ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.)
ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.)
ชื่อ มุฮัมมัด
ฉายานาม บากิร อัลอุลูม
สมญานาม อบู ญะอ์ฟัร
ชื่อบิดา อิมามซัจญาด (อ.)
ชื่อมารดา ฟาฏิมะฮ์ บินติฮะซัน
กำเนิด 1 เราะญับ ฮ. ศ. 57
สถานที่กำเนิด มะดีนะฮ์ อัลมุเนาวะเราะฮ์
ดำรงตำแหน่ง 19 ปี
อายุ 57 ปี
เสียชีวิต วันที่ 7 ซุลฮิจญะฮ์ ฮ.ศ. 114
สถานที่ฝังศพ อัลบะกีอ์ มะดีนะตุลมุเนาวะเราะฮ์
การถือกำเนิด
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) เกิดเมื่อวันที่ 1 เดือนเราะญับ ฮ.ศ. 57 ที่ เมืองมะดีนะฮ์ อัลมุเนาวะเราะฮ์ ท่าน คือ อิมามที่ห้าจากบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)
บิดาของท่าานคือ ท่านอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน หรือ ซัจญาด (อ.) มารดาของท่านคือ ฟาฏิมะฮ์ บุตรสาวของท่านอิมามฮะซัน อัลมุจญ์ตะบา (อ.) ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามบากิร (อ.) จึงเป็นอิมามท่านแรกทีสืบเชื้อสายมาจากท่านศาสดาทั้งโดยทางบิดาและมารดา
อิมามบากิร (อ.) ได้อยู่ทันพบกับท่านอิมามฮุเซน (อ.) ผู้เป็นปู่ ขณะที่ท่านมีอายุได้เพียง 4 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ที่กัรบะลาอ์ ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบิดาเป็นเวลาถึง 35 ปี และมีชีวิตอยู่ต่อมา หลังจากบิดาอีก 18 ปี และนี่คือช่วงเวลาของการเป็นอิมามของท่าน ท่านได้ใช้เวลาในช่วงนั้นด้วยการเผยแผ่วิชาความรู้ และวิชาการอิสลาม
ที่ได้ชื่อว่า "อัลบากิร" (ผู้พิชิต) ก็เพราะว่า ท่านสามารถนำคลังแห่งความรู้และวิชาการออกมาได้ ดังนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า "อัลบากิร" ท่านยังมีฉายาอื่นอีกที่แสดงถึงคุณสมบัติทางด้านจริยธรรมของท่าน เช่น อัซซากิร (ผู้กตัญญูรู้คุณพระเจ้า) และ อัลฮาดีย์ (ผู้นำไปสู่สัจธรรมทางของพระเจ้า) ได้มีสาวกผู้ทรงเกรียติท่านหนึ่งคือ ญาบิร บุตรของอับดุลลอฮ์ อันซอรีย์ ได้พบท่านในขณะที่ท่านยังเล็กอยู่ สาวกท่านนั้นได้บอกกับท่านว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้ฝากสลามมาถึงท่าน คนทั้งหลายต่างแปลกใจในเรื่องนั้นกันมาก ญาบิรจึงได้อธิบายให้พวกเขาทราบว่า เมื่อครั้งที่เขาได้นั่งอยู่กับท่านศาสดา ในวันนั้นท่านฮุเซน (อ.) กำลังนั่งเล่่นอยู่บนตักของท่าน ท่านได้พูดกับฉันว่า
โอ้ ญาบิรเอ๋ย ฮุเซนจะมีบุตรคนหนึ่งชื่อว่า อะลี เมื่อถึงวันฟื้นคืนชีพจะมีผู้ประกาศชื่อว่า
ซัยยิดุลอาบิดีน แล้วจะมีคนหนึ่งเกิดมาจากอะบี เขามีชื่อว่า มุฮัมมัด เขาจะมีความแตกฉานทางวิชาการอย่างยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าหากเจ้าอยู่จนทันได้พบกับเขา โอ้ ญาบิรเอ๋ย จงนำสลามจากฉันไปบอกแก่เขาด้วย
