อัล-มุบาฮะละฮ์ วันแห่งการพิสูจน์สัจธรรมอิสลามโดยอะห์ลุลบัยต์นบี

อัล-มุบาฮะละฮ์ วันแห่งการพิสูจน์สัจธรรมอิสลามโดยอะห์ลุลบัยต์นบี

 

วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 10 มีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “อัล-มุบาฮะละฮ์” อันเป็นที่มาของการประทานโองการอัลกุรอาน โองการที่ 61 จากบทอาลิอิมรอน มุบาฮะละฮ์เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พิสูจน์ถึงความประเสริฐและสถานภาพอันยิ่งใหญ่ของอะฮ์ลุลบัยต์ อ. ของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. เรื่องราวโดยสังเขปเกี่ยวกับเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์

เรื่องราวของเหตุการณ์ “ อัล มุบาฮะละฮ์ ”

เรื่องเริ่มจาก ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้ส่งสาส์นไปยังกษัตริย์เมืองต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้กษัตริย์เหล่านั้นยอมรับศาสนาอิสลาม ในจำนวนสาส์นทั้งหมดมีอยู่ฉบับหนึ่งที่ส่งไปยัง อบู ฮาริษะฮ์(อุสกุฟ- أسقف )ซึ่งดำรงตำแหน่งพระสังฆนายกแห่งนัจญ์รอน เพราะเขากำลังรอคอยการมาปรากฏของศาสดาคนใหม่ตามที่มีข้อความระบุไว้ในคัมภีร์อินญีล

หลังจาก อบู ฮาริษะฮ์ แห่งนัจญ์รอนได้รับสารจากท่าน นบี(ศ็อลฯ) เขาได้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด จากนั้นสั่งประชุมทันที มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้นำศาสนา นักการเมืองและผู้สูงศักดิ์ มติในที่ประชุมมีว่า ให้ส่งคณะทูตไปมะดีนะฮ์ เพื่อตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ที่ประชุมได้คัดผู้ทรงคุณวุฒิได้ 60 คนเพื่อภารกิจสำคัญนี้ โดยมี 3 บุคคลต่อไปนี้เป็นหัวหน้าคณะ

    สังฆราชอุสกุฟ
    อัลอากิ๊บ(อับดุลมะซีห์)กุนซือเจ้าความคิด
    อัลอัยฮัม ผู้อาวุโสทั้งอายุและสมณศักดิ์

คณะทูตแห่งนัจญ์รอน เดินทางมาถึงมะดีนะฮ์ พวกเขาได้เข้าพบท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ. ที่มัสญิด ทุกคนสวมใส่ชุดนักบุญ ทอจากไหมดีบาจญ์และหะรีร สวมแหวนทอง แบกไม้กางเขนไว้ที่บ่า อย่างตระการตา พวกเขาให้สลามท่านนบี ศ. ท่านรับสลามและแสดงการต้อนรับพวกเขาอย่างสมเกียรติ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการต้อนรับ ท่านศาสดา ศ. ได้ตอบโต้กับบุคคลเหล่านั้นด้วยวิธีการที่ดีที่สุด และได้อธิบายให้เขาเหล่านั้นรับรู้ถึงสัจธรรมต่างๆ ของอิสลาม บรรดาผู้นับถือศาสนาคริสต์ได้ซักถามเกี่ยวกับความเชื่อถือที่มีต่อท่านศาสดา “อีซา” ว่าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า หรือเป็นบุตรของมัรยัมฝ่ายเดียว? ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้ตอบบุคคลเหล่านั้นด้วยโองการของ อัล กุรอาน ความว่า

مَّا الْمَسِيحُ ابْنُ مَرْيَمَ إِلاَّ رَسُولٌ قَدْ خَلَتْ مِن قَبْلِهِ الرُّسُلُ وَأُمُّهُ صِدِّيقَةٌ كَانَا يَأْكُلاَنِ الطَّعَامَ

[5:75]อัล มะซีห์ บุตรของมัรยัมนั้นมิได้เป็นใครนอกจากเป็นศาสนทูตคนหนึ่ง ซึ่งมีบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าเขาได้ล่วงลับไปแล้วและมารดาของเขาเป็นสตรีผู้มีความสัตย์จริง และเขาทั้งสองรับประทานอาหาร

กลุ่มนัจญ์รอนได้โต้แย้งท่านศาสดาว่า เขาคือบุตรของพระเจ้า เนื่องจากมารดาของอีซาไม่เคยสัมผัสชายใดมาก่อน ไม่เคยแต่งงาน แต่นางได้ตั้งครรภ์ เพราะฉะนั้นบิดาของอีซาคือก็พระองค์นั้นเอง ณ จุดนี้เอง ญิบรอฮีลได้นำวะฮ์ยูลงมายังมุฮัมมัดศาสนทูตแห่งพระเจ้าดังนี้ :

إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِندَ اللّهِ كَمَثَلِ آدَمَ خَلَقَهُ مِن تُرَابٍ ثِمَّ قَالَ لَهُ كُن فَيَكُونُ

จงบอกกับพวกเขาไปซิว่า ลักษณะของอีซา นั้นเหมือนกับอาดัม พระเจ้าทรงสร้างอาดัมขึ้นมาจากดินด้วยอำนาจแห่งพระองค์โดยปราศจากบิดาและมารดา และหากการไม่มีบิดาบ่งชี้ว่าเขาคือบุตรของพระเจ้า อาดัมย่อมมีสิทธิกว่าเนื่องจากเขาไม่มีทั้งบิดาและมารดา

คำพูดนี้ทำให้กลุ่มตัวแทนของชาวนัจญ์รอนถึงคำอึ้งไปพักหนึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจึงทำลายความเงียบด้วยคำพูดนี้ “ คำพูดของท่านนำมาหักล้างไม่ได้ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุด ก็คือ การ “ มุบาฮะละฮ์ ” เพื่อให้พระเจ้าทรงสาปแช่งกลุ่มชนที่พูดเท็จ และวิงวอนขอต่อพระองค์ให้นำความหายนะมาสู่กลุ่มชนที่พูดปด ” ณ จุดนี้เช่นกันที่อีกโองการหนึ่งจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรถูกประทานลงมายังมุฮัมมัด ศาสนทูตแห่งพระเจ้าดังมีใจความว่า:

فَمَنْ حَآجَّكَ فِيهِ مِن بَعْدِ مَا جَاءكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءنَا وَنِسَاءكُمْ وَأَنفُسَنَا وأَنفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَل لَّعْنَةَ اللّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ

[3:61]ดังนั้น เมื่อความกระจ่าง (เรื่องอีซา) ได้มายังเจ้าแล้ว ยังมีผู้โต้เถียงเจ้าในเรื่องนี้ จงกล่าวกับพวกเขาว่า ให้พวกเจ้าจงมาเถิดเราจะเรียกลูก ๆ ของเราและลูก ๆ ของพวกท่านมา เรียกผู้หญิงของเราและผู้หญิงของพวกเจ้ามา และตัวของเราและตัวของท่านมา เวลานั้นเราจะวิงวอนกัน (สบถ) และขอให้การสาปแช่งอัลลอฮ์พึงประสบแก่ผู้มุสา

ทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อมสำหรับการทำมุบาฮะละฮ์ และตกลงกันว่าในวันรุ่งขึ้นให้ทั้งหมดออกมาตามนัดเพื่อจะได้ทำการสบถกัน เมื่อกำหนดทำพิธี อัล มุบาฮะละฮ์ ตามสัญญามาถึง พวกนัจญ์รอนกลับยอมแพ้ในวินาทีสุดท้าย เมื่อพวกเขาเห็นว่าท่านศาสดาพาคนออกมาเพียงไม่กี่คน จึงมีการถามขึ้นว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร มุฮัมมัดศาสนทูตแห่งพระเจ้าได้กล่าวกับพวกเขาว่า บุคคลทั้งสี่ก็คือ อะลี ลูกของลุงฉันและเป็นลูกเขยฉัน เขาเป็นบิดาของหลานชายทั้งสองของฉัน เป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด เด็กสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวฉันเกิดจากอาลี ทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของฉัน ส่วนสตรีนางนี้ชื่อฟาติมะฮ์ นางเป็นสตรีที่มีเกียรติมากที่สุดและเป็นญาติที่สนิทที่สุดของฉัน พวกเขาคือ อะลุลบัยต์(ครอบครัว) ของฉัน

มุสลิมได้บันทึกไว้ในหนังสือ “ศอเอี้ยะ”ของเขาถึงคำพูดของอาอิชะภรรยาคนหนึ่งของท่านนบี(ศ็อลฯ)ว่า :

حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ، وَمُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ نُمَيْرٍ، – وَاللَّفْظُ لأَبِي بَكْرٍ – قَالاَ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بِشْرٍ، عَنْ زَكَرِيَّاءَ، عَنْ مُصْعَبِ بْنِ شَيْبَةَ، عَنْ صَفِيَّةَ بِنْتِ شَيْبَةَ، قَالَتْ قَالَتْ عَائِشَةُ خَرَجَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم غَدَاةً وَعَلَيْهِ مِرْطٌ مُرَحَّلٌ مِنْ شَعْرٍ أَسْوَدَ فَجَاءَ الْحَسَنُ بْنُ عَلِيٍّ فَأَدْخَلَهُ ثُمَّ جَاءَ الْحُسَيْنُ فَدَخَلَ مَعَهُ ثُمَّ جَاءَتْ فَاطِمَةُ فَأَدْخَلَهَا ثُمَّ جَاءَ عَلِيٌّ فَأَدْخَلَهُ ثُمَّ قَالَ ‏{‏ إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنْكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا‏}‏
صحيح مسلم، ج 4، ص1883، ح 2424، بَاب فَضَائِلِ أَهْلِ بَيْتِ النبي

