ศัตรูของอิมามอะลีหมายประลองวิชาการกับท่านอิมามบากิร
ศัตรูของอิมามอะลีหมายประลองวิชาการกับท่านอิมามบากิร
บทความนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม เนื่องในวันครบรอบชะฮาดะฮ์ของท่านอิมามมุฮัมมัด อัลบากิร (อะลัยฮิสลาม) ทายาทจากวงศ์วานของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะอาลิฮิวะซัลลัม) ซึ่งตรงกับวันที่ 7 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ปีฮิจญ์เราะฮ์ ศักราชที่ 114
มาตรว่า มีความดีใด ๆ อยู่ในบทความชิ้นนี้ ขอมอบความดีนั้นแก่กัลยาณชนและวีรชนผู้พลีชีพในหนทางปกป้องสัจธรรมตามแนวทางของคัมภีร์อัลกุรอาน – อะฮ์ลุลบัยต์ ครอบครัวผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินของท่านนบี และแด่บิดา – มารดา ผู้ชุบเลี้ยงข้าฯ มาจนเติบใหญ่ อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน
อับดุลลอฮ์ อิบนุนาฟิอ์ สมาชิกจากขบวนการ“เคาะวาริจญ์” มักจะเพ้อรำพันกับประโยคนี้อยู่เสมอ ๆ ว่า “หากฉันรู้ว่าทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีผู้ที่กล้าหาญเผชิญหน้าท้าทายในเชิงวิชาการกับฉัน และกล้าประกาศว่า “อะลี อิบนิอะบีฏอลิบ ได้สังหารชาวนะฮ์รอวาน (พวกเคาะวาริจญ์) อย่างถูกครรลองคลองธรรม และมิได้อยุติธรรมกับพวกเขาแต่อย่างใด ฉันจะรีบควบขี่อูฐบึ่งไปหาเพื่อประลองกำลังในทางความรู้กับเขาทันที”
และแล้ววันหนึ่งได้มีคำพูดที่ย้อนกลับไปยังเขาว่า “ท่านกล้าแม้จะต้องเผชิญหน้ากับทายาทของอะลีกระนั้นหรือ?”
เขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ในท่ามกลางทายาทของอะลี ยังจะมีอาลิม นักวิชาการหลงเหลืออยู่อีกหรือ?”
ผู้ตั้งคำถามจึงกล่าวว่า “นี่คือความโง่เง่าเต่าตุ่นประการแรกของท่านที่คิดว่าทายาทของอะลีไร้ซึ่งวิชาความรู้”
เขาจึงถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นอาลิมจากวงศ์วานของอะลี ณ วันนี้ คือใคร?
คำตอบที่เขาได้รับก็คือ “มุฮัมมัด บุตรอะลี บุตรฮุซัยน์ (อะลัยฮิมุสสลาม)”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อับดุลลอฮ์ อิบนุรอฟิอ์ พร้อมสมาชิกจากขบวนการขวาจัด “เคาะวาริจญ์” จำนวนหนึ่งจึงรีบมุ่งหน้าไปยังนครมะดีนะฮ์ และมุ่งตรงไปยังบ้านของท่านอิมามบากิรทันที
เมื่ออบูบะศีร เศาะฮาบะฮ์ของท่านอิมามบากิรได้แจ้งข่าวว่า มีชายชื่ออับดุลลอฮ์ขอเข้าพบท่านอิมามจึงถามว่า “ผู้ที่ประกาศตนเป็นศัตรูกับฉันและกับปู่ทวดของฉันทั้งยามสาย บ่าย เย็น เขามีธุระกับฉันกระนั้นหรือ?”
อบูบะศีรจึงเรียนท่านว่า “โอ้ บุตรของท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ศ) คนผู้นี้ กล่าวว่า “ถ้าเขารู้ว่า ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยังมีผู้ที่กล้าเผชิญหน้าท้าทายในเชิงวิชาการกับเขา และกล้าประกาศว่า “อะลี อิบนิ อะบีฏอลิบได้สังหารชาวนะฮ์รอวานอย่างถูกครรลองคลองธรรม และมิได้อยุติธรรมกับพวกเขาแล้วไซร้ เขาจะบึ่งไปหาเพื่อประลองกำลังทางความรู้กับคนผู้นั้นในทันที”
ท่านอิมามบากิร (อ) จึงเอ่ยถามว่า “เขามาเพื่อที่จะถกปัญหากับฉันกระนั้นหรือ?”
อบูบะศีร กล่าวตอบว่า “ใช่ครับ”
ท่านอิมาม (อ) จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ให้เขาวางสัมภาระไว้ข้างล่าง แล้วบอกเขาไปว่าให้เขามาใหม่ในวันพรุ่งนี้”
เมื่อวันเวลานัดหมายได้มาถึง อับดุลลอฮ์ อิบนิ นาฟิอ พร้อมสมาชิกชั้นแนวหน้าจากขบวนการเคาะวาริจญ์จึงได้เดินทางไปพบกับท่านอิมามมุฮัมมัด อัลบากิร (เศาะละวาตุลลอฮ์ อะลัยฮิ) ท่านอิมามได้ถือโอกาสเชื้อเชิญบรรดาลูกหลาน – ทายาทของชาวมุฮาญิรีนและอันศอรให้เข้าร่วมในที่ประชุมครั้งนี้ด้วย
หลังจากที่ท่านได้กล่าวสรรเสริญต่อเอกองค์ผู้ทรงเกรียงไกร และกล่าวคำสดุดีแด่ศาสนทูตของพระองค์ และกล่าวยืนยันถึงอำนาจการปกครอง – วิลายะฮ์ของครอบครัวผู้เป็นวงศ์วานของท่านนบีแล้ว ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า “โอ้ ทายาทของชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอร ใครที่พอจะประจักษ์ถึงฐานภาพ – คุณสมบัติ – ความประเสริฐของอะลี อิบนิอะบีฏอลิบ (เศาะละวาตุลลอฮ์อะลัยฮิ) ก็จงสาธยายมาตามที่เขารู้เถิด”
พวกเขาต่างได้ลุกขึ้นแจกแจงถึงความประเสริฐของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน ตามความรู้ของแต่ละคน เมื่ออับดุลลอฮ์ อิบนิ นาฟิอ์ ได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยขึ้นบ้างว่า “ฉันก็ทราบถึงความประเสริฐเหล่านี้มาเป็นอย่างดี เช่นกัน ทว่า หลังจากที่อะลียอมจำนนต่อ “ฮุกมัยน์” (1) เขาได้กลายเป็น “กาฟิร” (นะอูซุบิลลาฮ์ มินซาลิก) ทันที” (2)
ท่านอิมามมุฮัมมัด อัลบากิร (อะลัยฮิสสลาม) จึงได้หยิบยกฮะดีษที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงฐานภาพอันสูงส่งของท่านอิมามอะลี (อะลัยฮิสสลาม) ในสงคราม “ค็อยบัร” ว่า
لاعطین الرایة غداً رجلاً یُحبّ اللّهَ و رسولّه و یحبّه اللّهُ و رسولُه كرّارٌ غیرُ فرّار لاٍیرجع حتى یفتحَ اللّه على یدیه
“ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ในวันพรุ่งนี้ ฉันจะมอบธงชัยให้กับบุคคลที่รักอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ และอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ก็รักเขาเช่นกัน เขาจะเผชิญหน้า (ฆ่าฟันศัตรูของพระองค์) โดยไม่ถอยหนี (แม้แต่ก้าวเดียว) จนกว่าอัลลอฮ์จะประทานชัยชนะโดยผ่านมือทั้งสองของเขา”
หลังจากนั้น ท่านอิมามบากิร (อะลัยฮิสสลาม) ได้เอ่ยถามอับดุลลอฮ์ว่า “ท่านมีข้อคัดค้านอย่างไรกับฮะดีษนี้หรือ?
เขาจึงตอบไปว่า “ไม่มีข้อสงสัยในความถูกต้องแท้จริงของฮะดีษดังกล่าว ทว่า อะลีได้กลายเป็น “กาฟิร” (นะอูซุบิลลาฮ์ มินซาลิก) ในเวลาต่อมา”
ท่านอิมามจึงกล่าวขึ้นว่า “ขอให้มารดาของท่านประสบกับความสูญเสียท่านเถิด ในเมื่ออัลลอฮ์ทรงรักอะลี พระองค์ไม่ทรงรอบรู้หรือว่าวันหนึ่งข้างหน้าอะลีจะต้องเข่นฆ่าสังหารพวกนะฮ์รอวาน
ถ้าท่านตอบว่า “ไม่” เท่ากับท่านเป็น “กาฟิร” (ผู้ปฏิเสธ) นั่นเอง”
เขาจึงตอบว่า “พระองค์ทรงรอบรู้อย่างแน่นอน”
ท่านอิมามจึงเอ่ยถามอีกว่า “พระองค์ทรงรอบรู้ด้วยหรือไม่ว่า อะลีจะเชื่อฟังปฏิบัติตาม (ฏออะฮ์) หรือว่าจะฝ่าฝืน (มะอ์ศิยะฮ์) ต่อพระบัญชาของพระองค์?”
เขาจึงตอบว่า “อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ว่าอะลีจะต้องอิฏออะฮ์ต่อพระบัญชาของพระองค์”
อิมามจึงกล่าวกับเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงลุกขึ้นและออกไปในสภาพของผู้พ่ายแพ้ปราชัยเถิด”
อับดุลลอฮ์ อิบนิ นาฟิอ์ จึงลุกขึ้นพลางอ่านโองการต่อไปนี้ว่า
حتى یتبین لكم الخیط الابیض من الخیط الاسود من الفجر
“จนกระทั่งแสงสีขาวของรุ่งอรุณได้ถูกจำแนกจากแสงสีดำ (ในยามอัศดง)” (3)
الله اعلم حیث یجعل رسالته
“อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งว่าพระองค์จะทรงประทานสาส์น (แก่บุคคลที่คู่ควรเท่านั้น)” (4)
การกล่าวคำพูดเช่นนี้ แสดงถึงการยอมจำนนต่อความรอบรู้ทางวิชาการของท่านอิมามมูฮัมมัด อัลบากิร (อ) ผู้เป็นทายาททางวิชาการของท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อลฯ)
เชิงอรรถ
(1. )คำตัดสินชี้ขาดระหว่างสองผู้พิพากษา ในที่นี้ หมายถึง เหตุการณ์ที่ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อลัยฮิสสลาม) ได้ทำ “สงครามศิฟฟีน” กับฝ่ายมุอาวิยะฮ์และอัมร์ บิน อาศ จนกระทั่ง ฝ่ายหลังเพลี่ยงพล้ำและใช้กลอุบายแสร้งทำเป็นยอมจำนนต่อฝ่ายท่านอิ มามอะลี ในขั้นตอนแรกพวกเขาได้สั่งให้ทหารฝ่ายเมืองชามของตนใช้หอกดาบเสียบคัมภีร์อัลกุรอานชูขึ้นเหนือหัว ซึ่งเป็นเล่ห์เพทุบายว่าพวกเขายึดคัมภีร์ของพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น ท่านอิมามได้สั่งให้ลุยรบเพื่อเอาชนะขั้นแตกหักกับฝ่ายมุอาวิยะฮ์ แต่พวกเคาะวาริจญ์ที่ร่วมรบกับท่านด้วยนั้นได้เข้าขัดขวางและต่อต้านโดยยืนยันประโยคคำถามที่ว่า ท่านจะทำสงครามกับคัมภีร์ของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ? ซึ่งท่านอิมามได้พยายามแจกแจงว่านั่นเป็นแค่เล่ห์เหลี่ยมของสุนัขจิ้งจอก เยี่ยงมุอาวิยะฮ์และอัมร์เท่านั้น ทว่า ฉันคือ “กุรอานุลนาฏิก” (กุรอานที่พูดได้ – กุรอานเดินได้ ดังที่ท่านนบีมูฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้วจนะเอาไว้ในต่างกรรมต่างวาระว่า
