นได้รับใช้อิสลามอย่างเต็มที่ จนกระทั่งที่บ้านไม่มีข้าว ไม่มีอะไรกิน
เหตุการณ์ในชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)ในฐานะภรรยาของท่านอิมามอาลี(อ) จนกระทั่งวันหนึ่งท่านอิมามอาลี(อ) กลับจากเสร็จภารกิจ ก็มาขออาหาร ในวันที่ 3 เมื่อขออาหาร ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) ก็ไม่มีอาหารให้สามีรับประทาน อาจจะทำหน้าที่ภรรยาที่ขาดตกบกพร่อง จึงจำเป็นที่ต้องบอกความจริงว่า…
“จริงๆแล้ว ที่บ้านเรานั้นไม่มีอาหารมา 2 วันแล้ว”
ท่านอิมามอาลี(อ)ตกใจเป็นอย่างมาก
‎ (یا بنت رسول الله )“ยาบินตารอซูลิลละฮ”
“โอ้บุตรีของศาสดา ทำไมเธอปล่อยให้บ้านอยู่ในสภาพนี้ ทำไมเธอไม่บอกให้ฉันรู้”
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) ตอบว่า …
‎(اننی استحی بالله)“อินนานี อัสตาฮี บิลละฮ” …
“แท้จริง !!! ฉันอายต่ออัลลอฮ(ซบ.)ที่จะบอกถึงความจำเป็นของฉันให้กับท่าน ในขณะที่ท่านนั้น กำลังรับใช้พระองค์อยู่”
ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้มีหลายริวายัต และไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว บางครั้งท่านรอซูลุลลอฮ(ศ็อลฯ)ได้มาขออาหารที่บ้านท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)…
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)ก็บอกว่าที่บ้านนี้ไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเช่นกัน
นี่คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)
ท่าน คือ สตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ตามศาสนาอย่างสมบูรณ์ ถึงขั้นมีมะรีฟัต แต่การจะเอาหลักตามอะห์กาม สตรีทุกคนมีสิทธิที่จะเรียกร้องความรับผิดชอบ การเลี้ยงดูจากสามี สามีจะต้องดูแล แต่สามีคนหนึ่งถ้าไม่ปฏิบัติ ไม่มอบสิทธิเหล่านี้ให้กับภรรยาก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก บางริวายัตทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า
ผู้ชายไม่มีสิทธิจะไปบอกว่า ผู้หญิงต้องเป็นแบบท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) เพราะท่านหญิงยังไม่เคยขออาหาร
แบบนี้นั้นไมใช่คำตอบ ผู้ชายไม่มีสิทธิทำอย่างนี้ !!! อิสลามนั้นไม่มีในลักษณะนั้น ต้องย้ำ เผื่อว่าใครเอาไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด แต่ถ้าเกิดมาจากจิตวิญญาณ ถ้าเกิดมาจากจิตใจของนางเองนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นี่คือ ที่มาของคำสรรเสริญ ทั้งจากบิดา และสามี และที่มาของคำสรรเสริญที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ให้แก่สตรี ผู้ซึ่งสร้างแบบฉบับผู้นี้•••
[โปรดติดตามตอนต่อไป]

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม