เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

การเสียสละของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ(ซ)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

การเสียสละของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ(ซ)

ท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ ซะฮ์รอ(ซ) สตรีที่ควรค่าต่อการเชิดชูและยกย่อง

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวเกี่ยวกับสภานภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) เอาไว้ว่า
"โอ้ฟาฏิมะฮ์ เธอนั้นคือนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์"
(ศอเฮียะฮ์ บุคอรีย์ ชัรฮุ อัลกัรมานีย์ เล่ม 15 หน้าที่ 4, มุสนัด อิมาม อะฮ์มัด เล่มที่ 3 หน้า 498 และเล่ม 6 หน้าที่ 542)

และท่านยังกล่าวอีกว่า "เธอคือนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสากลโลก"
(มุสนัด อะบีดาวูด หน้าที่ 196 ฮะดีษที่ 1373, มุสตัดร๊อก ฮากิม เล่ม 3 หน้าที่ 156)

การเสียสละ   หมายถึง   การยอมเสียผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผู้อื่น   หรือสังคมโดยรวมได้รับประโยชน์จาก การกระทำของตน
คำว่า “อีษาร” (การเสียสละ) หมายถึง การให้ความสำคัญต่อผู้อื่นก่อนตนเองหรือมากกว่าตนเอง ไม่ว่าจะในเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง วัตถุ หรือจะเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตก็ตาม นับได้ว่าเป็นคุณลักษณะอันสูงส่งประการหนึ่งทางด้านจริยธรรม ซึ่งได้รับการยกย่องสรรเสริญไว้อย่างมากมายในคัมภีร์อัลกุรอาน และในคำรายงาน (ริวายะฮ์) ทั้งหลาย และคุณลักษณะดังกล่าวนี้เกิดจากการที่มนุษย์ได้ขจัดความเห็นแก่ตัวให้หมดสิ้นไปจากตนเอง
การหยิบยื่นสิ่งที่ตนเองมีความต้องการและมีความรักความผูกพันต่อมันเพื่อความอยู่รอดของผู้อื่นนั้นคือ “การเสียสละ” (อีษาร) แต่จุดสูงสุดของการเสียสละ คือการเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต และ “ผู้เสียสละ” ก็คือบุคคลที่มีความพร้อมที่จะพลีเลือดเนื้อและชีวิตของตนเองเพื่อความพึงพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า ในหนทางแห่งการปกป้องหลักคำสอนของศาสนา และเพื่อความเป็นอยู่ที่สงบสุขและดีกว่าสำหรับเพื่อนมนุษย์

การบริจาคทานย่อมมีเงื่อนไขของมันที่จำต้องคำนึงอยู่เสมอ ซึ่งมีเงื่อนไขที่สำคัญดังนี้

1   เลือกสรรในสิ่งที่ดีที่สุด หาใช่สิ่งที่ไร้ค่า
อัลกุรอานกล่าวว่า
ﻳﺎ ﺃَﻳُّﻬَﺎ ﺍﻟَّﺬِﻳﻦَ ﺁﻣَﻨُﻮﺍ ﺃَﻧْﻔِﻘُﻮﺍ ﻣِﻦْ ﻃَﻴِّﺒﺎﺕِ ﻣﺎ ﻛَﺴَﺒْﺘُﻢْ ﻭَ ﻣِﻤَّﺎ ﺃَﺧْﺮَﺟْﻨﺎ ﻟَﻜُﻢْ ﻣِﻦَ ﺍﻟْﺄَﺭْﺽِ ﻭَ ﻟﺎ ﺗَﻴَﻤّﻤُﻮﺍ ﺍﻟْﺨَﺒِﻴﺚَ ﻣِﻨْﻪُ ﺗُﻨْﻔِﻘُﻮﻥَ ﻭَ ﻟَﺴْﺘُﻢْ ﺑِﺁﺧِﺬِﻳﻪِ ﺇِﻟَّﺎ ﺃَﻥْ ﺗُﻐْﻤِﻀُﻮﺍ ﻓِﻴﻪِ ﻭَ ﺍﻋْﻠَﻤُﻮﺍ ﺃَﻥَّ ﺍﻟﻠَّﻪَ ﻏَﻨِﻰٌّ ﺣَﻤِﻴﺪٌ
ความว่า
 “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงบริจาคส่วนหนึ่งจากบรรดาสิ่งดี ๆ ของสิ่งที่พวกเจ้าได้แสวงหาไว้ และจากสิ่งที่เราได้ให้ออกมาจากดิน สำหรับพวกเจ้า และพวกเจ้าอย่ามุ่งเอาสิ่งที่เลวจากมันมาบริจาค ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าเองก็มิใช่จะเป็นผุ้รับมันไว้ นอกจากว่าพวกเจ้าจะหลับตาในการรับมันเท่านั้น และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงมั่งมี ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ”
 (ซูเราะฮ์ อัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 267 )

