วิเคราะห์เรื่องราวของอิมามมะฮ์ดี ตอนที่ 10

 วิเคราะห์เรื่องราวของอิมามมะฮ์ดี ตอนที่ 10

สภาพทางความคิด, การเมือง, สังคมของชีอะฮ์ สมัยราชวงศ์อับบาซียะฮ์ปกครอง 1. สภาพทางความคิด หากพิจารณาสภาพแนวคิดชีอะฮ์ในสมัยอับบาซียะฮ์ปกครอง ถือได้ว่ากลุ่มชีอะฮ์นั้นอยู่ในระดับสูงส่งในด้านอะกีดะฮ์(หลักความเชื่อความศรัทธา) โดย อิม่ามมุฮัมมัดบากิร(อิม่ามที่5)และอิมามญะอ์ฟัร(อิม่ามที่6)ได้วางรากฐานขั้นที่หนึ่งเอาไว้สำหรับผู้ปฏิบัติตามมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์(อ) ฮะดีษต่างๆถูกรวบรวมไว้ในตำราอุซูล(أُصُول)และตำราญาเมี๊ยะอ์(جَامِع) มีการวางบรรทัดฐานสำหรับปกป้องรักษาฮะดีษและคัดกรองฮะดีษต่างๆจากบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์นบี บรรดาอิม่ามได้จัดอัศฮาบ(บรรดาศิษย์)เป็นกลุ่มๆ ทำหน้าที่ตอบปัญหาศาสนาและปกป้องอะกีดะฮ์และฟิกฮ์ต่อกลุ่มแนวคิดต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดากาหลิบและบริวารของพวกเขา เนื่องจากการปกป้องการอธิบายอัลกุรอ่านและศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ให้พ้นจากแนวคิดที่เบี่ยงเบนบิดเบือน เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญมากที่สุด ที่บรรดาอิมาม(อ)ได้ต่อสู้ตลอดมา ในลักษณะที่เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของงานด้านนี้ อิมามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10) และ อิม่ามฮาซันอัสกะรี่(อิม่ามที่11) ได้อบรมสั่งสอนประชาชน โดยใช้วิธีการที่เปี่ยมด้วยวิทยปัญญาในการต่อสู้กับแนวคิดที่เบี่ยงเบนบิดเบือนที่เกิดขึ้นกับสังคมมุสลิมยุคนั้น #เริ่มตั้งแต่แนวคิดของ พวกคอวาริจ พวกมุอ์ตะซิละฮ์ พวกมุรญิอะฮ์ พวกก็อดรียะฮ์ พวกมุญัซซิมะฮ์ พวกวากิฟียะฮ์ และจบลงที่พวกมุเฟาวิเดาะฮ์ พวกษะนาวียะฮ์ และพวกฆูล๊าต(พวกที่ยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์นบีเสมือนสมมุติเทพ) การให้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาฟิกฮ์และอะกีดะฮ์บางเรื่องที่เกิดความสับสน เพื่อปกป้องชีอะฮ์ไม่ให้สับสนหรือเพลี่ยงพล้ำ ในสมัยอิม่ามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10)ได้เกิดฟิตนะฮ์ความวุ่นวายขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องอัลกุรอ่านคือ มัคลูก(สิ่งถูกสร้าง)หรือไม่ใช่มัคลู๊ก ทั้งอาเล่มอุละมาอ์และคนอะวามต้องติดคุก ต้องถูกฆ่าเพราะเข้าไปถกเถียงวุ่นวายกับปัญหานี้ กาหลิบมะอ์มูน กาหลิบมุอ์ตะซิม กาหลิบวาษิ๊ก สนับสนุนกลุ่มมุอ์ตะอ์ซิละฮ์ พวกเขาเชื่อว่าอัลกุรอ่านคือมัคลู๊ก และบังคับให้ประชาชนเชื่อว่าอัลกุรอ่านคือมัคลู๊ก กาหลิบมุตะวักกิล สนับสนุนกลุ่มอะฮ์ลุลฮะดีษ และเขาเชื่อว่าอัลกุรอ่านไม่ใช่มัคลู๊ก อิม่ามอะลีฮาดี(อ)ไม่เคยเอาตัวท่านเข้าไปข้องเกี่ยวกับฟิตนะฮ์ในเรื่องนี้ อิม่ามได้อธิบายว่าอัลกุรอ่านคือกะลามุลเลาะฮ์(พระดำรัสของอัลลอฮ์)ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือให้ปฏิบัติตามคัมภีร์ของอัลลอฮ์ โดยไม่ต้องเข้าไปถกเถียงในปัญหานี้ให้เสียเวลา #อิมามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10)#ได้เขียนสารฉบับส่งไปถึงชีอะฮ์ของท่านคนหนึ่งที่เมืองแบกแดด #เพื่อกำหนดจุดยืนของอะฮ์ลุลบัยต์ในปัญหานี้ ว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตายิ่งเสมอ عصمنا الله وإياك من الفتنة فإن يفعل فقد أعظم بها نعمة وإن لا يفعل فهي الهلكة ขอให้อัลลอฮ์ทรงปกป้องเราและท่านให้พ้นจากฟิตนะฮ์นี้ ดังนั้นถ้าหากพระองค์กระทำก็จะเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ และถ้าหากไม่ทรงกระทำ ก็จะเกิดความหายนะ نحن نرى أن الجدال في القرآن بدعة، اشترك فيها السائل والمجيب، فيتعاطى السائل ما ليس له، ويتكلف المجيب ما ليس عليه เราเห็นว่า การถกเถียงกันในเรื่องอัลกุรอานนั้นเป็นบิดอะฮ์ร่วมกันทั้งผู้ถามและผู้ตอบ กล่าวคือ ผู้ถามก็จะนำเสนอในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้ และผู้ตอบก็ไม่มีความรู้ وليس الخالق إلا الله عز وجل، وما سواه مخلوق، والقرآن كلام الله และไม่มีใครเป็นผู้สร้าง(คอลิก) นอกจาก อัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น และสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากอัลลอฮ์ล้วนเป็นสิ่งถูกสร้าง(มัคลู๊ก) ส่วนอัลกุรอาน คือกะลามุลเลาะฮ์(พระดำรัสของอัลลอฮ์) لا تجعل له اسما من عندك فتكون من الضالين، جعلنا الله وإياك من الذين يخشون ربهم بالغيب وهم من الساعة مشفقون จงอย่าตั้งฉายานามใดๆให้แก่อัลกุรอานจากความคิดของท่านเอง เพราะจะทำให้ท่านเป็นผู้หลงผิด ขออัลลอฮ์ทรงบันดาลให้เราและท่านเป็นส่วนหนึ่งของบรรดาผู้มีความยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของเขาในเรื่องพ้นญาณวิสัยและวันสิ้นโลกด้วยเถิด ดูหนังสือ อัตเตาฮีด ผู้แต่ง เชคศอดูก หน้า 224 ฮะดีษที่ 4 อิม่ามอะลีอัลฮาดีได้ปกป้องประชาชนให้พ้นจากฟิตนะฮ์เรื่องอัลกุรอ่านและสั่งพวกเขาให้ออกห่างจากการโต้เถียงในประเด็นที่ละเอียดอ่อนนี้ #บทบาทสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่อิมามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10)และฮาซันอัสกะรี่(อิม่ามที่11)ได้ปฏิบัติภารกิจคือ #อิม่ามทั้งสองได้ปูพื้นฐานแนวคิดที่เหมาะสมสำหรับชีอะฮ์ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยุคอิม่ามที่ 12 ต้องหายตัวไปจากผู้คน(ยุคฆ็อยบัต) เช่น มีฮะดีษจำนวนมากมายที่กล่าวถึงเรื่องอิม่ามมะฮ์ดี(อ)ฆ็อยบัต เรื่องการถือกำเนิดของอิมามมะฮ์ดี ผู้เป็นฮุจญัตคนสุดท้ายของอัลลอฮ์ เรื่องเมื่ออิม่ามมะฮ์ดีฆ็อยบัตให้บรรดาชีอะฮ์ย้อนกลับไปหาวะกีล(ตัวแทนของอิม่าม) และมีการสนับสนุนให้บันทึกตำราต่างๆทั้งตำราฟิกฮ์และตำราฮะดีษ จนถึงขั้นมีการติดต่อกับบุคคลเหล่านั้นโดยตรง และส่งจดหมายให้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ หรือมอบหมายเรื่องราวนั้นๆให้บรรดาวะกีลของอิม่ามไปดำเนินการ ด้วยรูปแบบลักษณะนี้ บรรดาอิม่ามได้ปูพื้นฐานเอาไว้ สำหรับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังจากอิม่ามมะฮ์ดี(อิม่ามที่12)ต้องฆ็อยบัตไปจากประชาชน และยังมีการติดต่อกับอิม่ามที่10และอิม่ามที่11โดยทางอ้อม #ด้วยวิธีการนี้อิมามมะฮ์ดี(อิม่ามที่12)ได้นำมาปฏิบัติใช้ในยุคฆ็อยบัตซุฆรอ(เริ่มตั้งแต่ ฮ.ศ. 260 ถึง 329 ) เพื่อทำให้บรรดาชีอะฮ์พร้อมเข้าสู่ยุคฆ็อยบัตกุบรอในเวลาต่อมา #ผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ถ้าหากกาหลิบองค์ใดเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนแนวคิดมัซฮับใด แนวคิดของกลุ่มอื่นก็จะถือว่าผิดและกลายเป็นพวกนอกรีต เหมือนที่เกิดขึ้นระหว่างมุอ์ตะอ์ซิละฮ์กับอะชาอิเราะฮ์ ทั้งๆที่ทั้งสองกลุ่มคือซุนนี่ด้วยกัน #ปัจจุบัน กษัตริย์ซาอุฯถือว่ากลุ่มวาฮาบีคือแนวคิดที่ถูกต้อง และอุละมาอ์วาฮาบีได้แต่งตำราปฏิเสธว่า ซุนนี่อะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่อะฮ์ลุซซุนนะฮ์ #จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่กษัตริย์ตระกูลอุมัยยะฮ์และกาหลิบตระกูลอับบาซียะฮ์ได้ตีตรากลุ่มชีอะฮ์เป็นพวกนอกรีต ยิ่งกว่านั้นกษัตริย์ทั้งสองราชวงศ์นี้ได้สั่งให้อุละมาอ์ราชสำนักออกคำฟัตวาและแต่งตำราประนามให้ร้ายกลุ่มชีอะฮ์ต่างๆนานามากมาย #ด้วยเหตุผลหลักประการเดียวคือ กลุ่มชีอะฮ์ถือว่า ผู้ปกครองที่ถูกต้องที่สุดต่อจากนบีมุฮัมมัดคือ “#อะฮ์ลุลบัยต์นบี” ดังที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้สั่งเสียอุมมัตของท่านว่า إِنِّي تَارِكٌ فِيكُمْ خَلِيفَتَيْنِ كِتَابُ اللَّهِ وَأَهْلُ بَيْتِي وَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ ฉันขอมอบสองคอลีฟะฮ์ไว้ในหมู่พวกท่านคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์และอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน ทั้งสองนี้จะไม่แยกจากกันเด็ดขาดจนกว่าทั้งสองนี้จะกลับมาหาฉันที่สระน้ำเกาษัร แนวคิดอิสลามอันบริสุทธิ์ที่เชื่อว่า “อะฮ์ลุลบัยต์คือคอลีฟะฮ์” ได้สั่นคลอนบัลลังก์อำนาจบรรดาผู้ปกครองจอมปลอมมาตลอดทุกยุคทุกสมัยจนปัจจุบัน #วิเคราะห์เรื่องราวของอิมามมะฮ์ดี ตอน 10 الْوَضْعُ الْفِكري والسياسي والإجتماعي للشيعة في عصر العباسي #สภาพทางความคิด, #การเมือง, #สังคมของชีอะฮ์ #สมัยราชวงศ์อับบาซียะฮ์ปกครอง 1. #สภาพทางความคิด หากพิจารณาสภาพแนวคิดชีอะฮ์ในสมัยอับบาซียะฮ์ปกครอง ถือได้ว่ากลุ่มชีอะฮ์นั้นอยู่ในระดับสูงส่งในด้านอะกีดะฮ์(หลักความเชื่อความศรัทธา) โดย อิม่ามมุฮัมมัดบากิร(อิม่ามที่5)และอิมามญะอ์ฟัร(อิม่ามที่6)ได้วางรากฐานขั้นที่หนึ่งเอาไว้สำหรับผู้ปฏิบัติตามมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์(อ) ฮะดีษต่างๆถูกรวบรวมไว้ในตำราอุซูล(أُصُول)และตำราญาเมี๊ยะอ์(جَامِع) มีการวางบรรทัดฐานสำหรับปกป้องรักษาฮะดีษและคัดกรองฮะดีษต่างๆจากบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์นบี บรรดาอิม่ามได้จัดอัศฮาบ(บรรดาศิษย์)เป็นกลุ่มๆ ทำหน้าที่ตอบปัญหาศาสนาและปกป้องอะกีดะฮ์และฟิกฮ์ต่อกลุ่มแนวคิดต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดากาหลิบและบริวารของพวกเขา เนื่องจากการปกป้องการอธิบายอัลกุรอ่านและศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ให้พ้นจากแนวคิดที่เบี่ยงเบนบิดเบือน เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญมากที่สุด ที่บรรดาอิมาม(อ)ได้ต่อสู้ตลอดมา ในลักษณะที่เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของงานด้านนี้ อิมามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10) และ อิม่ามฮาซันอัสกะรี่(อิม่ามที่11) ได้อบรมสั่งสอนประชาชน โดยใช้วิธีการที่เปี่ยมด้วยวิทยปัญญาในการต่อสู้กับแนวคิดที่เบี่ยงเบนบิดเบือนที่เกิดขึ้นกับสังคมมุสลิมยุคนั้น #เริ่มตั้งแต่แนวคิดของ พวกคอวาริจ พวกมุอ์ตะซิละฮ์ พวกมุรญิอะฮ์ พวกก็อดรียะฮ์ พวกมุญัซซิมะฮ์ พวกวากิฟียะฮ์ และจบลงที่พวกมุเฟาวิเดาะฮ์ พวกษะนาวียะฮ์ และพวกฆูล๊าต(พวกที่ยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์นบีเสมือนสมมุติเทพ) การให้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาฟิกฮ์และอะกีดะฮ์บางเรื่องที่เกิดความสับสน เพื่อปกป้องชีอะฮ์ไม่ให้สับสนหรือเพลี่ยงพล้ำ ในสมัยอิม่ามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10)ได้เกิดฟิตนะฮ์ความวุ่นวายขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องอัลกุรอ่านคือ มัคลูก(สิ่งถูกสร้าง)หรือไม่ใช่มัคลู๊ก ทั้งอาเล่มอุละมาอ์และคนอะวามต้องติดคุก ต้องถูกฆ่าเพราะเข้าไปถกเถียงวุ่นวายกับปัญหานี้ กาหลิบมะอ์มูน กาหลิบมุอ์ตะซิม กาหลิบวาษิ๊ก สนับสนุนกลุ่มมุอ์ตะอ์ซิละฮ์ พวกเขาเชื่อว่าอัลกุรอ่านคือมัคลู๊ก และบังคับให้ประชาชนเชื่อว่าอัลกุรอ่านคือมัคลู๊ก กาหลิบมุตะวักกิล สนับสนุนกลุ่มอะฮ์ลุลฮะดีษ และเขาเชื่อว่าอัลกุรอ่านไม่ใช่มัคลู๊ก อิม่ามอะลีฮาดี(อ)ไม่เคยเอาตัวท่านเข้าไปข้องเกี่ยวกับฟิตนะฮ์ในเรื่องนี้ อิม่ามได้อธิบายว่าอัลกุรอ่านคือกะลามุลเลาะฮ์(พระดำรัสของอัลลอฮ์)ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือให้ปฏิบัติตามคัมภีร์ของอัลลอฮ์ โดยไม่ต้องเข้าไปถกเถียงในปัญหานี้ให้เสียเวลา #อิมามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10)#ได้เขียนสารฉบับส่งไปถึงชีอะฮ์ของท่านคนหนึ่งที่เมืองแบกแดด #เพื่อกำหนดจุดยืนของอะฮ์ลุลบัยต์ในปัญหานี้ ว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตายิ่งเสมอ عصمنا الله وإياك من الفتنة فإن يفعل فقد أعظم بها نعمة وإن لا يفعل فهي الهلكة ขอให้อัลลอฮ์ทรงปกป้องเราและท่านให้พ้นจากฟิตนะฮ์นี้ ดังนั้นถ้าหากพระองค์กระทำก็จะเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ และถ้าหากไม่ทรงกระทำ ก็จะเกิดความหายนะ نحن نرى أن الجدال في القرآن بدعة، اشترك فيها السائل والمجيب، فيتعاطى السائل ما ليس له، ويتكلف المجيب ما ليس عليه เราเห็นว่า การถกเถียงกันในเรื่องอัลกุรอานนั้นเป็นบิดอะฮ์ร่วมกันทั้งผู้ถามและผู้ตอบ กล่าวคือ ผู้ถามก็จะนำเสนอในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้ และผู้ตอบก็ไม่มีความรู้ وليس الخالق إلا الله عز وجل، وما سواه مخلوق، والقرآن كلام الله และไม่มีใครเป็นผู้สร้าง(คอลิก) นอกจาก อัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น และสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากอัลลอฮ์ล้วนเป็นสิ่งถูกสร้าง(มัคลู๊ก) ส่วนอัลกุรอาน คือกะลามุลเลาะฮ์(พระดำรัสของอัลลอฮ์) لا تجعل له اسما من عندك فتكون من الضالين، جعلنا الله وإياك من الذين يخشون ربهم بالغيب وهم من الساعة مشفقون จงอย่าตั้งฉายานามใดๆให้แก่อัลกุรอานจากความคิดของท่านเอง เพราะจะทำให้ท่านเป็นผู้หลงผิด ขออัลลอฮ์ทรงบันดาลให้เราและท่านเป็นส่วนหนึ่งของบรรดาผู้มีความยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของเขาในเรื่องพ้นญาณวิสัยและวันสิ้นโลกด้วยเถิด ดูหนังสือ อัตเตาฮีด ผู้แต่ง เชคศอดูก หน้า 224 ฮะดีษที่ 4 อิม่ามอะลีอัลฮาดีได้ปกป้องประชาชนให้พ้นจากฟิตนะฮ์เรื่องอัลกุรอ่านและสั่งพวกเขาให้ออกห่างจากการโต้เถียงในประเด็นที่ละเอียดอ่อนนี้ #บทบาทสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่อิมามอะลีฮาดี(อิม่ามที่10)และฮาซันอัสกะรี่(อิม่ามที่11)ได้ปฏิบัติภารกิจคือ #อิม่ามทั้งสองได้ปูพื้นฐานแนวคิดที่เหมาะสมสำหรับชีอะฮ์ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยุคอิม่ามที่ 12 ต้องหายตัวไปจากผู้คน(ยุคฆ็อยบัต) เช่น มีฮะดีษจำนวนมากมายที่กล่าวถึงเรื่องอิม่ามมะฮ์ดี(อ)ฆ็อยบัต เรื่องการถือกำเนิดของอิมามมะฮ์ดี ผู้เป็นฮุจญัตคนสุดท้ายของอัลลอฮ์ เรื่องเมื่ออิม่ามมะฮ์ดีฆ็อยบัตให้บรรดาชีอะฮ์ย้อนกลับไปหาวะกีล(ตัวแทนของอิม่าม) และมีการสนับสนุนให้บันทึกตำราต่างๆทั้งตำราฟิกฮ์และตำราฮะดีษ จนถึงขั้นมีการติดต่อกับบุคคลเหล่านั้นโดยตรง และส่งจดหมายให้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ หรือมอบหมายเรื่องราวนั้นๆให้บรรดาวะกีลของอิม่ามไปดำเนินการ ด้วยรูปแบบลักษณะนี้ บรรดาอิม่ามได้ปูพื้นฐานเอาไว้ สำหรับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังจากอิม่ามมะฮ์ดี(อิม่ามที่12)ต้องฆ็อยบัตไปจากประชาชน และยังมีการติดต่อกับอิม่ามที่10และอิม่ามที่11โดยทางอ้อม #ด้วยวิธีการนี้อิมามมะฮ์ดี(อิม่ามที่12)ได้นำมาปฏิบัติใช้ในยุคฆ็อยบัตซุฆรอ(เริ่มตั้งแต่ ฮ.ศ. 260 ถึง 329 ) เพื่อทำให้บรรดาชีอะฮ์พร้อมเข้าสู่ยุคฆ็อยบัตกุบรอในเวลาต่อมา #ผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ถ้าหากกาหลิบองค์ใดเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนแนวคิดมัซฮับใด แนวคิดของกลุ่มอื่นก็จะถือว่าผิดและกลายเป็นพวกนอกรีต เหมือนที่เกิดขึ้นระหว่างมุอ์ตะอ์ซิละฮ์กับอะชาอิเราะฮ์ ทั้งๆที่ทั้งสองกลุ่มคือซุนนี่ด้วยกัน #ปัจจุบัน กษัตริย์ซาอุฯถือว่ากลุ่มวาฮาบีคือแนวคิดที่ถูกต้อง และอุละมาอ์วาฮาบีได้แต่งตำราปฏิเสธว่า ซุนนี่อะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่อะฮ์ลุซซุนนะฮ์ #จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่กษัตริย์ตระกูลอุมัยยะฮ์และกาหลิบตระกูลอับบาซียะฮ์ได้ตีตรากลุ่มชีอะฮ์เป็นพวกนอกรีต ยิ่งกว่านั้นกษัตริย์ทั้งสองราชวงศ์นี้ได้สั่งให้อุละมาอ์ราชสำนักออกคำฟัตวาและแต่งตำราประนามให้ร้ายกลุ่มชีอะฮ์ต่างๆนานามากมาย #ด้วยเหตุผลหลักประการเดียวคือ กลุ่มชีอะฮ์ถือว่า ผู้ปกครองที่ถูกต้องที่สุดต่อจากนบีมุฮัมมัดคือ “#อะฮ์ลุลบัยต์นบี” ดังที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้สั่งเสียอุมมัตของท่านว่า إِنِّي تَارِكٌ فِيكُمْ خَلِيفَتَيْنِ كِتَابُ اللَّهِ وَأَهْلُ بَيْتِي وَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ ฉันขอมอบสองคอลีฟะฮ์ไว้ในหมู่พวกท่านคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์และอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน ทั้งสองนี้จะไม่แยกจากกันเด็ดขาดจนกว่าทั้งสองนี้จะกลับมาหาฉันที่สระน้ำเกาษัร แนวคิดอิสลามอันบริสุทธิ์ที่เชื่อว่า “อะฮ์ลุลบัยต์คือคอลีฟะฮ์” ได้สั่นคลอนบัลลังก์อำนาจบรรดาผู้ปกครองจอมปลอมมาตลอดทุกยุคทุกสมัยจนปัจจุบัน