อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 11]ตอน. อัล-อิศมะฮ์ (ความบริสุทธิ์ปราศจากบาป)ของบรรดาอิมาม อ.
อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 11]ตอน. อัล-อิศมะฮ์ (ความบริสุทธิ์ปราศจากบาป)ของบรรดาอิมาม อ.
โดย เชคอันศอร เหล็มปาน
มุสลิมชาวชีอะห์เชื่อถือว่า อิมามนั้นเหมือนกับท่านนบี ศ. ตรงที่จำเป็นต้องมีสภาพมะอฺศูม (ถูกปกป้องให้ปลอดพ้นจากความบาป ปลอดพ้นจากความชั่วช้าทุกประการ ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย) นับตั้งแต่ยังเป็นทารก จนกระทั่งตาย จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ขณะเดียวกันก็จำเป็นจะต้องมีสภาพมะอฺศูมพ้นจากความเผลอไผล ความผิดพลาด และการลืมเลือน เพราะบรรดาอิมามคือผู้พิทักษ์รักษาบทบัญญัติ และเป็นผู้ดำรงตนให้อยู่ในหลักการนั้น
และหลักฐานที่ทำให้เราเชื่อถือว่า บรรดานบี ศ. มีสภาพอิศมะฮ์(ถูกปกป้องให้ปลอดพ้นจากความบาป ปลอดพ้นจากความชั่วช้าทุกประการ ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย) นั้น คือหลักฐานตัวเดียวกันที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องสภาพอิศมะฮ์ของบรรดาอิมาม โดยไม่มีการแบ่งแยกแต่อย่างใดเลย
ข้อพิสูจน์ถึงความเป็นมะฮ์ซูมของบรรดาอิมาม อ.ที่ระบุในอัลกุรอ่าน
พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัล-อะซาบ ว่า :
« إِنَّما يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنْكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَ يُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيراً »
[33:33]อันที่จริงแล้ว อัลลอฮ์ประสงค์จะขจัดความมลทินออกไป ก็เพียงแต่จากพวกสูเจ้าเท่านั้น โอ้ อะฮ์ลุลบัยต์ และปรารถนาที่จะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง
และแน่นอนว่า “อะห์ลุลบัยต์” ในโองการนี้หมายถึง ครอบครัวท่านศาสดา ศ. นั่นคือท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ อ. และบรรดาอิมามแห่งวงศ์วานของท่านร่อซูลฯ ดังนั้นถ้าหากการขจัดมลทินอันหมายถึงความชั่วต่าง ๆ ทั้งหมดให้พ้นออกไป และการชำระขัดเกลาให้สะอาดปราศจากความบาปทุกประการ[التطهیر من کل الذنوب] มิได้หมายความถึง สภาพอิศมะฮ์ แล้วมันจะหมายความว่าอย่างไร ?!!
อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงมีโองการในซูเราะห์อัล-อะอ์รอฟ ว่า
إِنَّ ٱلَّذِينَ ٱتَّقَوْاْ إِذَا مَسَّهُمْ طَٰٓئِفٌ مِّنَ ٱلشَّيْطَٰنِ تَذَكَّرُواْ فَإِذَا هُم مُّبْصِرُونَ
[7:201]แท้จริง บรรดาผู้ที่ยำเกรงนั้น ในเมื่อส่วนหนึ่งจากชัยฏอนมาสัมผัสพวกเขา พวกเขาจะรำลึกได้เมื่อนั้นพวกเขาจะเป็นผู้มองเห็นอย่างชัดเจน
ดังนั้น เมื่อผู้ศรัทธาที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ซ.บ. พระองค์ยังทรงคุ้มครองเขาให้พ้นจากแผนการของชัยฏอนที่พยายามจะเอาชนะเขา และจะทำให้เขาหลงผิด กล่าวคือเขารำลึกได้และมองเห็นสัจธรรมดังนั้นเขาจึงปฏิบัติตามสัจธรรม แล้วจะเป็นเช่นไรกับบุคคลที่อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงคัดเลือกพวกเขาไว้ และขจัดมลทินบาปให้พ้นไปจากพวกเขา และทรงชำระขัดเกลาพวกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์ ?