2   ควรเป็นสิ่งที่ต้องการของมนุษย์
อัลกุรอานกล่าวว่า
وَيُؤْثِرُونَ عَلَى أَنْفُسِهِمْ وَلَوْ كَانَ بِهِمْ خَصَاصَةٌ
“และพวกเขาให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นเหนือกว่าตัวของพวกเขาเอง แม้นว่าพวกเขาจะประสบกับความขัดสนสักปานใดก็ตาม”    
(ซูเราะฮ์ ฮัชร์ โองการที่ 9  )

วันหนึ่งมีชาวอาหรับชนบทผู้ยากจนคนหนึ่งได้มาพบท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ็อลฯ)ในสภาพที่ทุกข์ทรมานจากความหิว เขาได้ร้องทุกข์โอดครวญต่อท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ็อลฯ)เกี่ยวกับความหิวของตน ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้ส่งคนไปดูตามบ้านภรรยาทั้งหลายของท่านเพื่อให้พวกนางจัดเตรียมอาหารเลี้ยงแขก  แต่ทุกคนกล่าวเหมือนกันว่า : เราไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากน้ำ ท่านศาสดาจึงได้ปฏิบัติเช่นเคยตามปกติโดยขอความช่วยเหลือจากมุสลิมคนอื่น ๆ ว่าใครที่จะรับเอาบุรุษผู้หิวโหยคนนี้เป็นแขกของตน และก็เป็นเหมือนเช่นเคยที่ท่านอะลี(อ.)ได้ตอบรับสิ่งนั้น และได้พาชาวอาหรับผู้นั้นไปยังบ้านของตน และขอให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)ช่วยจัดการในเรื่องนี้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อัซซะฮ์รอ(อ.)กล่าวว่า :
ما عندنا إلا قوت الصبية ولكنا نؤثر به ضيفنا             
 “เราไม่มีอาหารอะไรมากนอกจากปริมาณอาหารของเด็กคนหนึ่ง แต่เราก็พร้อมที่จะเสียสละให้สิ่งนั้นแก่แขกของเรา (และเรายอมที่ตนเองจะอยู่ในความหิว)”
ท่านอิมามอะลี(อ.)จึงกล่าวกับท่านหญิงว่า :
نومي الصبية وأنا أطفئ للضيف السراج
“เธอจงทำให้เด็ก ๆ หลับ ส่วนฉันจะดับไฟรับรองแขก”

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)ได้ปฏิบัติตามที่ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อ.)ต้องการ คือทำ(วิธีใดก็ได้)ให้ลูก ๆ ของตนหลับโดยไม่ต้องรับประทานอาหาร  และตนเองก็จะต้องอยู่ในสภาพของผู้ที่มีความหิวเช่นกัน และ(เพื่ออำพรางมิให้แขกได้ล่วงรู้ถึงสิ่งนั้น)ท่านได้ดับไฟในบ้าน และรับรองแขกในความมืดของกลางคืนและทำให้เขารับประทานอาหารจนอิ่ม ในขณะเดียวกันก็แสดงตนประหนึ่งว่าร่วมรับประทานอาหารกับแขกด้วยเพื่อไม่ให้แขกรู้สึกไม่สบายใจ


