เทววิทยาอิสลาม บทเรียนที่ 20
เทววิทยาอิสลาม บทเรียนที่ 20
เตาฮีดตอนที่ 9 :กอฏอ กอดัร - قَضا و قَدَر ]
หัวข้อ : ข้อสงสัยในเรื่อง เตาฮีดอัฟอาลีย์ ประเด็น กอฏอ กอดัร - قَضا و قَدَر
قَضا و قَدَر
“ศรัทธาเรื่องอัล-กอฏอ อัล-กอดาร[กฎลิขิตและสภาวะที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว]”
จากความศรัทธาเรื่อง “เตาฮีดอัฟอาลีย์” และ “เตาฮีดอิซติกลาลีย์” นั้นคือ การกระทำทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นมาจากอำนาจของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว” และ “ผลของการกระทำนั้นอยู่ในอำนาจของพระองค์เพียงผู้เดียว พระองค์ผู้ทรงเป็นเอกเทศในการกำหนดผลของการกระทำทั้งหมด” ทำให้มุสลิมบางส่วนเข้าใจเรื่อง “กอฏอ กอดัร-กฏลิขิตและสภาวะที่ถูกกำหนดแล้ว“ ของอัลลอฮ์ ซ.บ. ผิดเพี้ยนไป และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจำเป็นที่ทุกคนจะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กัน
ความหมาย อัล-กอฏอ อัล-กอดัร[กฎลิขิตและสภาวะที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว]
กอดัร[ قَدَر ] ในทางภาษาหมายถึง “ขนาด” มันเหมือนกับการวางผลไม้บนตาชั่งแล้วถามว่า "มันหนักเท่าไหร่ หรือ ราคาเท่าไหร่"? หมายความว่า "ขนาดน้ำหนัก" และราคาเท่าไหร่ ? หรือเมื่อคุณเห็นเรือบรรทุกสินค้า คุณก็ถามว่า กอดาร ของเรือ มีความจุเท่าใดหรือ...?
เนื่องจากไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถสร้างเหมือนที่พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทรงสร้างได้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงกำหนด "ขนาด" ของสิ่งต่างๆไว้ทั้งหมด ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า :
« الَّذِي خَلَقَ فَسَوَّى * وَالَّذِي قَدَّرَ فَهَدَى »
ผู้ซึ่งทรงสร้างแล้วทรงทำให้สมดุล ผู้ซึ่งกำหนดขนาด[กำหนดสภาวะ] แล้วทรงชี้นำ[อัลอะอ์ลา|2-3]
«وَإِنْ مِنْ شَيْءٍ إِلَّا عِنْدَنَا خَزَائِنُهُ وَمَا نُنَزِّلُهُ إِلَّا بِقَدَرٍ مَعْلُومٍ »
ณ ที่เรานั้น มีคลังของสรรพสิ่ง เราประทานมัลงมาตาม ปริมาณ จำกัดอันเป็นที่รับรู้[อัลฮิจญ์รุ อายะที่ 21]
وَ أَمَّا إِذَا مَا ابْتَلَئهُ فَقَدَرَ عَلَيْهِ رِزْقَهُ فَيَقُولُ رَبىِّ أَهَانَن
แต่เมื่อพระองค์ทรงทดสอบเขา พระองค์ทรงกำหนดปริมาณ(กอดัร)ให้การครองชีพของเขาเป็นที่คับแคบแก่เขา เมื่อนั้นเขาก็จะพูดว่า พระผู้อภิบาลของฉันทรงดูถูกฉัน[อัลฟจญ์รุ อายะที่ 16]
ฉะนั้นจะเห็นว่า คำว่า กอดาร- قَدَرَ จากโองการข้างต้นให้ความหมายว่าการกำหนดขนาด และปริมาณ
ส่วน กอฎอ[ قَضا ] หมายถึง ภาวะที่แน่นอนตายตัว กล่าวคือ เมื่อ “ขนาดหรือ ปริมาณที่จำเป็น-مقدرات لازم” สำหรับการเกิดขึ้นของสิ่งหนึ่งครบถ้วนสมบูรณ์ การเกิดขึ้นของสิ่งนั้นจะมีอย่างแน่นอน สิ่งนี้ก็จะถูกเรียกว่า "กอฏอ-ภาวะที่แน่นอนที่กำหนดโดยพระเจ้า“
และ เมื่อพระเจ้าคือผู้กำหนด ปริมาณ และขนาด ของสรรพสิ่งต่างๆ พระองค์ก็เป็นผู้กำหนดผลลัพธ์ด้วยเช่นกัน
หากคุณเติมน้ำหนึ่งลิตรลงในน้ำอีกหนึ่งลิตร การเกิดน้ำสองลิตรขึ้นย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้น ปริมาณน้ำหนึ่งลิตร+น้ำอีกหนึงลิตร คือ “กอดาร” ส่วนการเกิดน้ำสองลิตรที่แน่นอน คือ กอฎอ
หรือ ความร้อน มี ”กอดาร-ขนาด“ ของมัน และการทนความร้อนของผิวหนัง ,ไม้ หรือเหล็กกล้าก็มี ขอบเขตปริมาณของมันเช่นกันที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดมาแล้ว และเมื่อปริมาณของความร้อนเพื่อการเผาไหม้ได้ถึงจุดสมบูรณ์ตามขนาดของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมา การเผาไหม้ ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เช่น เมื่อเราวางมือบนเทียนไข มือเราก็จะไหม้ แต่หากวางเหล็กกล้า ความร้อนของเทียนไขย่อมทำอะไรเหล็กกล้าไม่ได้ แต่หากเพิ่มความร้อน 800 - 3,000 องค์ศา เหล็กกล้า ก็จะถูกหลอมในบัดดล
ฉะนั้น อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงกำหนด ขนาด และปริมาณ[กอดาร]ของสรรพสิ่งทั้งหมด และพระองค์ก็ทรงกำหนดกฏสภาวะที่แน่นอน[กอฎอ]ขึ้นด้วยเช่นกัน เช่น ความทนทานของเหล็กต่อความร้อนอยู่ใน ”กอดาร-ขอบเขต“ ที่ไม่เกิน 800 องค์ศา ถามว่า ”เมื่อเหล็กถูกหลอมด้วยความร้อน 800 กว่าองค์ศา และกลายเป็นของเหลว สิ่งใดคือสิ่งที่ทำให้เหล็กกล้านี้ ถูกหลอมจนเหลว ระหว่าง อัลลอฮ์ หรือ กฏสภาวะที่แน่นอนที่อัลลอฮ์สร้างขึ้น ?“ โปรดใครควรญอย่างถี่ถ้วน !!!
หรือ มีการพยากรณ์อากาศว่า ฝนจะตกอีก 10 วันข้างหน้าโดยกรมอุตุนิยมวิทยา และฝนก็ตกตามนั้น สิ่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อเงื่อนไขการเกิดฝนครบถ้วนสมบูรณ์ ฝนก็จะตกทันที เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ”กอฎอ กอดารของอัลลอฮ์“
พระองค์ทรงกล่าวถึง กอฎอ ไว้ในโองการหนึ่งจากพระคัมภีร์ ว่า :
بَدِيعُ السَّمَاوَاتِ وَ الْأَرْضِ وَ إِذَا قَضىَ أَمْرًا فَإِنَّمَا يَقُولُ لَهُ كُن فَيَكُون
พระองค์คือผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และเมื่อพระองค์ทรงกำหนดเรื่องใด พระองค์ก็ประกาศิตต่อมันว่า “จงเกิดขึ้น” แล้วมันก็จะบังเกิดในทันที[ซูเราะฮ์ บะกอเราะฮ์โองการที่ 117]
โองการนี้ชี้ให้เห็นว่า “กอฎอ- قَضىَ” ของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระองค์ทรงกำหนดสภาวะสิ่งหนึ่งให้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีสิ่งใดขัดขวางได้ และสิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในทันที
กอฎอ กอดัร ในความเชื่อของกลุ่มต่างๆ
การให้ความหมายที่ต่างกันในรายละเอียดของ “กอฎอ กอดัร” ทำให้นักปราชญ์ ถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มในเรื่องนี้ คือ
กลุ่ม อะชาอิเราะห์ พวกเขาเข้าใจเรื่อง กอฎอ กอดัร แบบ ญับร์
อะชาอิเราะห์ คือกลุ่มบุคคลที่เชื่อปฏิบัติตามแนวคิดของ อะบุล ฮะซัน อัชฮารีย์ ท่านเกิดที่เมืองบัศเราะห์ และเสียชีวิตในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ท่านใช้ชีวิตอยู่ในช่วงปี ฮิจเราะห์ศักราชที่ 260 - 324 ท่านคือหัวหน้าของสำนักคิด อะชาอิเราะห์
ชาวซุนนี สาย อะชาอิเราะห์ พวกเขาเข้าใจเรื่อง กอฎอ กอดัร แบบ ญับร์ นั่นหมายถึง มนุษย์จะกระทำ หรือไม่กระทำในสิ่งใด ก็ไม่ต่างกัน สุดท้ายอะไรที่ต้องเกิดก็จะเกิด เพราะทุกอย่างอัลลอฮ์เป็นผู้กำหนดไว้หมดแล้ว!! และนักปราชญ์เรียกความเชื่อแบบนี้่ว่า “ญับร์”
ความว่า : อาชาอิเราะห์ มีการศรัทธาในกฎแห่งสภาวการณ์ หรือการศรัทธาต่อการกำหนดของอัลลอฮ์(อัลกอฏอ อัลกอดัร)ทั้งทางดีและทางร้าย แบบ ญับร์ นั้นคือ ทุกสภาวะการณ์ทั้งหลายถูกกำหนดมาเป็นกฎอย่างตายตัวและแน่นอน ซึ่งต้องดำเนินไปตามที่กำหนดนั้น
เช่น การดำเนินชีวิตของมนุษย์ถูกกำหนดไว้อย่างเป็นระบบที่แน่นอน ไม่มีใครสามารถฝืนกฎเกณฑ์ดังกล่าวได้ ทุกคนจะต้องดำเนินไปตามกฎสภาวการณ์มนุษย์ต้องประสบกับเหตุให้อารมณ์และจิตใจผันแปรอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ บางจังหวะชีวิตก็ร่ำรวยมหาศาล แต่เผลอไม่นานฐานะก็ยากจนลงมา บางช่วงเวลามีคนนับหน้าถือตาอย่างกว้างขวางและมากมาย แต่ต่อมาก็กลับมีคนเกลียดชังการสลับหมุนเวียนสภาวการณ์เหล่านี้ในชีวิตของมนุษย์นั้น มุสลิมศรัทธาว่าเป็นไปโดยกำหนดของพระองค์อัลลอฮ์ ตะอาลา ทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นไปโดยอำนาจการกระทำของมนุษย์เอง!!!
ชาวซุนนี สาย อะชาอิเราะห์ เชื่อว่า มนุษย์เรานั้น มีเส้นทางหนึ่งอยู่แล้ว สำหรับพฤติกรรมของตนเองทุกคนจะดำเนินไปตามเส้นทางที่ถูกสร้างมาให้กับเขา และเชื่อว่า อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ส่งมะลาอิกะฮ์สององค์ไปยังทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา โดยจะบันทึก เรื่องวาระสุดท้ายของเขา ริซกีของเขา และการงานของเขาไว้อย่างเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะเป็นคนเลวหรือคนดี!!!
حَدَّثَنَا رَسولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عليه وسلَّمَ -وهو الصَّادِقُ المَصْدُوقُ- قالَ: إنَّ أحَدَكُمْ يُجْمَعُ خَلْقُهُ في بَطْنِ أُمِّهِ أرْبَعِينَ يَوْمًا، ثُمَّ يَكونُ عَلَقَةً مِثْلَ ذلكَ، ثُمَّ يَكونُ مُضْغَةً مِثْلَ ذلكَ، ثُمَّ يَبْعَثُ اللَّهُ مَلَكًا فيُؤْمَرُ بأَرْبَعِ كَلِمَاتٍ، ويُقَالُ له: اكْتُبْ عَمَلَهُ، ورِزْقَهُ، وأَجَلَهُ، وشَقِيٌّ أوْ سَعِيدٌ،
الراوي : عبدالله بن مسعود | المحدث : البخاري | المصدر : صحيح البخاري
الصفحة أو الرقم: 3208 | خلاصة حكم المحدث : صحيح
เมื่อทุกคนฟังแล้วคงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับข้าพเจ้า ที่มีความรู้สึกขัดแย้งอยู่เสมอระหว่างความเชื่อเหล่านี้กับสติปัญญาและส่วนลึกภายในจิตใจของข้าพเจ้าที่เป็นไปในเรื่องความยุติธรรมของอัลลอฮ์ ในลักษณะที่ว่า เป็นได้อย่างไรที่พระองค์ทรงบังคับให้พวกเขามีพฤติกรรมหนึ่ง แล้วพระองค์มิได้สอบสวนพวกเขาในเรื่องนั้น และจะทรงลงโทษพวกเขาโดยสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ในวิถีชีวิตของพวกเขา และกำหนดให้พวกเขาเป็นอย่างนั้น!!!
“เป็นไปได้อย่างไรว่า อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงกำหนดให้บ่าวของพระองค์ประพฤติกรรมชั่ว ต่อจากนั้นแล้ว พระองค์ก็นำเขาเข้าสู่นรกญะฮันนัม ?”
ในขณะที่เราเชื่อตามคำสอนแห่งคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ว่า
{ إِنَّ اللَّهَ لَا يَظْلِم النَّاسَ شَيْئًا وَلَكِنَّ النَّاسَ أَنْفُسَهُمْ يَظْلِمُونَ }
“แท้จริงอัลลอฮฺมิทรงอธรรมต่อมนุษย์สักสิ่งเดียว แต่มนุษย์เองที่อธรรมต่อตัวของพวกเขา”(ยูนุซ / 44)
{ فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًا يَرَهُ وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ}
“ดังนั้นผู้ใดที่กระทำความดี แม้เพียงธุลีหนึ่งเขาก็จะได้เห็นและผู้ใดที่กระทำความชั่วเพียงธุลีหนึ่ง เขาก็จะได้เห็น” (อัซ-ซัลซะละฮฺ / 7-8)
ใช่แล้ว ไม่ได้เพียงข้าพเจ้าคนเดียว แต่มวลมุสลิมส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตอยู่กับความบกพร่องทางความคิดอันนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เราจะพบว่า บรรดาปราชญ์อาวุโส เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องอัลกอฏอ อัลกอดัรพวกเขาจะไม่มีคำตอบที่ควรแก่การยอมรับแม้ตัวของเขาเอง ก่อนที่จะทำให้คนอื่นๆ เกิดการยอมรับ
หากมีคนถามพวกเขา ก็จะได้รับคำตอบว่า นี่คือเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปศึกษา แต่จำเป็นสำหรับมุสลิมที่จะต้องเชื่อถือในเรื่องกอฏอ กอดัร ทั้งในด้านความดีและความชั่ว และให้ถือว่า สิ่งเหล่านี้มาจากอัลลอฮ์ ซ.บ.” แล้วเขาก็จะบอกว่าห้ามถามต่ออีก !!
และแน่นอนสำหรับข้าพเจ้าแล้ว ถือว่า คำสอนเรื่อง กอฎอ กอดัร ญับรีย์ แบบ อาชาอิเราะห์ ย่อมไม่ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง เพราะ “เป็นไปได้อย่างไรว่า อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงกำหนดให้บ่าวของพระองค์ประพฤติกรรมชั่ว ต่อจากนั้นแล้ว พระองค์ก็นำเขาเข้าสู่นรกญะฮันนัม ?!!“
▪️ กลุ่ม “มุฮ์ตะซิละฮ์” เข้าใจ กอฏอ กอดัรของอัลลอฮ์ แบบ “ตัฟวีฎ”
กลุ่มแนวคิด “มุฮ์ตะซิละฮ์” คือกลุ่มบุคคลที่เชื่อศรัทธาตาม อะบู หุซัยฟะฮ์ วาซิล บิน อะฏออ์ (ฮ.ศ.80-131) และ เขาผูนี้ คือผู้ก่อตั้งสำนักคิด มุอตะซิละฮ์ นี้ขึ้นมา
ชาวซุนนี่ห์ที่มีแนวคิดแบบ “มุฮ์ตะซิละฮ์” พวกเขาเชื่อเรื่อง “กอฎอ กอดัร” ของ อัลลอฮ์ แบบ “ตัฟวีฎ” นั่นคือ ความเชื่อที่ตัดขาดจากอำนาจการอภิบาลของอัลลอฮ์ ซ. บ. อย่างสิ้นเชิง
ความว่า : เมื่อชาว อะชาอิเราะห์ เชื่อถือว่า การกระทำทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือชั่วล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น ไม่มีผู้กระทำอื่นใดนอกจากพระองค์ ซึ่งก็หมายความว่าตราบใดที่พระองค์ไม่ทรงลิขิต ก็จะไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นเลย และมนุษย์ก็ไม่มีสิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจ และการกระทำของตัวเอง เป็นได้แค่่เพียงรอรับผลที่พระเจ้าได้ลิขิตไว้แล้ว และนั้นเสมือนว่า ทำให้ชาว มุอ์ตะซิละฮ์ หวั่นเกรงว่า ถ้าหากยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ลิขิตทุกความดีความชั่ว จะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่า “การตอบแทนในสวรรค์และการลงทัณฑ์ในนรกล้วนขัดต่อความยุติธรรมของพระองค์” ทำให้กลุ่มนี้ปฏิเสธ เตาฮีด อัฟอาลีย์ และถือว่าการกระทำของแต่ละคนล้วนเกิดขึ้นโดยมนุษย์ผู้กระทำเท่านั้น และไม่เกี่ยวข้องใดๆกับพระองค์อัลลอฮ์ทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้การตอบแทนและลงทัณฑ์มนุษย์สอดคล้องกับหลักความยุติธรรมของพระองค์
หากความเชื่อของ มุอ์ตะซิละฮ์ ในเรื่องที่ว่า มนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือก (อิคติยาร)อย่างสมบรูณ์ ไม่ต้องพึ่งพิงพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด และเชื่อว่า หากมนุษย์ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว มันต้องได้ผลลัพธ์อย่างแน่นอน และผลลัพธ์แห่งความสำเร็จนี้ ก็มาจากมนุษย์เอง โดยเลือกปฏิเสธผลลัพธ์แห่งความสำเร็จว่ามาจากอัลลอฮ์ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่เข้ามาแทรกแซงในการกระทำของมนุษย์ อีกเลย
[ข้อโต้แย้ง]แต่หากเราพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์หรือผลลัพธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น แม้บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์เลือกกระทำเองแล้ว และตั้งใจกระทำมันอย่างดี แต่ผลลัพธ์ในสิ่งนั้นกลับยังไม่เกิดขึ้น หรือยังไม่ได้รับผลจากการกระทำนั้นๆตามที่คาดหวังให้มีได้ เช่น สมมุติว่าบุคคลหนึ่ง ขยันขันแข็งในการทำงานอย่างหนักเพื่อหวังความมั่งคั่ง แต่เขาอาจยังคงจนอยู่เหมือนเดิม ไม่ร่ำรวยเหมือนบางคน หากพิจารณาจากตรรกะทั่วไป “เหตุเป็นเช่นใดผลของมันย่อมเป็นเช่นนั้น” แต่ข้อเท็จจริงในชีวิตมนุษย์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ทำไม ?!!!!
เพราะ กรณีข้อสมมติฐานข้างต้น บุคคลที่ทำงานหนักทุกคนกลับไม่ใช่บุคคลที่ร่ำรวยทุกคน เราจึงเห็นได้ว่าความเชื่อว่ามนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือกและรับผลของมันเองอย่างสมบูรณ์ โดยพระเจ้าไม่ได้เข้าแทรกแซงใดๆ จึงเป็นทัศนะที่ขัดกับความเป็นจริง เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
ข้อเท็จจริงนี้เอง กลับทำให้ มนุษย์สามารถรับรู้ได้ว่า อำนาจในการเลือกและผลของมันนั้น แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตนาของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว แต่อำนาจที่แท้จริงนั้นเป็นของพระองค์ผู้ทรงอภิบาล ทรงควบคุมและทรงอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ต่างๆเหล่านั้น
▪️ กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มชาวชีอะฮ์ ที่เข้าใจ “กอฏอ กอดัร” ของอัลลอฮ์ แบบสายกลาง
ส่วนชาวชีอะฮ์ เชื่อว่า การตัดสินใจของมนุษย์อยู่ภายใต้การตัดสินใจของอัลลอฮ์ ซึ่งแม้ว่ามนุษย์จะไม่อาจกระทำการใดๆได้เลยหากพระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่ก็สามารถชี้แจงได้ว่า พระองค์เลือกที่จะให้อิสระแก่มนุษย์ในระดับหนึ่งภายใต้ฤทธานุภาพอันไพศาลของพระองค์ ทำให้สามารถชมเชยหรือตำหนิการกระทำมนุษย์ได้
ความว่า :
อัลกอฏอ – อัลกอดัร เป็นหลักความเชื่อที่ไม่มีความคลางแคลงใจในอิสลาม ดั่งที่ปรากฏทั้งในอัล-กุรอาน ซุนนะฮ์ของท่านศาสดา ศ. และสติปัญญาเองให้การสนับสนุนสิ่งนี้ไว้ แต่สาระสำคัญอยู่ตรงการให้ความหมายที่ถูกต้องของ กอฏอ และ กอดัร ต่างหาก
ท่านอิมามอะลี อ. ได้อธิบายเรื่องนี้อย่างชัดแจ้งและสมบูรณ์ที่สุด โดยที่ท่านได้กล่าวกับคนที่ถามท่านถึงเรื่อง “อัลกอฏอ-อัลกอดัร ว่า
وَيْحَكَ! لَعَلَّكَ ظَنَنْتَ قَضَاءً لاَزِماً، وَقَدَراً حَاتِماً، وَلَوْ كَانَ ذَلِكَ كَذلِكَ لَبَطَلَ الثَّوَابُ والعِقَابُ، وَسَقَطَ الْوَعْدُ وَالْوَعِيدُ. إِنَّ اللهَ سُبْحَانَهُ أَمَرَ عِبَادَهُ تَخْيِيراً، وَنَهَاهُمْ تَحْذِيراً، وَكلّفَ يَسِيراً، وَلَمْ يُكلّفْ عَسِيراً، وَأَعْطَى عَلَى الْقَلِيلِ كَثِيراً، وَلَمْ يُعْصَ مَغْلُوباً، وَلَمْ يُطَعْ مُكْرَهاً، وَلَمْ يُرْسِلِ الأَنْبِيَاءَ لَعِباً، وَلَمْ يُنْزِلِ الْكِتَابَ لِلعِبَادِ عَبَثاً، وَلاَ خَلَّقَ السَّمَاوَاتِ وَالأرْضَ وَمَا بَيْنَهُمَا بَاطِلاً: ذَلِكَ ظَنُّ الَّذِينَ كَفَرُوا، فَوَيْلٌ لِلَّذِينَ كَفَرُوا مِنَ النَّار
“ท่านเอ๋ย บางทีท่านอาจคิดว่า กฎสภาวะ คือ การกำหนดอย่างตายตัว การจำกัดอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าหากมันเป็นอย่างนั้น ก็เท่ากับว่ารางวัลการตอบแทน และการมีบทลงโทษ ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ การสัญญาและการวางข้อผูกพันย่อมหมดความหมาย แท้จริงอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงบัญชาปวงบ่าวของพระองค์ ในรูปแบบที่ให้อิสระ ทรงห้ามพวกเขาอย่างคาดโทษ ทรงมอบภาระให้แต่สิ่งที่ง่ายดายและไม่ทรงมอบภาระในสิ่งที่ลำบาก ทรงประทานแก่สิ่งเล็กน้อยโดยสิ่งที่มากมาย ไม่ทรงละเมิดต่อผู้พ่ายแพ้ ไม่ทรงรับการฎออัตอย่างผู้ขัดขืน ไม่ส่งบรรดานบีอย่างละเล่น ไม่ประทานคัมภีร์แก่ปวงบ่าวอย่างไร้สาระ ไม่สร้างฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสองอย่างไร้สาระ “นี่คือสิ่งที่บรรดาผู้ปฏิเสธสงสัย ดังนั้น ความวิบัติจึงประสบแด่บรรดาผู้ปฏิเสธด้วยไฟนรก…”
นับว่าเป็นการอธิบายอย่างชัดเจนยิ่งนัก เป็นคำพูดที่สื่อความหมายล้ำลึกและ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงที่สุดสำหรับชาวมุสลิมจะต้องยอมรับว่า การงานของตนนั้น คือสิ่งที่มาจากเจตนารมณ์ของตนเอง เพราะอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงบัญชาเรา แต่พระองค์ทรงปล่อยให้เรามีความอิสรเสรี นั่นคือคำยืนยันของอิมาม อ. ที่ว่า
{ إِنَّ اللهَ سُبْحَانَهُ أَمَرَ عِبَادَهُ تَخْيِيراً }
“แท้จริงอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงบัญชาปวงบ่าวในรูปแบบที่ให้ความอิสระ”
ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงห้ามเรา และคาดโทษต่อเรา ถ้าฝ่าฝืนพระองค์ ซึ่งคำพูดของท่านยืนยันว่า สำหรับมนุษย์นั้นมีเสรีภาพที่จะผันแปรและสามารถจะขัดขืนคำบัญชาของอัลลอฮ์ ซ.บ. ในลักษณะเช่นนี้ จำเป็นต้องมีบทลงโทษ นั่นคือคำยืนยันของท่านอิมามอะลี อ. ที่ว่า
{ وَنَهَاهُمْ تَحْذِيراً }
“ทรงห้ามพวกเขาอย่างคาดโทษ”