ท่านอิมามบากิร (อ.) มีสวนอยู่ 2 แห่ง ซึ่งจะทำสวนด้วยตัวเอง และร่วมรับประทานอาหารกับบรรดาชาวสวนด้วยกัน ท่านจะนำรายได้จากสวนนั้นบริจาคแก่คนยากจน และบรรดาผู้ที่มีความเดือดร้อน ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงเป็นคนใจบุญสุนทานมากที่สุดสำหรับคนในยุคนั้น
ในหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มได้บันทึกเรื่องที่ มุฮัมมัด บิน มุนกะดิร ได้พรรณนาไว้ว่า ฉันไม่เคยเห็นลูกชายของเขาคนหนึ่งคือ มุฮัมมัด บากิร (อ.) ซึ่งฉันต้องการจะเตือนเขา แต่เขากลับเป็นฝ่ายเตือนฉันครั้งหนึ่งฉันได้ออกไปทำธุระที่นอกเมืองมะดีนะฮ์ในช่วงที่อากาศร้อนจัด ฉันได้พบกับท่านมุฮัมมัด บากิร (อ.) ในขณะที่เขาใช้แขนเหนี่ยวคอเด็กรับใช้สองคนของเขา ฉันจึงได้พูดในใจตัวเองว่า ผู้อาวุโสชาวกุเรชหาความสุขทางโลกในท่านอย่างนี้ ในช่วงเวลาอย่างนี้ได้อย่างไร ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะต้องให้บทเรียนแก่เขาสักอย่าง แล้วฉันก็ได้เดินเข้าไปใกล้เขา เมื่อฉันให้สลามเขาก็ตอบรับสลาม ปรากฏว่าเหงื่อเขาออกจนเปียกโชก ฉันจึงกล่าวว่า ขอให้อัลลอฮ์ทรงปรับปรุงท่านด้วยเถิด ผู้อาวุโสแห่งวงศ์ตระกูลกุเรช ในช่วงเวลาอย่างนี้ท่านยังหาความสุขทางโลกอยู่ได้ นี้ถ้าหากความตายมาถึงท่านในขณะที่ท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ ท่านจะทำอย่างไร
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) ปล่อยมือจากเด็กรับใช้สองคน แล้วพิงกายลง พลางกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ถ้าหากความตายมาถึงฉันในขณะที่ฉันอยู่อย่างนี้ ก็เท่ากับว่ามันได้มาถึงฉัน ขณะที่ฉันกำลังอยู่ในความเคารพเชื่อฟังตามหลักการข้อหนึ่งของอัลลอฮ์ คือ ฉันสามารถยับยั้งคนเองมิให้เป็นภาระแก่ท่านและคนทั้งหลาย เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ฉันกลัวความตาย คือ เมื่อความตายมาถึงฉันในขณะที่อยู่การละเมิดหลักการข้อใดข้อหนึ่งของอัลลอฮ์
ฉันจึงกล่าวว่า ให้อัลลอฮ์ประทานความเมตตาแก่ท่านเถิด ฉันจะตักเตือนท่าน แต่ท่านต้องมาตักเตือนฉัน
จุดยืนของท่านอิมามมีความแน่วแน่ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายรู้ว่าการแสวงหาสิ่งอำนวยประโยชน์สุขก็คือ การเคารพภักดีอย่างหนึ่ง และเป็นการเคารพเชื่อฟังหลักการหนึ่งของอัลลอฮ์ มิใช่ละทิ้งการทำงานและยอมลำบากเพื่อนมาซ แล้วดำรงชีวิตด้วยการเป็นภาระแก่คนอื่น เหมือนอย่างที่พวกนิยมแนวทางของตะเซาวุฟได้ถือปฏิบัติกัน อย่างเช่น บินอัลมุสกะดัร และคนอื่นๆ
ฐานภาพทางวิชาการ