ช่วงเวลาค่ำคืนได้ผ่านไปและช่วงเวลาเช้าตรู่ท่านได้ยังมัสยิดและได้พบกับท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ท่านศาสดาเมื่อได้มองเห็นท่านอะลี(อ.)ท่านก็ร้องไห้ และกล่าวว่า : เมื่อคืนมวลมะลาอิกะฮ์ของพระผู้เป็นเจ้าต่างพิศวงต่อการรับรองแขกของพวกเจ้า และในเหตุการณ์นี้อายะฮ์ที่ 9 ของซูเราะฮ์อัลฮัชร์ ก็ได้ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับพวกเจ้าว่า:
وَيُؤْثِرُونَ عَلَى أَنْفُسِهِمْ وَلَوْ كَانَ بِهِمْ خَصَاصَةٌ
“และพวกเขาให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นเหนือกว่าตัวของพวกเขาเอง แม้นว่าพวกเขาจะประสบกับความขัดสนสักปานใดก็ตาม”    
ตัฟซีร มัจญ์มะอุล บะยาน, เล่ม 9, หน้า 260.

ประเด็นดังกล่าวนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) เป็นผู้ที่มีความเสียสละเพียงใดและมีส่วนสำคัญเพียงใดในการส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งการเสียสละให้แก่สามีและลูก ๆ ของท่าน

3  จงบริจาคให้กับผู้ที่มีความจำเป็นจริงๆ
ﻟِﻠْﻔُﻘَﺮﺍءِ ﺍﻟَّﺬِﻳﻦَ ﺃُﺣْﺼِﺮُﻭﺍ ﻓِﻰ ﺳَﺒِﻴﻞِ ﺍﻟﻠَّﻪ
ความว่า
 “คือให้บริจาคทานแก่บรรดาผู้ที่ยากจนที่ถูกจำกัดตัวให้อยู่ในทางของอัลลอฮ์”
(ซูเราะฮ์ บะกอเราะฮ์ โองการที่ 273  )

รายงานจากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ อันศอรี (รฏ) กล่าวว่า วันหนึ่ง ณ นครมะดีนะห์ หลังจากที่เราได้ทำการนมาซร่วมกับท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ได้นั่งอยู่ ณ มุมหนึ่งของมัสยิด โดยที่มีบรรดามุสลิมีน และ บรรดาศอฮาบะห์ของท่านนั่งอยู่รอบ ๆ ท่าน และท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ได้ตอบปัญหาศาสนากับคนเหล่านั่น ทันใดนั้นเองท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ก็ ได้ทำการต้อนรับชายชราคนหนึ่งจากมุฮาญิรีนซึ่งมุ่งตรงมายังท่าน(ศ็อลฯ) ในสภาพที่ความหิวกระหาย และความชราภาพแทบที่จะคร่าชีวิตของชายคนนั้นไป
และท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ก็ได้ถาม ชายชราคนนั้นถึงความเป็นอยู่ของเขา
ชายชราตอบว่า "โอ้ ผู้เป็นศาสดาของพระเจ้า ฉันหิวเหลือเกิน ได้โปรดจัดอาหารให้ฉันรับประทาน และร่างกายของฉันนั้นเปลือยเปล่า โดยปราศจากเสื้อผ้า ได้โปรดหามันมาสวมให้กับฉันด้วยเถิด "
ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า " ฉันไม่มีสิ่งใดที่จะมอบให้กับท่านเลย " แต่ทว่า ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้แนะนำชายชราคนนั้นในสิ่งที่ดี ซึ่งก็เหมือนกับว่า ท่านได้เป็นผู้กระทำมันเอง และท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า " จงไปยังบ้านของผู้ซึ่งรักอัลลอฮ์(ซบ.)และรอซูล(ศ็อลฯ)ของพระองค์ และพระองค์และรอซูล(ศ็อลฯ)ก็รักเขา เจ้าจงไปยังบ้านของฟาฏิมะฮ์เถิด
โอ้ บิลาล จงลุกขี้นและไปกับเขา พาชายชราคนนั้นไปบ้านของฟาฏิมะฮ์ (ซ)”

ซึ่งบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)นั้นติดกับบ้านของรอซูล(ศ็อลฯ)
และชายชราคนนั้นก็ได้ออกไปพร้อมกับท่านบิลาลและเมื่อทั้งสองหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ชายชราคนนั้นก็ได้ตะโกนเรียกท่านหญิง(อ) ด้วยเสียงอันดังว่า