علي مع القرأن والقرأن مع علي
“อะลีจะอยู่เคียงคู่กับกุรอาน และกุรอานจะอยู่เคียงคู่กับอะลี หรือ
علي مع الحق والحق مع علي
อะลีจะอยู่เคียงคู่กับสัจธรรม และสัจธรรมจะอยู่เคียงคู่กับอะลี)
ทว่า พวกเคาะวาริจญ์ไม่ยินยอมและพยายามกดดันจนท่านต้องยอมยุติสงครามในที่สุด หลังจากนั้น จึงได้มีการตกลงว่าจะส่งตัวแทนของแต่ละฝ่ายๆ ละหนึ่งคนเพื่อเจรจาทำสัญญาสงบศึก ซึ่งฝ่ายท่านอิมามอะลี (อะลัยฮิสสลาม) ได้เสนอท่าน “อิบนุอับบาส” ทว่าพวกเคาะวาริจญ์คัดค้าน และพยายามยัดเยียด “อบูมูซา อัชอะรีย์” ชายชราที่ไม่ประสีประสาต่อเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองของมุอาวิยะฮ์ ส่วนฝ่ายมุอาวิยะฮ์ ได้ส่ง “อัมร์บิน อาศ” ผู้เปรียบเสมือนสุนัขจิ้งจอกเป็นตัวแทน ในการเจรจาครั้งนั้น “อบูมูซา อัชอะรีย์” เป็นฝ่ายเริ่มต้นขึ้นกล่าวกับประชาชนบนมินบัรของมัสญิดกูฟะฮ์ หลังจากนั้น เขาได้กล่าวว่า “ฉันขอประกาศกับท่านทั้งหลาย ณ ที่นี้ว่า ฉันขอตัดสินถอดถอนอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ ออกจากตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของมวลมุสลิม เหมือนดั่งที่ฉันได้ถอดแหวนออกจากนิ้วของฉัน” แล้วเขาได้ถอดแหวนออกจากนิ้วเพื่อแสดงให้ประชาชนดู หลังจากที่ชายชราผู้นี้ลงจากมินบัร ทีนี้ก็เป็นโอกาสของ “อัมร์ บิน อาศ” เขาได้ขึ้นมินบัรและกล่าวกับประชาชนว่า “ฉันขอประกาศว่าฉันขอถอดถอนมุอาวิยะฮ์ออกจากตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ เสมือนที่ฉันกำลังถอดแหวนออกจากนิ้วมือของฉันเช่นกัน ทว่า ..... ณ บัดนี้ ฉันขอแต่งตั้งเขา (มุอาวิยะฮ์) ให้เข้ารับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์อีกครั้ง เสมือนที่ฉันกำลังสวมใส่แหวนเข้าสู่นิ้วเดิมของฉัน” พร้อมกับสาธิตการถอดแหวนและสวมแหวนประกอบคำพูดของตน และนี่คือ เศษเสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสมมของฝ่ายที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับอะฮ์ลุลบัยต์ผู้เป็นทายาทและครอบครัวของท่านศาสนทูตแห่งอิสลาม
(2. )พิจารณาจากบทเรียนและวงล้อหน้าประวัติศาสตร์ คำฟัตวาทำนองนี้ ลัทธิวะฮาบีย์ได้เลียนแบบมาจากพวกเคาะวาริจญ์ที่หลุดโลกนั่นเอง
(3.) อัลกุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 187
(4.) อัลกุรอาน บทอัลอันอาม โองการที่ 124
บทความโดย สายธารพิสุทธิ์
ขอขอบคุณเว็บไซต์ islamichomepage