มีชาวซีเรียคนหนึ่งไปๆมาๆ กับที่ประชุมของอิมามมุฮัมมัด บากิร (อ.) หลายครั้ง ครั้งหนึ่งชายผู้นั้นได้พูดกับท่านอิมาม (อ.) ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่ฉันโกรธเกลียดมากกว่าพวกเจ้า และแท้จริงฉันถือว่าการเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์ และการเชื่อฟังศาสนทูตนั้น อยู่ในการโกรธเกลียดของพวกเจ้านี้แหละ แต่ทว่าฉันเห็นว่าเจ้าเป็นคนพูดจาฉะฉาน มีมารยาทและมีคำพูดสุภาพดี และการมาของฉันในที่ประชุมของเจ้าก็เพราะมารยาทอันดีของเจ้านี้แหละ ปรากฏทุกครั้งท่านอิมามจะพูดกับเขาอย่างดี หรือไม่ก็พูดว่า ไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับอัลลอฮ์
หลายวันผ่านไปชาวซีเรียคนนั้นมิได้มาในที่ประชุมอีกเลย เมื่อท่านอิมามไม่เห็นเขาหลายวัน ก็ได้ถามข่าวคราวของเขา ก็มีบางคนบออกว่า เขาป่วย จึงไม่สามารถไปไหนมาไหนได้
อิมามบากิร (อ.) ได้ไปเยี่ยมดูอาการของเขา และนั่งลงช้าๆ ไต่ถามถึงอาการป่วยไข้ และอิมามยังได้เตือนเขาว่าให้รับประทานอาหารที่เย็นสักหน่อย หลังจากนั้นท่านอิมามได้อำลาจากไป
เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ชาวซีเรียคนนั้นก็สามารถลุกจากที่นอนได้ ภายหลังจากที่หายป่วย ปากฎว่าสิ่งแรกที่เขากระทำคือ มุ่งตรงไปยังบ้านอิมามบากิร (อ.) แล้วกล่าวขอโทษต่อมาก็ได้กลายเป็นสหายคนหนึ่งของท่านอิมาม
ชายคนหนึ่งได้ถามปัญหาข้อหนึ่งจากอับดุลลอฮ์ บุตรของอุมัร บุตรของค๊อฎฎ๊อบ แต่แล้วเขารู้สึกลังเลในการจะให้คำตอบ จึงได้แนะนำชายคนนั้นว่า จงไปหาเด็กน้อยคนนั้นเถิด แล้วถามเขา และจงบอกให้ฉันรู้คำตอบด้วย และเขาได้แนะนำให้ไปหามุฮัมมัด บากิร (อ.) และชายคนนั้นก็มาหา เขาได้ถามอิมามบากิร เสร็จแล้วก็ได้นำคำตอบกลับบอกแก่บุตรของอุมัร เขากล่าวว่า แท้จริงพวกเขาเป็นอะฮ์ลุลบัยต์เป็นผู้มีความเข้าใจ
สนทนากับนักปราชญ์ชาวคริสเตียน
อิมามซอดิก (อ.) ได้รายงานว่า เมื่อสมัยที่ตนยังอยู่กับบิดาที่ซีเรีย เมื่อครั้งที่ฮิชามได้เรียกตัวอิมามบากิรไปพบ
วันหนึ่งท่านเห็นว่าในสนามแห่งหนึ่งมีประชาชนรวมกลุ่มกันเพื่อรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อท่านได้ไต่ถามพวกเขาก็ตอบว่า พวกเขากำลังรอคอยครูของพวกเขา ซึ่งในรอบหนึ่งปีจะไม่ออกมาปรากฏตัวเลย นอกจากเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วประชาชน จะถามปัญหาและขอคำวินิจฉัยจากเขา ดังนั้น อิมามบากิรจึงนั่งร่วมกับคนเหล่านั้นด้วยจนกระทั่งผู้รู้ชาวคริสต์ออกมา และเมื่อชาวคริสต์ผู้นั้นได้เห็นท่านอิมามบากิร (อ.) เขาก็ถามว่า ท่านเป็นคนในศาสนาของเราหรือว่าเป็นคนของประชาชาติที่ได้รับความเมตตาเหล่านี้
อิมามบากิร (อ.) ตอบว่า ใช่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนของประชาชาติที่ได้รับความเมตตา
ชาวคริสต์ได้ถามต่อไปอีกว่า เป็นชาวบ้านสามัญหรือเป็นนักปราชญ์
อิมามบากิร (อ.) ตอบว่า ข้าเจ้ามิใช่ชาวบ้านสามัญ
ผู้รู้ชาวคริสต์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ฉันมีคำถามข้อหนึ่ง ดังนั้น พวกท่านเอาหลักฐานจากที่ไนมาอ้างว่า ชาวสวรรค์นั้นกินและดื่มแต่ไม่ขับถ่าย
อิมามบากิร (อ.) ตอบว่า หลักฐานของเราก็คือ ทารกในครรภ์มารดาก็รับประทานอาหาร แต่ไม่ขับถ่าย
ผู้รู้ชาวคริสต์ จงบอกข้าพเจ้ามาซิว่าเวลาตรงช่วงไหนที่มิได้เป็นเวลาของกลางคืน และมิได้เป็นเวลาของกลางวัน
อิมามบากิร (อ.) ช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการปรากฏของแสงรุ่งอรุณกับตอนดวงอาทิตย์ขึ้น อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้ถูกทดทดสอบกำลังตื่นตัว และคนชี้เขากำลังนอนหลับใหล
ชาวคริสต์รู้สึกตกใจในคำตอบของอิมามบากิร (อ.) ดังนั้น เขาต้องการจะป้อนคำถามข้อใหม่ต่อไปโดยกล่าวว่า จงบอกข้าพเจ้ามาซิ เกี่ยวกับเด็กสองคนที่เกิดมาในวนเดียวกัน แล้วตายในวันเดียวกันคนหนึ่งอายุ 50 ปี ส่วนอีกคนอายุ 150 ปี
อิมามบากิร (อ.) เขาคือ อุเซรกับพี่ชายฝาแฝด เมื่อตอนที่อุเซรอายุได้ 25 ปี เขาได้เดินทางผ่านเมืองอินฏอกีย์ ซึ่งเป็นเมืองร้างที่ปรักหักพัง เขาได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ จะทำใ้เมืองนี้ฟื้นสภาพมีชีวิตชีวาได้อย่างไรหลังจากที่มันได้มีสภาพที่ตายไปแล้ว แล้วอัลลอฮ์ทรงบันดาลให้เขาตายไป 100 ปี ต่อจากนั้นก้ทรงบันดาลให้เขาฟื้นขึ้นมา เขาได้กลับไปยังบ้านเรือนของเขาในสภาพของคนหนุ่ม ในขณะที่พี่ชายของเขาชราภาพไปตามวัย แล้วเขาได้ใช้ชีวิอยู่กับพี่ชายไปอีก 25 ปี ต่อจากนั้นก็ได้ตายไปพร้อมกับพี่ชายในวันเดียวกัน
ผู้รู้ชาวคริสต์รู้สึกทึ่งในความรู้อันกว้างขวางของท่านอิมาม (อ.) ดังนั้น เขาจึงประกาศตัวเข้ารับอิสลามต่อหน้าธารกำนัล บรรดามิตรสหายของเขานับถือศาสนาอิสลามด้วย
ในที่ประชุมของฮิชาม
ฮิชาม บุตรของอับดุลมาลิก ได้ส่งคนติดตามอิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) และอิมามญะอ์ฟัร ซอกดิก (อ.) บุตรชายของท่านไป แล้วนำตัวคนทั้งสองเดินทางจากเมืองมะดีนะฮ์มายังซีเรีย
เป้าหมายของฮิชาม ก็คือ ต้องการสำแดงอำนาจการเป็นกษัตริย์ ดังนั้น อิมามจึงได้เข้าไปหาเขา ในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของกษัตริย์ รายล้อมด้วยบรรรดาองรักษ์ที่ถืออาวุธ และเบื้องหน้าเขาเป็นที่ตั้งสำหรับคนกลุ่มหนึ่งที่ยิงเป้าด้วยดอกธนู เขากล่าวขึ้นว่า โอ้มุฮัมมัด จงยิงเป้าเหล่านี้กับบรรดาผู้อาวุโสในหมู่พวกพ้องของท่านสิ
อิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า แท้จริงฉันแก่เกินไปที่จะยิงได้ อภัยให้ฉันเถิด
ฮิชามคัดค้านทันควัน เขาพยายามหว่านล้อมต่ออิมาม และ่ส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลอุมัยยะฮฺมอบคันธนูให้กับท่านครั้นอิมามรับคันธนูมา แล้วก็หยิบลูกธนูไปประทับ และได้ยิงออกไปตรงจุดศูนย์กลางของเป้าทันที ต่อมาอิมามก็ได้ยิงธนูครั้งที่สองก็เจาะตรงจุดศูนย์กลางเป้าอีก จนกระทั่งถูกตรงเป้าครบทั้ง 9 ดอก
ฮิชามรู้สึกพิศวงในความแม่นยำ และความคล่องแคล่วอย่างมากของท่านอิมาม จึงตะโกนขึ้นว่า โอ้ อบูญะอ์ฟัร ฉันได้เห็นแล้วว่า ท่านคือนักแม่นธนูที่สุุดในหมู่ชาวอาหรับและผู้ที่ไม่ใช่อาหรับ นี่หรือทีท่านพูดว่า ฉันแก่เกินไปที่จะยิงธนูได้
หลังจากนั้นเขาได้นำท่านอิมามเข้ามานั่งด้านขวามือของเขา แล้วกล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด ทั้งชาวอาหรับและผู้ไม่ใช่อาหรับไม่แคล้วจะต้องให้คนเผ่ากุเรชทำหน้าที่ประมุขต่อไป ตราบใดที่ในหมู่พวกเขายังมีคนเก่งอย่างท่านอยู่ ความเก่งของท่านเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ใครหนอที่สอนท่านให้ยิงธนูเช่นนี้ แล้วท่านเรียนเรื่องนี้นานเท่าไร
อิมามบากิร (อ.) ฉันเรียนมาตั้งแต่สมัยที่ยังหนุ่มๆ จากนั้น ฉันก็ทิ้งมันไป
ฮิชาม ฉันไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีใครที่สามารถยิงธนูได้เหมือนกับการยิงเมื่อครู่นี้ ญะอ์ฟัรยิงได้เหมือนการยิงของท่านไหม
อิมามบากิร (อ.) พวกเราคืออะฮ์ลุลบัยต์ เราได้รับการสืบทอดอย่างครบถ้วน และสมบูรณ์ ดังที่อัลลอฮ์ทรงประทานทั้งสองอย่างให้ศาสดาของพระองค์ ดังโองการที่พระผู้ทรงสูงส่งมีดำรัสว่า วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของข้าครบถ้วนแล้วแก่พวกเจ้า และทำให้ความโปรดปรานของข้าสมบูรณ์แก่พวกเจ้า และข้าได้เลือกอิสลามเป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้า
ฮิชามได้กล่าวโต้ด้วยความโกรธจนหน้าแดงว่า พวกท่านรับการสืบทอดความรู้เหล่านี้มาจากไหนกัน ในเมื่อหลังจากมุฮัมมัดแล้วไม่มีศาสดาใดอีก และพวกท่านก็มิใช่บรรดาศาสดา
อิมามบากิร (อ.) ตอบว่า เราได้รับการสืบทอดวิชาการมาจากปู่ของเราคือ อะลี ซึ่งท่านได้กล่าวว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺได้สอนฉันหนึ่งพันวิชาการ และในแต่วิชาการท่านได้เผยให้อีกวิชาการละ 1000 แขนง
ฮิชามนิ่งเงียบทันที พลางครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด หลังจากนั้นได้สั่งให้นำอิมามบากิร (อ.) พร้อมทั้งบุตรชายของท่านกลังเมืองมะดีนะฮฺรวดเร็ว เพราะกลัวว่าประชาชนจะหันเลื่อมใสท่าน
เงินตราสกุลอิสลาม
ได้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันบริเวณชายแดนอาณาจักรอิลามกับอาณาจักรโรมันอยู่เป็นประจำ เพราะจักรพรรดิแห่งโรมพยายามข่มขวัญอับดุลมาลิก บุตรของมัรวาน ด้วยการระงับมิให้เงินเหรียญแก่รัฐบาลอิสลาม ในเมื่อต่างฝ่ายยังไม่ยุติจรกปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ อับดุลมาลิก รู้สึกหวั่นใจมาก เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ไขประการใด จึงเรียกประชุมแกนนำมุสลิม เพื่อหารือกับพวกเขาแต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปแต่ประการใด แต่มีบางคนเสนอแนะว่าให้นำเรื่องนี้มาปรึกษาอิมามบากิร (อ.)