“ขอความสันติพึงประสบแด่พวกท่าน โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ของตำแหน่งนบี สถานที่ผลัดเวรของมะลาอิกะฮ์ สถานที่เสด็จลงของญิบรออีล วิญญาณอันซื่อสัตย์ ต่อการประทานมาจากพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮฺรอ(ซ) ได้กล่าวถามว่า " ท่านเป็นใคร?”
ชายชราคนนั้นก็กล่าวตอบว่า " ฉันคือ ชายชราจากมุฮาญิรีน ผู้มาจากหนทางอันยาวไกล และฉันได้พบปะกับผู้เป็นบิดาของท่านแล้ว ผู้ซึ่งเป็นนายของมนุษยชาติ โอ้บุตรีของ มุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ฉันมีร่างกายที่ไร้อาภรณ์ และหิวกระหายอย่างมาก ได้โปรดช่วยเหลือข้าด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงเมตตาต่อท่าน "
และในช่วงเวลานั้น ทั้งอิมามอะลีและท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)ไม่มีอะไรเลย นอกจากอาหารที่พอเพียงรับประทานแค่ 3 วัน
ดังนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)จึงไปหยิบหนังแกะที่ได้ผ่านการฟอกมาอย่างดี ซึ่งท่านฮะซัน(อ) และท่านฮุเซน(อ) ไว้ใช้เป็นผ้าห่ม มามอบให้กับชายชราคนนั้น พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า

" จงเอาสิ่งนี้ไป โอ้ผู้เคาะประตู หวังว่ามันคงมีประโยชน์กับท่าน"

ชายชราอาหรับได้กล่าวว่า " โอ้บุตรีของมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ฉันร้องเรียนท่านด้วยความหิวกระหาย แต่ไฉน ท่านจึงเอาหนังแกะมาให้ฉันเล่า แล้วฉันจะเอามันไปทำอะไร ทั้งที่ตอนนี้ฉันมีแต่ความหิวและยากจนแร้นแค้น"

และเมื่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ) ได้ยินคำกล่าวของชายคนนั้น ท่านหญิง(ซ) ได้ถอดสร้อยจากคอของนางซึ่งบุตรีของลุงฮัมซะห์ หัวหน้าของบรรดาชะฮีดได้เป็นผู้มอบให้กับนาง เมื่อท่านหญิง(ซ) ถอดมันออกแล้วท่านได้มอบให้แก่ชายชราอาหรับคนนั้นและกล่าวกับเขาว่า
" จงเอาสิ่งนี้ไปและจงนำไปขาย ฉันหวังว่าอัลลอฮฺ (ซบ.)จะทรงมอบสิ่งดี ๆ จากสร้อยเส้นนี้ให้กับท่าน "

ชายชราคนนั้นได้นำสร้อยนั้นมา และได้เข้าไปยังมัสยิดอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะบอกกล่าวกับท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ซึ่งท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้นั่งอยู่ท่ามกลางหมู่ศอฮาบะฮ์ของท่าน(ศ็อลฯ)
และชายชราก็กล่าวว่า " โอ้รอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลฯ) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ได้มอบสร้อยเส้นนี้ให้กับฉันและนางกล่าวว่า “จงขายมัน"

ท่านอัมมาร บิน ยาซีร(รฏ) ได้ยืนขึ้น พร้อมกับกล่าวถามท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ว่า
" โอ้รอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) ท่านจะอนุญาตให้ฉันซื้อสร้อยเส้นนี้ไหม "

alhassanainth, [12/21/2021 12:59 PM]
ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า "ฉันอนุญาตให้ท่านซื้อ"

อัมมารได้ถามชายชราคนนั้นว่า "สร้อยเส้นนี้ราคาเท่าไหร่ ?"