พระองค์ทรงกล่าวไว้ในซูเราะห์ฟาฎีร ว่า
ثُمَّ أَوْرَثْنَا ٱلْكِتَٰبَ ٱلَّذِينَ ٱصْطَفَيْنَا مِنْ عِبَادِنَا ۖ
[35:32]หลังจากนั้น เราได้มอบมรดกแห่งคัมภีร์ให้ตกทอดไปยังบรรดาผู้ที่เราได้คัดเลือกไว้ จากบรรดาปวงบ่าวของเรา
และผู้ซึ่งอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงคัดเลือกไว้นั้นจะต้องไม่สงสัยเลยว่า เขาคือผู้ได้รับการคุ้มครองให้พ้นจากความผิดพลาด และโองการเดียวกันนี้เองที่ท่านอิมามริฎอ อ. หนึ่งในบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ ได้นำมาอ้างกับบรรดานักปราชญ์ที่ค่อลีฟะฮ์ มะอ์มูน บินฮารูน ในตระกูลอับบาซียะฮฺเรียกมาประชุม
ท่านได้ยืนยันให้บรรดานักปราชญ์เหล่านั้นยอมรับว่า “บรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ อ.” (أی أئمه أهل البیت) นั่นเอง คือกลุ่มบุคคลที่ถูกหมายถึง ตามความหมายของโองการนี้ และนั่นก็คือว่า อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงคัดเลือกพวกเขาเหล่านั้น และทรงมอบมรดกทางวิชาการแห่งคัมภีร์ให้ตกทอดมายังพวกเขา ซึ่งบรรดานักปราชญ์เหล่านั้นก็ได้ยอมรับต่อท่านในเรื่องนี้(จาก “อัล-อุดดุลฟะรีด” ของอิบนุ อับดุร็อบบะฮฺ เล่ม 3 หน้า 42)
ตัวอย่างบางประการเหล่านี้จากโองการอัล-กุรอาน เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีโองการ อื่นๆ อีกมากที่ให้ความหมายถึงสภาพอิศมะฮ์ของบรรดาอิมาม เช่น โองการที่ว่า
أَئِمَّةً يَهْدُونَ بِأَمْرِنَا
“บรรดาอิมามนั้น พวกเขาจะชี้นำไปตามคำสั่งของเรา”
และอื่นๆ อีก แต่เราถือว่าเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว เพราะต้องการที่จะเสนอเพียงสังเขป
ข้อพิสูจน์ถึงความเป็นมะฮ์ซูมของบรรดาอิมาม อ.ที่ระบุในซุนนะห์
หลังจากเสนอตัวบทจากอัล-กุรอานอันทรงเกียรติแล้ว ก็ขอให้ท่านพิจารณาดูในซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ. ต่อไป
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ได้กล่าวว่า
يا أيُّهَا النّاسُ ! إنّي قَدتَرَكتُ فيكُم ما إن أخَذتُم بِهِ لَن تَضِلّوا : كِتابَ اللّهِ ، وعِترَتي أهلَ بَيتي
سنن الترمذى : ج ۵ ص ۶۶۲ ح ۳۷۸۶
“โอ้ประชาชนเอ๋ย แท้จริงฉันได้ละทิ้งไว้ในหมู่พวกท่านถึงสิ่งที่ถ้าหากพวกท่านยึดถือไว้ พวกท่านก็จะไม่หลงผิดอย่างเด็ดขาด นั่นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และเชื้อสายของฉันแห่งอะฮ์ลุลบัยตฺของฉัน”
ดังที่ท่านได้เห็นมาแล้วอย่างแจ่มชัดว่า นี่คือหลักฐานที่แสดงว่าบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ นั้น คือผู้ได้รับการปกป้องให้พ้นจากความผิดบาป
1.เพราะเหตุว่า คัมภีร์ของอัลลอฮ์ ซ.บ. เป็นสิ่งที่ไม่มีความผิดพลาดใดกล้ำกลาย ไม่ว่าจากทางเบื้องหน้า และไม่ว่าจากทางเบื้องหลังก็ตาม เพราะนั่นคือพจนารถของ อัลลอฮ์ ซ.บ. และผู้ใดก็ตามสงสัยในเรื่องนี้เท่ากับเขาเป็นผู้ปฏิเสธศาสนา