ท่านอิมามอะลี อ. ยังได้มีการอธิบายปัญหานี้เพิ่มเติมอีกว่า
{ وَلَمْ يُعْصَ مَغْلُوباً }
“แท้จริงอัลลอฮ์ ไม่ทรงละเมิดต่อผู้แพ้พ่าย”
ข้อนี้หมายความว่า อัลลอฮ์ ซ.บ. นั้น ถ้าหากพระองค์ต้องการจะบีบบังคับปวงบ่าวของพระองค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ความสามารถของพวกเขาทั้งหมดที่มีอยู่ไม่อาจเอาชนะคำบัญชาพระองค์ได้ ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า พวกเขามีอิสระเสรีในการเคารพภักดี และในการละเมิดได้เอง ซึ่งตรงกับความจริงตามโองการของพระองค์ที่ว่า
{ وَقُلِ الْحَقُّ مِن رَّبِّكُمْ ۖ فَمَن شَاءَ فَلْيُؤْمِن وَمَن شَاءَ فَلْيَكْفُرْ }
“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) สัจธรรมนั้นจากพระผู้อภิบาลของพวกสูเจ้า ดังนั้น ผู้ใดที่ประสงค์ก็ให้เขาศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็ให้เขาปฏิเสธ” (อัล-กะฮ์ฟี / 29)
หลังจากนั้นแล้ว ท่านอิมามอะลี อ. ก็ได้พูดกับมนุษย์เพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยได้ให้หลักฐานยืนยันว่า ถ้าหากมนุษย์ถูกบังคับจากอัลลอฮ์ ซ.บ. ในพฤติกรรมต่างๆ ของเขาที่มีดังที่คนบางกลุ่มเข้าใจแล้ว แน่นอน เท่ากับว่า การส่งบรรดานบีมาและการประทานคัมภีร์ต่างๆ มาก็เพียงเป็นการเล่นตบตาและเป็นเรื่องเหลวไหลซึ่งอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงเป็นมหาบริสุทธิ์ ปลอดพ้นสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง เพราะการดำเนินงานของบรรดานบี อ. ทั้งหมด และการประทานคัมภีร์มา ก็เพื่อปรับปรุงมนุษยชาติ และนำพวกเขาออกจากความมืดสู่แสงส่วางและมอบหมายหนทางบำบัดเยียวยาที่มีประโยชน์สำหรับโรคร้ายทางจิตใจ และอธิบายถึงแนวทางในการไปสู่วิถีชีวิตอันบรมสุข
ฉะนั้น เมื่อเราพิจารณาอย่างถ่องแท้กับคำกล่าวของชีอะอ์ ในเรื่อง ”กอฏอ-กอดัร” เราจะพบว่าเป็นคำยืนยันที่มีเหตุผล และเป็นทัศนะที่เที่ยงธรรม ขณะเดียวกับในระหว่างที่มีพวกหนึ่งกล่าวว่า “หมายถึงการถูกกำหนดมาอย่างตายตัว(จากพระผู้เป็นเจ้า)” ก็ยังมีอีกพวกหนึ่งที่กล่าวว่า “หมายถึงการมอบอำนาจให้ทั้งหมด (คือพระองค์มอบอำนาจให้แก่มนุษย์ ซึ่งหลังจากนั้นมนุษย์จะกำหนดชะตาชีวิตของตนเองโดยไม่มีพระองค์มาเกี่ยวข้อง)”
บรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ อ. มาเพื่อสอนวิชาและความรู้ที่ถูกต้องและนำคนเหล่านั้นกลับไปหาสัจธรรม พวกเขากล่าวว่า
[لاَ جَبْرَ وَ لاَ تَفْوِيضَ وَ لَكِنْ أَمْرٌ بَيْنَ أَمْرَيْنِ]
“ไม่ใช่ทั้งการบังคับอย่างเป็นกฎตายตัว และไม่ใช่ทั้งการมอบอำนาจให้โดยสิ้นเชิง หากแต่หมายถึงสภาพการณ์ที่อยู่ระหว่างสองอย่างนี้นั่นเอง”
ท่านอิมามญะอฺฟัร ศอดิก อ. ได้ยกอุทาหรณ์เปรียบเทียบในเรื่องนี้อย่างเรียบง่ายที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ตามขีดสติปัญญาของพวกเขา คือท่านได้กล่าวกับคนที่ถามท่าน เมื่อถามว่า
وقد ضرب الإمام جعفر الصادق لذلک مثلاً مبسطا یفهمه کل الناس وعلى قدر عقولهم فقال للسائل عندما سأله:
ما معنى قولک لا جبر ولا تفویض ولکن أمر بین أمرین؟ أجابه علیه السلام: «لیس مشیک على الأرض کسقوطک علیها» ومعنى ذلک أننا نمشی على الأرض باختیارنا - ولکننا عندما نسقط على الأرض فهو بغیر إختیارنا، فمن منا یحبّ السقوط الذی قد یسبب کسر بعض الأعضاء من جسمنا فنصبح معاقین.
คำพูดของท่านที่ว่า มิใช่การถูกกำหนดอย่างบังคับ และมิใช่การมอบอำนาจให้อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างสองเรื่องนี้ มีความหมายอย่างไร ?
ท่านอิมามศอดิก อ. ตอบว่า “การเดินของท่านบนดินและการตกของท่านไม่เหมือนกัน” ประโยคนี้หมายความว่า เราเดินบนดินด้วยการตัดสินใจของเรานั่นเอง แต่ถ้าเราตกลงบนดิน ก็หมายความว่าไม่ใช่ด้วยการตัดสินใจของเรา และในหมู่พวกเราจะมีใครบ้างอยากจะตกลงบนพื้นดิน จนเป็นเหตุให้อวัยวะบางส่วนแตกหัก จนต้องกลายเป็นคนพิการ
فیکون القضاء والقدر أمراً بین أمرین، أی قسم هو من عندنا وباختیارنا ونحن نفعله بمحض إرادتنا وقسم ثان هو خارج عن إرادتنا ونحن خاضعون له، ولا نقدر على دفعه، فنحاسب على الأول ولا نحاسب على الثانی
ดังนั้น ”กอฏอ-กอดัร” จึงเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างสองเรื่องนี้ หมายความว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่มาจากเราเอง และโดยการตัดสินใจของเรา และเรากระทำมันขึ้นโดยเจตนารมณ์ของเรา อีกส่วนหนึ่ง อยู่นอกเหนือจากเจตนารมณ์ของเรา และเราต้องยอมจำนวนกับมัน และไม่สามารถจะผลักไสมัน ดังนั้น เราจะถูกสอบสวนเฉพาะที่เกี่ยวกับส่วนที่หนึ่ง แต่เราจะไม่ถูกสอบสวนในเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนที่สอง คนเราจึงอยู่ในสภาพการณ์อย่างนี้ และอยู่ท่ามกลางที่ตนสามารถตัดสินใจได้เอง ส่วนหนึ่งกับการอยู่ในเส้นทางเดินที่ถูกกำหนดมาแล้วส่วนหนึ่งในเวลาเดียวกัน
ก. ความมีอิสรเสรีในพฤติกรรม หมายถึง สิ่งที่ปรากฏออกมาจากเขาหลังจากที่มีการใช้ความคิด และพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว โดยได้ผ่านขั้นตอนของการตัดสินใจและการขับเคี่ยวระหว่างการก้าวไปข้างหน้ากับการถอยหลัง ผลที่สุดก็คือ เขาอาจจะกระทำ หรืออาจละเว้นก็ได้ และนี่คือเรื่องที่พระองค์ทรงมีโองการไว้ว่า
وَنَفْسٍ وَمَا سَوَّاهَا فَأَلْهَمَهَا فُجُورَهَا وَتَقْوَاهَا وَقَدْ خَابَ مَن دَسَّاهَا
“และ (จงสนใจ) ชีวิต และที่ทำให้มันมีความสมดุลแก่มัน ดังนั้นพระองค์ทรงดลให้แก่มัน ทั้งความดื้อรั้น และความยำเกรงของมัน แน่นอนยิ่ง ผู้ชำระชีวิตจนสะอาด เขาย่อมได้รับชัยชนะ และผู้หมักหมมกับมัน เขาย่อมขาดทุน” (อัช-ชัมส์ / 6-10)
ดังนั้น การซักฟอกจิตใจให้สะอาด และการหมักหมม ทั้งสองประการนี้ คือ ผลิตผลของการตัดสินใจจากส่วนลึกของคนเราทุกคน
ข. เส้นทางเดินที่ถูกกำหนด ในทุกๆ สิ่งอันได้แก่ระบบของจักรวาล และการโคจรของมันอย่างยอมจำนนนั้น ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของอัลลอฮ์ ซ.บ. ทุกเสี้ยวส่วน ทุกองค์ประกอบ และทุกๆ อณูของมัน ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีสิทธิที่จะเลือกเพศของตน จะเป็นชาย จะเป็นหญิง ไม่มีสิทธิจะเลือกสีผิวของตน ไม่มีสิทธิจะเลือกบิดามารดา เพื่อจะได้อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของบิดา มารดาที่ร่ำรวย แทนที่จะอยู่กับบิดา มารดาที่ยากจน ไม่มีสิทธิที่จะเลือกขนาดความสูงต่ำของร่างกาย และลักษณะของเรือนร่าง
มันเป็นเรื่องที่จำนนอยู่กับอำนาจอันยิ่งใหญ่ (เช่นโรคทางกรรมพันธุ์เป็นต้น) และกับระบบธรรมชาติ อีกเป็นอันมาก ที่ให้คุณค่าแก่ตนและที่คุ้มครองป้องกันตนโดยปราศจากการรับภาระใดๆ กล่าวคือ จะนอนหลับเมื่ออ่อนเพลีย จะตื่นนอนเมื่อสบายตัว จะกินเมื่อหิว จะดื่มเมื่อกระหาย จะยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อดีใจ จะร้องไห้และหดหู่ใจเมื่อเศร้าหมอง และภายในร่างกายซึ่งทำหน้าที่ของมัน และผลิตฮอร์โมน บำรุง ผลิตอสุจิเพื่อการแปรสภาพ ในขณะเดียวกับที่ร่างกายของเขาได้อยู่ในตราชูอันสมดุลอย่างน่าพิศวง และตัวเขาเองกับสิ่งเหล่านี้ ไม่มีการรับรู้อะไรเลย ทั้งนี้เพราะเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า ที่ขีดเส้นไว้แล้วในทุกๆ เสี้ยววินาทีของชีวิต ยิ่งกว่านั้น แม้จะตายไปแล้ว
ใช่แล้ว มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ด้วยการสรรเสริญพระองค์ พระผู้อภิบาลของเรา ทรงสูงสุดยิ่ง พระองค์ทรงสร้าง แล้วทรงจัดให้สมดุล พระองค์ทรงกำหนด แล้วทรงนำทาง พระองค์ทรงบันดาลให้ตาย หลังจากนั้นทรงให้มีชีวิต พระองค์ทรงมีความจำเริญ และพระองค์ทรงสูงส่งยิ่ง ดังนั้น พระองค์ทรงแผ่พลังอย่างไพศาล และความหลงทางอย่างไกลลิบย่อมตกแก่ผู้ที่ขัดแย้งพระองค์ และเขาไม่อาจจำกัดสิทธิ์ที่แท้จริงแห่งการกำหนดพระองค์ได้เลย
เราจะขอสรุปการอธิบายเรื่องนี้โดยถ้อยคำพูดของท่านอิมามอะลี บินมูซา อ. นั่นคืออิมามที่ 8 แห่งอะฮฺลุลบัยต์ อ. ซึ่งวิชาการของท่านเป็นที่เลื่องลืออย่างยิ่งในสมัยของมะอฺมูน ขณะที่ท่านมีอายุได้ 14 ปี จนกระทั่งท่านได้เป็นคนมีความรู้มากที่สุดในยุคนั้น มีชายคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับความหมายของคำพูดของท่านอิมามศอดิก อ. ปู่ของท่านที่ว่า
[لاَ جَبْرَ وَ لاَ تَفْوِيضَ وَ لَكِنْ أَمْرٌ بَيْنَ أَمْرَيْنِ]
“มิใช่การถูกกำหนดอย่างถูกบังคับ และมิใช่การมอบอำนาจ ให้อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างกลางสองเรื่องนั้น”
ท่านอิมามริฎอ อ. ตอบว่า “ใครที่อ้างว่าอัลลอฮฺ ทรงกระทำพฤติกรรมของเราโดยพระองค์เอง หลังจากนั้น พระองค์ก็ลงโทษเราเพราะการกระทำนั้น เท่ากับพูดว่า “ถูกกำหนด อย่างถูกบังคับ” และใครที่อ้างว่า อัลลอฮฺทรงมอบอำนาจอย่างสิ้นเชิงในกิจการ สรรพสิ่ง และริซกีแก่บรรดาข้อพิสูจน์ของพระองค์(หมายถึงบรรดาอิมาม)เท่ากับพูดว่าเป็น “การมอบอำนาจให้อย่างสิ้นเชิง” คนที่ยืนยันว่า “เป็นการถูกกำหนดอย่างถูกบังคับ” ย่อมเป็นกาฟิร ส่วนคนที่ยืนยันว่า “เป็นการมอบอำนาจให้อย่างสิ้นเชิง” ย่อมเป็นมุชริก
สำหรับความหมายของคำว่า “เป็นเรื่องหนึ่ง ที่อยู่ระหว่างกลางเรื่องทั้งสอง” นั้นหมายความว่า “ยังมีวิถีทางหนึ่งอันนำไปสู่การปฏิบัติตามพระบัญชาของอัลอฮฺ และละเว้นสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม หมายความว่า อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงประทานความสามารถแก่เขาในการกระทำความชั่วและละเว้นเช่นเดียวกับที่ทรงให้ความสามารถแก่เขาในการกระทำความดีและละเว้นพระองค์ทรงบัญชาอันนี้แก่เขา และห้ามเขาจากอันนั้น”
رُوِيَ عَنْ بَعْضِ أَصْحَابِ الرِّضَا عَلَيْهِ السَّلَامُ أَنَّهُ قَالَ: دَخَلْتُ إِلَيْهِ بِمَرْوَ، فَقُلْتُ
يَا ابْنَ رَسُولِ اللَّهِ رُوِيَ لَنَا عَنِ الصَّادِقِ عَلَيْهِ السَّلَامُ أَنَّهُ قَالَ: لَا جَبْرَ وَ لَا تَفْوِيضَ، بَلْ أَمْرٌ بَيْنَ أَمْرَيْنِ، فَمَا مَعْنَاهُ؟
فَقَالَ عَلَيْهِ السَّلَامُ: “مَنْ زَعَمَ أَنَّ اللَّهَ سُبْحَانَهُ يَفْعَلُ أَفْعَالَنَا ثُمَّ يُعَذِّبُنَا عَلَيْهَا فَقَدْ قَالَ بِالْجَبْرِ، وَ مَنْ زَعَمَ أَنَّ اللَّهَ تَعَالَى فَوَّضَ أَمْرَ الْخَلْقِ وَ الرِّزْقِ إِلَى حُجَجِهِ فَقَدْ قَالَ بِالتَّفْوِيضِ، وَ الْقَائِلُ بِالْجَبْرِ كَافِرٌ، وَ الْقَائِلُ بِالتَّفْوِيضِ مُشْرِكٌ”.
فَقُلْتُ: يَا ابْنَ رَسُولِ اللَّهِ فَأَمَّا أَمْرٌ بَيْنَ أَمْرَيْنِ؟
فَقَالَ عَلَيْهِ السَّلَامُ: “وُجُودُ السَّبِيلِ إِلَى إِتْيَانِ مَا أُمِرُوا بِهِ، وَ تَرْكِ مَا نُهُوا عَنْهُ
นี่คือ คำอธิบายอันแหลมคมที่ให้ความเข้าใจได้อย่างเพียงพอสำหรับระดับสติปัญญา และสามารถเข้าใจได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมีวิชาการหรือไม่ใช่นักวิชาการก็ตาม
เป็นจริงตามที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ กล่าวไว้โดยท่านได้กล่าวถึงสิทธิของพวกเขาว่า
فَلَا تُقَدِّمُوهُمَا فَتُهْلِكُوا، وَلَا تَقْصُرُوا عَنْهُمَا فَتُهْلِكُوا، وَلَا تُعَلِّمُوهُمْ فَهُمْ أَعْلَمُ مِنْكُمْ
“พวกท่านอย่าได้กระทำการล้ำหน้าพวกเขา เพราะจะทำให้พวกท่านเสียหาย และอย่าล้าหลังพวกเขา เพราะจะทำให้พวกท่านเสียหาย และพวกท่านจงอย่าสอนสั่งพวกเขา เพราะพวกเขารู้ดีกว่าพวกท่าน”
الثِّقْلَانِ : كِتَابُ اللهِ : طَرَفٌ بِيَدِ اللهِ (عَزَّ وَجَلَّ)، وَطَرَفٌ بِأَيْدِيكُمْ، فَتَمَسَّكُوا بِهِ لَا تَضِلُّوا. وَالآخَرُ عِتْرَتِي، وَإِنَّ اللَّطِيفَ الخَبِيرَ نبَّأنِي أَنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الحَوْضَ، فَسَأَلْتُ ذَلِكَ لَهُمَا رَبِّي، فَلَا تُقَدِّمُوهُمَا فَتُهْلِكُوا، وَلَا تَقْصُرُوا عَنْهُمَا فَتُهْلِكُوا، وَلَا تُعَلِّمُوهُمْ فَهُمْ أَعْلَمُ مِنْكُمْ
บทความโดย เชคอันศอร เหล็มปาน