ชายชราคนนั้น ก็ตอบว่า " ราคาของมันเพียงแค่ให้ฉันได้อิ่มด้วยอาหารประเภทแป้งและเนื้อ และมีผ้าสวมใส่จากเยเมนเพื่อปกปิดอวัยวะพึงสงวนของฉัน และได้นมาซต่อพระเจ้าของฉัน และมีเงินจำนวนหนึ่งที่เพียงพอสำหรับการเดินทางกลับไปยังครอบครัวของฉัน"

อัมมาร กล่าวว่า " สำหรับท่านจะได้รับ 20 ดีนาร 200 ดิรฮัม และจะได้รับผ้าจากเยเมน และม้าของฉันจะส่งท่านยังครอบครัวของท่าน และแป้ง และเนื้อ ตามที่ท่านขอ "

ชายชรากล่าวว่า " ท่านช่างเป็นผู้ที่เอื้อเฟื้อเหลือเกิน โอ้รอซูลลุลอฮฺ(ศ็อลฯ) ฉันได้รับในสิ่งที่ทำให้เพียงพอแล้วชีวิตของบิดา มารดาของข้าขอพลีแด่ท่าน "

ท่านรอซูล (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า " มันเป็นคุณงามความดีของฟาฏิมะฮ์ จงขอดุอาให้แก่นางเถิด "

ชายชราก็ได้ขอดุอาให้แก่ท่านหญิง (ซ) ว่า
“โอ้อัลลอฮฺ (ซบ.) พระองค์ คือ พระเจ้า พระเจ้าของเรา ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เราจะเคารพบูชาและภักดีนอกจากพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงประทานปัจจัยให้กับพวกเราจากทุกสารทิศ โอ้อัลลอฮฺ(ซบ) โปรดทรงประทานแก่ฟาฏิมะฮ์ซึ่งความโปรดปรานที่ไม่เคยมีสายตาใดเคยเห็นมันและไม่มีหูใดเคยได้สดับมาก่อน”

ท่านรอซูล (ศ็อลฯ) ก็กล่าวอามีน และหันกลับมายัง สหายของท่านอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับกล่าวว่า
"แท้จริง อัลลอฮฺ (ซบ.) นั้น ได้ประทานให้แก่ฟาฏิมะฮ์แล้วในดุนยา คือ ฉัน ผู้เป็นบิดาของนางและไม่มีชายใดในโลกาทั้งหลายที่จะเหมือนฉันและอะลีสามีของนาง และหากไม่มีอะลีก็จะไม่มีฟาฏิมะฮ์และทรงมอบฮะซันและฮุเซนแก่นาง ซึ่งไม่มีชายหนุ่มใดในสากลโลกที่จะเสมอเหมือนเขาทั้งสอง ผู้เป็นหัวหน้าของชายหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์ และพระองค์ทรงแต่งตั้งให้บรรดามลาอิกะฮ์จำนวนหนึ่ง เฝ้าอารักขานางจากฝั่งขวาของนางและฝั่งซ้ายของนางและด้านหน้าของนางและด้านหลังของนาง และเขาเหล่านั้นจะอยู่กับนางในตลอดช่วงชีวิตของนาง ตลอดจนวันที่นางถูกนำลงไปในหลุมฝังศพ พวกเขาเหล่านั้นก็จะอยู่กับนาง พวกเขาจะคอยกล่าวคำสรรเสริญแก่นางและบิดาของนางและสามีของนางและบุตรของนาง"

ท่านอัมมาร บิน ยาซีร ได้จัดการกับสร้อยเส้นนั้น โดยทาน้ำหอมจากชะมดเชียงและห่อมันในเศษผ้าจากเยเมนและส่งให้กับทาสของเขา พร้อมกับกล่าวว่า " จงเอาสร้อยเส้นนี้ ไปให้แก่รอซูลุลลออฺ(ศ็อลฯ) และเจ้า ก็เป็นของรอซูล(ศ็อลฯ)"

 ทาสของอัมมารก็ทำตามที่อัมมารสั่ง โดยมอบให้กับรอซูล(ศ็อลฯ) และกล่าวกับท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ตามที่ท่านอัมมารสั่ง   ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้กล่าวแก่ทาสคนนั้นว่า
 " จงไปยังฟาฏิมะฮ์ และมอบสร้อยเส้นนี้ให้แก่นาง และเจ้าก็เป็นทาสของนาง"