2.เพราะเหตุว่าผู้ยึดถือสิ่งทั้งสองนี้ (คัมภีร์และเชื้อสายนบี) จะปลอดภัยจากความหลงผิด ดังนั้นฮะดีษนี้จึงเป็นหลักฐานที่แสดงว่า ทั้งคัมภีร์อัล-กุรอาน และเชื้อสายของท่านนบี ศ. นั้น ไม่บังควรแก่สิ่งทั้งสองที่จะมีความผิดพลาด
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ศ. ได้กล่าวว่า
إنَّما مَثَلُ أهلِ بيتي فيكم كمَثَلِ سفينةِ نوحٍ مَن ركِبها نجا و مَن تَخَلّفَ عَنها غَرِقَ
“อันที่จริงแล้ว อุปมาอะฮฺลุลบัยตฺของฉันในหมู่พวกท่าน อุปไมยดังเช่น ลำนาวาของ นบีนูฮฺ ผู้ใดที่ได้ขี่มันก็จะปลอดภัย และผู้ใดที่ขัดขืนจากมัน ก็จะจม” (จาก “มุซตัดร็อก” ของท่านฮากิม เล่ม 2 หน้า 343, “กันซุล-อุมมาล” เล่ม 5 หน้า 95, “อัศ-ศอวาอิก” ของอิบนุฮะญัร หน้า 184)
ตามที่ท่านได้เห็นอย่างชัดเจนมาแล้ว แสดงว่า บรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ อ. นั้น เป็นผู้ถูกปกป้องให้พ้นจากความบาป ด้วยเหตุนี้เอง ทุกคนที่ขึ้นขี่ลำนาวาของพวกเขาจะได้รับความปลอดพ้นและปลอดภัย แต่ทุกคนที่รั้งตัวเองไว้ไม่ยอมขึ้นขี่ลำนาวาของพวกเขาก็จะจมอยู่ในความหลงผิด
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ได้กล่าวว่า
قَالَ رَسُولُ اَللَّهِ صَلَّى اَللَّهُ عَلَيْهِ وَ آلِهِ : مَنْ أَرَادَ أَنْ يَحْيَا حَيَاتِي وَ يَمُوتَ مَمَاتِي وَ يَدْخُلَ اَلْجَنَّةَ اَلَّتِي وَعَدَنِي رَبِّي وَ هُوَ قَضِيبٌ مِنْ قُضْبَانِهِ غَرَسَهُ بِيَدِهِ وَ هِيَ جَنَّةُ اَلْخُلْدِ فَلْيَتَوَلَّ عَلِيّاً وَ ذُرِّيَّتَهُ مِنْ بَعْدِهِ فَإِنَّهُمْ لَنْ يُخْرِجُوهُ مِنْ بَابِ هُدًى وَ لَنْ يُدْخِلُوهُ فِي بَابِ ضَلاَلٍ
“ผู้ใดรักที่จะใช้ชีวิตอย่างชีวิตของฉัน และได้ตายอย่างการตายของฉัน และได้เข้าสวรรค์ที่พระผู้อภิบาลของฉันได้สัญญากับฉันไว้ นั่นคือญันนะฮ์แห่งความเป็นนิรันดร์ เขาก็จงได้ให้การยอมรับในความเป็นผู้นำต่ออะลี และลูกหลานของเขา ภายหลังจากเขา เพราะแท้จริงเขาเหล่านั้นจะไม่นำพวกสูเจ้าออกจากประตูแห่งทางนำ และจะไม่นำพวกสูเจ้าเข้าประตูแห่งความหลงผิด” (จาก “กันซุล-อุมมาล” เล่ม 6 หน้า 155, “มัจญมะอุซ-ซะวาอิด” ของฮัยษุมี เล่ม 9 หน้า 108, “อัล-อิศอบะฮฺ” ของอิบนุฮะญัร, “ญามิอุลกะบีร”, “ตารีค อิบนุอะซากิร” เล่ม 2 หน้า 99, “มุซตัดร็อก” ของท่านฮากิม เล่ม 3 หน้า 128, “ฮิลยะตุล-เอาลิยาอฺ” เล่ม 4 หน้า 349, “อิฮฺกอกุ้ล-ฮัก” เล่ม 5 หน้า 108)
ดังที่ท่านได้เห็นอย่างชัดเจนไปแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่าบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ อ. อันประกอบด้วยท่านอิมามอะลี อ. และเชื้อสายของท่าน ล้วนเป็นผู้ถูกคุ้มครองให้พ้นจากความผิด เพราะพวกเขาจะไม่นำมนุษย์ที่ปฏิบัติตามพวกเขาเข้าประตูแห่งความผิด จึงเป็นที่ควรแก่การยอมรับว่า ผู้ที่มีโอกาสที่จะกระทำความผิดนั้น เป็นไปมิได้สำหรับเขาที่จะให้ทางนำอันถูกต้องแก่มวลมนุษย์ได้
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ได้กล่าวว่า
أَنَا اَلْمُنْذِرُ و عَلِيُّ اَلْهَادِي، و بِكَ يَا عَلِيُّ يَهْتَدِي اَلْمُهْتَدُونَ من بَعْدِي
“ฉันคือผู้ตักเตือนและอะลีคือผู้ชี้นำ โอ้อะลีเอ๋ย ภายหลังจากฉันแล้ว ผู้ที่จะได้รับทางนำก็จะถูกนำทางด้วยเจ้านี้แหละ”
(จาก “ตัฟซีรฏ็อบรี” เล่ม 13 หน้า 108, “ตัฟซีรรอซี” เล่ม 5 หน้า 271, “ตัฟซีร อิบนุกะษีร” เล่ม 2 หน้า 502, “ตัฟซีรเชากานี” เล่ม 3 หน้า 70, “ตัฟซีรซะยูฏี อัดดุรรุล-มันษูร” เล่ม 4 หน้า 45, “ชะวาฮิดุตตัซซีล” เล่ม 1 หน้า 293)
นี่คือฮะดีษอีกบทหนึ่งที่มีความชัดแจ้ง เกี่ยวกับเรื่องอิศมะฮ์ของอิมามอย่างไม่มีความคลุมเครือแต่ประการใดเลยสำหรับผู้มีสติปัญญา
ท่านอิมามอะลี อ. เองก็ยังได้ยืนยันถึงสภาพอิศมะฮ์ของตัวท่านเองและของบรรดาอิมามจากลูกหลานของท่าน ในขณะที่ท่าน อ. ได้กล่าวว่า
فَأَیْنَ تَذْهَبُونَ وَ أَنَّی تُؤْفَکُونَ ؟ وَ الْأَعْلَامُ قَائِمَةٌ وَ الْآیَاتُ وَاضِحَةٌ وَ الْمَنَارُ مَنْصُوبَةٌ؛ فَأَیْنَ یُتَاهُ بکُمْ وَ کَیْفَ تَعْمَهُونَ وَ بَیْنَکُمْ عِتْرَةُ نَبیِّکُمْ ؟ وَ هُمْ أَزمَّةُ الْحَقِّ وَ أَعْلَامُ الدِّینِ وَ أَلْسنَةُ الصِّدْقِ. فَأَنْزلُوهُمْ بأَحْسَنِ مَنَازلِ الْقُرْآنِ وَ رِدُوهُمْ وُرُودَ الْهِیمِ الْعِطَاش. أَیُّهَا النَّاسُ خُذُوهَا عَنْ خَاتَمِ النَّبیِّینَ (صلی الله علیه وآله) “إِنَّهُ یَمُوتُ مَنْ مَاتَ مِنَّا وَ لَیْسَ بمَیِّتٍ وَ یَبْلَی مَنْ بَلِیَ مِنَّا وَ لَیْسَ ببَالٍ”؛ فَلَا تَقُولُوا بمَا لَا تَعْرِفُونَ، فَإِنَّ أَکْثَرَ الْحَقِّ فِیمَا تُنْکِرُونَ وَ اعْذرُوا مَنْ لَا حُجَّةَ لَکُمْ عَلَیْهِ وَ هُوَ أَنَا، أَ لَمْ أَعْمَلْ فِیکُمْ بالثَّقَلِ الْأَکْبَرِ وَ أَتْرُکْ فِیکُمُ الثَّقَلَ الْأَصْغَرَ؟ قَدْ رَکَزْتُ فِیکُمْ رَایَةَ الْإِیمَانِ
“พวกท่านจะไปทางไหนกัน พวกท่านจะแอบอ้างกันเองได้ไฉน ? ในเมื่อวิชาการที่ชัดแจ้งนั้นยืนหยัดอยู่แล้ว และโองการต่างๆ นั้น ก็ชัดแจ้งอยู่แล้ว และดวงประทีปที่ให้แสงสว่างนั้นก็ถูกแต่งตั้งไว้แล้ว ดังนั้น พวกท่านจะหลีกลี้กันไปทางไหน ยิ่งไปกว่านั้น เป็นอย่างไรที่พวกท่านเมินเฉยในขณะที่ระหว่างพวกท่านนั้นยังมีเชื้อสายของนบี ศ. ของพวกท่านอยู่ พวกเขาคือสัญลักษณ์แห่งสัจธรรม และเป็นธงนำของศาสนา และปลายลิ้นเป็นสัจจะ ดังนั้น พวกท่านจงให้การยอมรับพวกเขาในฐานภาพที่ดีงามเยี่ยงฐานภาพของอัล-กุรอาน และจงย้อนกลับไปหาพวกเขาให้เหมือนกับอูฐที่กระหายน้ำย้อนกลับไปหาแอ่งน้ำ โอ้ประชาชนเอ๋ย จงยึดถือสิ่งนี้จากคอตะมุลนะบียีน ศ. ด้วยเถิด แท้จริงท่านได้ตายไปแล้ว
บุคคลใดก็ตามในหมู่พวกเราที่ได้ตายไปแล้ว เขามิได้เหมือนกับคนตายทั่วไป และผู้ใดในหมู่พวกเราที่สูญสลาย ก็มิได้สูญสลายอย่างคนทั่วไป ดังนั้นพวกท่านจงอย่าพูดในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้แจ้ง เพราะแท้จริงส่วนมากของสัจธรรมที่มีอยู่นั้น พวกท่านกลับปฏิเสธ พวกท่านแก้ตัวโดยปราศจากข้อพิสูจน์ใดๆ สำหรับพวกท่าน แต่ฉันเองคือข้อพิสูจน์นั้น ฉันยังมิได้กระทำตามสิ่งสำคัญอันเป็นหลักใหญ่ (อัล-กุรอาน) ในหมู่พวกท่าน แล้วได้ละทิ้งสิ่งสำคัญประการที่รองลงมาไว้ในหมู่พวกท่านกระนั้นหรือ และฉันได้ชูธงแห่งความศรัทธาไว้ในหมู่พวกท่าน”
(จาก “นะฮฺญุล บะลาเฆาะฮฺ” ของท่านอิมามอะลี อ. เล่ม 1 หน้า 155 ท่านเชคมุฮัมมัด อับดุ ได้มีหมายเหตุอธิบายคุฏบะฮฺตอนนี้ว่า บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยต์ อ. นั้นถึงจะตายเป็นมัยยิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว หาใช่มัยยิตไม่)
ผู้มีสติปัญญาคนใดบ้างที่ปฏิเสธสภาพอิศมะฮ์ของบุคคลที่อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงเลือกให้เป็นผู้นำ ?
คำตอบก็คือว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ที่ผู้มีสติปัญญาจะปฏิเสธเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม ผู้มีสติปัญญาจะกล่าวว่า จำเป็นจะต้องมีสภาพอิศมะฮ์เหล่านั้น เพราะผู้ใดก็ตามที่ถูกมอบหมายภารกิจอันสำคัญในด้านการนำและการชี้นำแนวทางที่ถูกต้องแก่มวลมนุษยชาตินั้น ไม่อาจจะเป็นคนธรรมดาที่มักจะมีอาการแสดงออกว่าผิดพลาด และหลงลืม และมิอาจจะเป็นคนที่มากไปด้วยความบาปได้เลย
เพราะจะเป็นที่ปฏิเสธและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของมนุษย์ หากแต่ผู้มีสติปัญญาจะต้องลงความเห็นว่า เขาผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดในสมัยของตน และจะต้องเป็นคนที่มีความเที่ยงธรรมที่สุด มีความกล้าหาญที่สุด และมีความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด นั่นคือคุณสมบัติต่างๆ ที่ถูกวางไว้เกี่ยวกับตัวของผู้นำ และผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือในสายตาของมนุษย์ และเป็นผู้ที่คนทั้งหมดยินดีที่จะให้เกียรติ และแสดงความนับถือต่อพวกเขาเหล่านั้น
และในขั้นต่อมาก็จะให้การเชื่อฟังปฏิบัติตามพวกเขาด้วย โดยปราศจากความเคลือบแคลงและไม่มีความกระอักกระอ่วนใจแต่อย่างใด
ฉะนั้น สภาพอิศมะฮ์ตามทัศนะของมุสลิมชาวชีอะฮ์นั้น หมายถึงผู้ถูกคุ้มครองปกป้องโดยเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า และโดยการพิทักษ์รักษาของพระผู้อภิบาล จึงไม่มีทางที่ชัยฏอนจะเข้าไปยั่วยุเขาได้ และไม่มีทางที่จิตอันถูกควบคุมไว้ด้วยความชั่วจะสามารถเอาชนะสติปัญญาเขาได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในโองการที่ว่า
“บรรดาผู้สำรวมตนนั้นในเมื่อแผนของชัยฏอนมาสัมผัสพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะรำลึกได้ เมื่อนั้น พวกเขาก็จะเป็นผู้มองเห็นสัจธรรม”