อับดุลมาลิก ได้ส่งคนไปเชิญท่านอิมามมายังเมืองซีเรีย และอิมามก็ได้ตอบรับคำเชิญโดยดี เมื่อปัญหาได้ถูกนำเสนอให้รับทราบอิมามบากิร (อ.) ก็ได้หันไปกล่าวกับอับดุลมาลิก ว่า มันมิได้มีอะไรน่าเป็นห่วงแม้แต่นิดเดียว จงรีบส่งสารนี้ไปให้กษัตริย์แห่งกรุงโรม และบอกเขาว่าจะขอเวลาจากเขาสักหนึ่งปี ในช่วงเวลาระหว่างนี้ท่านก็ส่งสารไปยังบรรดาเจ้าเมืองต่างๆ และสั่งพวกเขาให้รวบรวมทองคำและเงิน จนได้ตามจำนวนที่เห็นว่าเหมาะสม ก็สั่งให้ทำเป็นเหรียญสกุลเงินตราอิสลาม
ต่อจากนั้นท่านอิมามบากิร (อ.) ก็ได้กำหนดน้ำหนักและรูปแบบของเหรียญขึ้นโดยได้สั่งว่าจะต้องเขียนลงบนเหรียญด้านหนึ่งว่า มุฮัมมัด เราะซูลลุลลอฮ์ เสร็จแล้วห้ามซื้อขายด้วยเงินตราของโรมัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจักรพรรดิแห่งโรมก็ไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมายในต่อสู้กับอาณาจักรอิสลามได้
ครั้นเมื่อทำงานเสร็จสิ้น และเหรียญสกุลเงินตราอิสลามได้เผยแพร่ออกไปใช้แล้ว อับดุลมาลิกก็ส่งทหารออกไปดูผลงานเป็นครั้งสุดท้าย ในปัญหาบริเวณชายแดน ซึ่งจักรพรรดิแห่งกรุงโรมไม่มีทางใดที่จะใช้อำนาจทางเศรษฐกิจได้อีก ดังนั้น เขาจึงได้ตัดสินใจให้สั่งเลิกกองทัพ แต่ทว่าเขาก็ได้ตกใจกลัวเหมือกันหลังจากที่ทหารมุสลิมได้ท้าท่ายทหารของเขา
ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า อิมามบากิร (อ.) ได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ของอาณาจักรอิสลามให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู และกลายเป็นว่าพวกเขาได้มีเหรียญที่เป็นเงินตราของตนเองโดยอิสระ ซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของอิสลาม
มิตรสหายของท่านอิมามบากิร (อ.)
สำหรับอิมามบากิร (อ.) นับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เผยแผ่วิชาการและความรู้ในด้านต่างๆ ของสำนักวิชาการแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) หลังจากที่พวกตระกูลอุมัยยะฮ์เปลี่ยนจากท่าที่ ที่สร้างวกฤติการณ์ที่นั่นบ้างที่นี้บ้าง
ในสมัยของอิมามบากิร (อ.) ปรากฎว่าสานุศิษย์ของท่านบางคนเป็นผู้ที่มีบทบาทอันยิ่งใหญ่ในการเผยแผ่วิชาการของอะฮ์ลุลบัยต์ และที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขาได้แก่
1. อะบาน บุตรของตัฆลิบ เขาเป็นคนที่มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมสมัยกับบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ถึงสามสมัย กล่าวคือ เคยเข้าเป็นศิษย์ในสำนักของอิมามซัจญาด (อ.)
และอิมามบากิร (อ.) ขณะเดียวกันได้ติดตามอยู่กับท่านอิมามซอดิก (อ.) แต่ทว่าเขาได้ร่ำเรียนจากอิมามบากิร (อ.) มากกว่า เขาเป็นผู้ปราดเปรื่องทางด้านศาสนบัญญัติ (ฟิกฮฺ์)
วิชาฮะดิษ จริยธรรม ภาษา ตัฟซีร และวิชาหลักไวยากรณ์ภาษาอาหรับ อิมามบากิร เคยพูดกับเขาว่า จงนั่งในมัสญิดมะดีนะฮ์ และจงให้คำวินิจฉัยแก่ประชาชนเพราฉันอยากจะให้คนอย่างท่านปรากฏตัวอยู่ในหมู่พรรคพวกของฉัน
2.ซุรอเราะฮฺ บุตรของอะอ์ยุน อิมามซอดิก (อ.) เคยกล่าวถึงเขาว่า ถ้าหากไม่มีซุรอเราะฮ์ ฉันเชื่อแน่เลยว่าฮะดีษต่างๆ จากบิดาของฉันต้องมลายหายไปหมดสิ้น อิมามได้ขอความเมตตาให้แก่เขาโดยกล่าวว่า ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาแด่ซุรอเราะฮ์ บุตของอะอ์ยุน เถิด เพราถ้าหากไม่มีซุรอเราะฮ์ และสหายของเขาแล้ว บรรดาฮะดีษจากบิดาของฉันก็จะมิได้ถูกศึกษาเล่าเรียนกัน
3. มุฮัมมัด บิน มุสลิม อัซซะกอฟีย์ อิมามซอดิก (อ.) ได้ให้การยกย่องและรักเขามาก หมายความว่า เขาคือหนึ่งในสี่คนที่อิมามซอดิก (อ.) ได้กล่าวถึงพวกเขาไว้ว่า เป็นสี่คนที่ฉันรักมากที่สุด ทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่และได้ตายไปแล้ว อิมามซอดิก (อ.) เคยสั่งบรรดามิตรสหายว่า ให้ยึดถือเขาเป็นหลัก โดยกล่าวว่า เขาได้ฟังฮะดีษจากบิดาของฉันและเป็นที่ยอมรับของท่านมากที่สุดและมุฮมมัด บิน มุสลิมกล่าวว่า ฉันได้ถามบิดาญะอ์ฟัร อัล-บากิร (อิมามบากิร) ถึง 30,000 ฮะดีษ
อิมามซอดิก (อ.) ได้ให้การยกย่องมิตรหายของผู้เป็นบิดา เขาเคยกล่าวว่าถ้าหากมิตรสหายของฉันรับฟัง และเคารพเชื่อฟัง แน่นอน ฉันจะถ่ายทอดให้แก่พวกเขาตามแบบที่บิดาของฉันเคยถ่ายทอดให้แก่มิตรสหายของท่าน แม้จริงมิตรสหายของบิดาของฉัน เป็นเครื่อองประดับของพวกเรา ทั้งในขณะที่มีชีวิตและตายไปแล้ว
อีกคนหนึ่งจากมิตรสหายของท่านอิมามบากิร (อ.) คือ อัล-กุมีตอัลอะวะดีย์ เขาเป็นนักกวีผู้เลื่องชื่อ อิมามบากิร (อ.) เคยกล่าวทุกครั้งที่พบเขาว่า โอ้ อัลลอฮฺ ได้โปรดอภัยโทษให้แก่อัล-กุมีตเถิด
การพลีชีพของท่านอิมามบากิร (อ.)
ถึงแม้ว่าอิมามบากิร (อ.) จะหันมาทางด้านวิลาการและเผยแผ่ศาสนา แต่นักปกครองในตระกูลอุมัยยะฮ์ ก็ไม่สามารถจะทนรับสภาพการดำรงอยู่ของอิมามบากิร (อ.) ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประชาชนได้ตระหนักถึงเกียรติคุณและวิชาการของท่าน บุคลิกภาพทั้งในด้านจริยธรรมและมนุษยธรรมของท่านได้ทำให้ประชาชนนิยมยกย่อง ขณะเดียวกับที่ท่านมีเชื้อสายสืบไปถึงท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ยิ่งทำให้ฐานภาพของท่านมีความยิ่งใหญ่อยู่ในหัวใจของบรรดามุสลิมทั้งหลาย
ฮิชาม ครุ่นคิดถึงการกำจัดอิมามบากิร (อ.) และในที่สุดโอกาสก็ได้อำนวยให้เขาได้จัดการลอบวางยาพิษ อิมามบากิร (อ.) ในวันที่ 7 ซุลฮิจญะฮ์ ฮ.ศ. 114 หลังจากผ่านชีวิตมา 57 ปี ด้วยการเป็นคนมีความสำรวมตนต่อพระผู้เป็นเจ้า แก้ไขปรับปรุงสภาพสังคมและรับใช้อิสลามตลอดทั้งมวลมุสลิม และได้เผยแผ่ความรู้ของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)
ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์