 ทาสคนนั้นก็มาหาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) และกล่าวกับนางตามที่ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) บอก ท่านหญิง(ซ)จึงรับสร้อยเส้นนั้นไว้และทำการปล่อยให้หนุ่มทาสคนนั้นเป็นอิสระ
ทาสคนนั้นจึงร่ำไห้ออกมา ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) จึงถามว่า " อะไรเป็นเหตุทำให้เจ้าร้องไห้หรือ ? "

ทาสคนนั้นก็กล่าวว่า " ฉันร้องไห้ ด้วยความซาบซึ้งใจแด่ความเป็นสิริมงคลของสร้อยเส้นนี้ ที่สามารถช่วยดับความกระหายของผู้ที่หิวโหย และสามารถมอบอาภรณ์ให้ผู้ที่เปลือยเปล่าได้สวมใส่ สามารถช่วยให้คนยากจนให้มีอย่างพอเพียงและให้อิสรภาพแก่ทาส และสามารถทำให้คนพลัดถิ่นกลับคืนสู่ครอบครัวของเขา”

4   ควรปกปิดในการบริจาค
ﻭَ ﺇِﻥْ ﺗُﺨْﻔُﻮﻫﺎ ﻭَ ﺗُﺆْﺗُﻮﻫَﺎ ﺍﻟْﻔُﻘَﺮﺍءَ ﻓَﻬُﻮَ ﺧَﻴْﺮٌ ﻟَﻜُﻢْ
ความว่า
“และถ้าหากพวกเจ้าปกปิดมัน และให้มันแก่บรรดาผุ้ยากจนแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ดีแก่พวกเจ้ายิ่งกว่า”
(ซูเราะฮ์ บะกอเราะฮ์ โองการที่ 271  )

5   อย่าลำเลิกและก่อความเดือนร้อนในการบริจาค
ﻳﺎ ﺃَﻳُّﻬَﺎ ﺍﻟَّﺬِﻳﻦَ ﺁﻣَﻨُﻮﺍ ﻟﺎ ﺗُﺒْﻄِﻠُﻮﺍ ﺻَﺪَﻗﺎﺗِﻜُﻢْ ﺑِﺎﻟْﻤَﻦِّ ﻭَ ﺍﻟْﺄَﺫﻯ
ความว่า  
“บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าให้บรรดาทานของพวกเจ้าไร้ผล ด้วยการลำเลิก และการก่อความเดือดร้อน”
(ซูเราะฮ์ บะกอเราะฮ์ โองการที่ 264  )

6  ต้องบริจาคด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ﻳُﻨْﻔِﻘُﻮﻥَ ﺃَﻣْﻮﺍﻟَﻬُﻢُ ﺍﺑْﺘِﻐﺎءَ ﻣَﺮْﺿﺎﺕِ ﺍﻟﻠَّﻪِ
ความว่า
“และอุปมาบรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์ของพวกเขา เพื่อแสวงหาความพึงใจของอัลลอฮ์ และเพื่อให้เกิดความมั่นคงแก่ตัวของพวกเขาเอง”
 (ซูเราะฮ์ บะกอเราะฮ์ โองการที่ 265  )

7  ให้ถือว่าสิ่งที่บริจาคไปนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ถึงแม้นว่ามันจะยิ่งใหญ่ก็ตาม
ﻭَ ﻟﺎ ﺗَﻤْﻨُﻦْ ﺗَﺴْﺘَﻜْﺜِﺮُ
ความว่า
“และอย่าทำคุณ เพื่อหวังการตอบแทนอันมากมาย”
(ซูเราะฮ์ มุดัดซีร์ โองการที่ 6 )

8  บริจาคในส่วนที่ตนเองรักและชอบ  
لَنْ ﺗَﻨﺎﻟُﻮﺍ ﺍﻟْﺒِﺮَّ ﺣَﺘَّﻰ ﺗُﻨْﻔِﻘُﻮﺍ ﻣِﻤَّﺎ ﺗُﺤِﺒُّﻮﻥَ
ความว่า
“พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลยจนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบ”
 (ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน โองการที่  92 )


บทความโดย รูวัยดา สร้อยระยับ

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม