วันที่ 8 เชาวาล เป็นวันครบรอบปีของการทำลายสุสานอัล-บะกีอ์
วันที่ 8 เชาวาล เป็นวันครบรอบปีของการทำลายสุสานอัล-บะกีอ์
คงไม่มีมุสลิมคนใดปฏิเสธได้ว่า สุสานอัล-บะกีอ์ คือมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งสถานที่หนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งอิสลาม ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่จะมีเรื่องราวที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ในช่วงศตวรรษแรกๆ ของอิสลามเท่ากับเมืองฮิญาซ และสุสานอัล-บะกีอ์ คือ อนุสาวรีย์แห่งนูร รัศมีของพระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล เพราะเป็นที่ฝังศพของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ อะห์ลุลบัยต์นบี นั่นคือ
ท่านอิมามฮะซัน อ.
ท่านอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน อ.
ท่านอิมามมุฮัมมัด บากิร อ.
ท่านอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก อ.
และนอกเหนือจากอิมามผู้บริสุทธิ์แห่งอะห์ลุลบัยต์แล้ว ยังมีสุสานของบุคคลที่สำคัญมากมายในหน้าประวัติ์ศาสตร์อิสลาม เช่น
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ บินติอะซัด มารดาของท่านอิมามอะลี
หลุมฝังศพของท่านหญิงอุมมุลบะนีน
ลุมฝังศพของท่านอิบรอฮีม บุตรชายของท่านศาสดา ศ.
หลุมฝังศพของบรรดาบุตรีของท่านศาสดา ศ.
หลุมฝังศพของท่านหญิงฮะลีมะฮ์ ซะอ์ดียะฮ์ แม่นมของท่านศาสดา ศ.
และหลุมฝังศพของบรรดาชะฮีดในยุคของท่านศาสดา รวมถึงบรรดาศ่อฮาบะฮ์อีกหลายท่าน
วันที่ 8 ของเดือนเชาวาล ปี ฮ.ศ.1344 ราชวงศ์ซะอูดวะฮ์ฮาบี ได้ทำลายหลุมฝังศพต่าง ๆ ในสุสานบะกีอ์จนราบเรียบลงกับพื้นดิน จากที่เคยมีโดมและกรงเหล็กที่ทำด้วยเงินที่สวยงาม
หนังสือหลายเล่มที่ได้บันทึกไว้พร้อม รูปภาพจากผู้ที่เคยไปเยี่ยมเยียนสุสานอัลบะกีอ์เมื่อก่อนนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าสภาพของสุสานอัลบะกีอ์ ก่อนการเข้ามามีอำนาจของกลุ่มคลั่งไคล้ในลัทธิวะฮาบีย์ มีโดมและกรงเหล็กที่ทำด้วยทองแดงหรือเงิน กั้นล้อมรอบอย่างสวยงามวิจิตรตระกาลตา พร้อมทั้งมีหินศิลาจารึกนามของผู้ที่ถูกฝังอยู่ ณ ที่นั้นทุกคน แต่เมื่อวะฮาบีย์เข้ามามีอำนาจในผืนแผ่นดินฮิญาซ พวกเขาลงมือทำลายอนุสาวรีย์รัศมีแห่งพระผู้เป็นเจ้านี้ทันที ตามหลักความเชื่อผิดๆ ที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมา
ในปี ฮ.ศ.1343 ในนครมักกะฮ์ ชาววะฮ์ฮาบีได้ทำลายโดมของหลุมฝังศพของท่านอับดุลมุฏฏอลิบ ท่านอบูฏอลิบ ท่านหญิงคอดีญะฮ์ บ้านเกิดของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. จนราบเรียบลงกับพื้นดิน และในเมืองญิดดะฮ์ (เจดดาห์) พวกเขายังได้ทำลายหลุมฝังศพของพระนางฮะวา ภรรยาของท่านศาสดาอาดัม อ. และหลุมฝังศพอื่นๆ อีกด้วย
พวกเขาได้ปิดประตูเมืองมะดีนะฮ์ อัลมุเนาวะเราะฮ์ด้วยปืนใหญ่ แต่เนื่องจากความหวั่นกลัวต่อชาวมุสลิม พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำลายหลุมฝังศพของท่านศาสดา ศ.
นอกจากนี้พวกเขายังได้ทำลายหลุมฝังศพของท่านฮัมซะฮ์ อ. และบรรดาชะฮีดแห่งสงครามอุฮุด โดมและหลุมฝังศพของท่านอับดุลลอฮ์และท่านหญิงอามินะฮ์ บิดาและมารดาของท่านศาสดา ศ. หลุมฝังศพของอิสมาอีล บุตรชายของท่านอิมามซอดิก อ. และหลุมฝังศพอื่นๆ
ในปีเดียวกันนั้น พวกเขาได้โจมตีไปยังเมืองกัรบะลา ประเทศอิรักและขุดหลุมฝังศพของท่านอิมามฮุเซน อ. และได้ปล้นสะดมอัญมณี เครื่องประดับและสิ่งของมีค่าซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นของกำนัลจากบรรดาซุลฏอน (ผู้ปกครอง) ที่มีค่าและราคาสูงมาก ในการโจมตีครั้งนี้พวกเขาได้เข่นฆ่าบรรดาอุละมาอ์ (นักวิชาการศาสนา) บรรดาผู้มีเกียรติ บรรดาซาดาต (เชื้อสายท่านศาสดา) และประชาชนจำนวนเกือบ 7,000 คน หลังจากนั้นพวกเขาได้ยกพลไปยังเมืองนะญัฟ อัลอัชร็อฟ แต่ไม่ประสบความสำเร็จที่จะทำการปล้นสะดม จึงได้เดินทางกลับไปด้วยความปราชัย
ทำไมวะฮ์ฮาบีต้องทำลายมรดกทางประวัติศาสตร์ของอิสลามด้วย ?
คงไม่จำเป็นต้องบอกว่าเหตุผลที่วะฮ์ฮาบีซาอูด ใช้อ้างในการทำลายร่องรองทางประวัติศาสตร์อิสลามหรอก เพราะหากศึกษาดูโครงสร้างแนวความคิดของวะฮาบีย์แล้ว แท้จริงก็คือแนวทางหนึ่งของศัตรูแห่งอิสลามที่ต้องการเข้ามาทำลายอิสลาม ในคราบของอิสลามและมุสลิม การบิดเบือนศาสนาอิสลามที่แท้จริง คือเป้าหมายหลักของศัตรู แนวความคิดของวะฮาบีย์คือแนวความคิดหนึ่งที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่มุสลิม
ซึ่งการถือกำเนิดของลัทธินี้ก็เป็นที่ทราบโดยทั่วไปเป้าหมายคือ สร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิม ต่อต้านการญิฮาดและการต่อสู้ ห้ามจัดงานทำบุญต่างๆ ตามบ้านหรือในสุสาน ห้ามจัดงานวันเกิดท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. เป็นต้น โดยการโชว์สโลแกน “บิดอะฮ์” และ “ชิร์ก์” ซึ่งหากพิจารณาให้ดี การปฏิบัติทั้งหมดที่ลัทธินี้ต่อต้านล้วนนำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของมวลมุสลิมทั้งสิ้น
บทความโดย เชคอันศอร เหล็มปาน