อาอิชะฮ์เล่าว่า วันมุบาฮะละฮ์ ท่านศาสดาได้คลุมผู้ร่วมขบวนสี่คนคืออาลี ฟาฏีมะฮ์ ฮะซันและฮุเซน ด้วยอะบา (เลื้อคลุม) สีดำ และอ่านโองการต่อไปนี้

[33:33]อันที่จริง อัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสมมออกไปจากพวกเจ้า โอ้ อะฮ์ลุลบัยต์ และทรงประสงค์ที่จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์จริง
وَلَمَّا نَزَلَتْ هَذِهِ الْآيَةُ: {فَقُلْ تَعَالَوْا نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَأَبْنَاءَكُمْ} [آل عمران: 61] دَعَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلِيًّا وَفَاطِمَةَ وَحَسَنًا وَحُسَيْنًا فَقَالَ: «اللهُمَّ هَؤُلَاءِ أَهْلِي»
صحيح مسلم، ج4 ص1871 المؤلف: مسلم بن الحجاج أبو الحسن القشيري النيسابوري المتوفى: 261هـ

สะอัด บินอบีวักกอศ รายงานเมื่อโองการมุบาฮะละฮ์ ได้ประทานลงมา ท่านรอซูลุลลฮ์ ศ. ได้เรียกท่าน อะลี ฟาติมะฮ์ ฮะซันและฮุเซนมาหาและกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ พวกเขาเหล่านี้คือครอบครัวของข้าพเจ้า (เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษที่ 6373)

 

เมื่อคณะผู้แทนแห่งนัจญ์รอนได้เห็นว่าท่านศาสดา ศ. มีความมุ่งมั่นที่จะทำการมุบาฮะละฮ์ พวกเขาก็รู้สึกหวั่นกลัวอย่างมาก อบูฮาริษะฮ์ซึ่งเป็นผู้ทรงความรู้ที่สุดและเป็นอาร์คบิชอปของแห่งนัจญ์รอนได้กล่าวว่า : “หากมุฮัมมัด ศ. ไม่ได้อยู่บนสัจธรรมแล้ว เขาย่อมไม่อาจหาญที่จะทำการมุบาฮะละฮ์เช่นนี้ หากเขาทำการมุบาฮะละฮ์กับเรา ก่อนที่ปีหนึ่งจะผ่านพ้นไปจากพวกเรา จะไม่มีคริสเตียนแม้แต่เพียงคนเดียวหลงเหลืออยู่ในหน้าแผ่นดินเลย”

และในริวายะฮ์ (คำรายงาน) อีกบทหนึ่งได้กล่าวว่า : “ฉันได้มองเห็นใบหน้าทั้งหลาย ซึ่งหากพวกเขาวิงวอนขอจากพระเจ้าให้ทรงเคลื่อนภูเขาทั้งหลาย แน่นอนยิ่งว่ามันจะเคลื่อน ดังนั้นพวกท่านอย่าได้ทำการมุบาฮะละฮ์เลย เพราะมิฉะนั้นแล้วพวกท่านจะพินาศและจะไม่มีคริสเตียนคนใดหลงเหลืออยู่ในหน้าแผ่นดินเลย”

ผลสุดท้ายของการมุบาฮะละฮ์ของท่านศาสดากับชาวคริสต์

อบูฮาริษะฮ์ ผู้นำของคณะผู้แทนแห่งนัจญ์รอนได้เข้ามาพบกับท่านศาสดา ศ. และกล่าวว่า : “โอ้ท่านอบุลกอซิม ! โปรดละวางจากการมุบาฮะละฮ์กับพวกเราเถิด และโปรดยอมรับการขอประนีประนอมจากพวกเราในสิ่งที่พวกเรามีความสามารถที่จะกระทำมันได้”

ดังนั้นท่านศาสดา ศ. จึงยอมรับการขอประนีประนอมจากพวกเขา โดยที่ทุกปีพวกเขาจะต้องจ่ายส่วยเป็นเสื้อคลุมยาวจำนวนสองพันชุดและเสื้อคลุมแต่ละชุดนั้นจะมีราคาสี่สิบดิรฮัม (เหรียญเงิน) และหากมีสงครามเกิดขึ้น พวกเขาจะต้องให้ยืมเสื้อเกราะสามสิบชุด หอกสามสิบเล่มและม้าศึกสามสิบตัว อย่างไรก็ดีหลังจากที่คณะผู้แทนชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอนเดินทางกลับไปไม่นานนัก ผู้นำชาวคริสต์สองคนก็ได้เดินทางมาพบท่านศาสดา ศ. อีกครั้งพร้อมด้วยของกำนัลต่างๆ และประกาศตนเข้ารับอิสลาม

ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า พื้นฐานการมุบาฮะละฮ์ทั้งหมดได้ถูกจัดเตรียมขึ้น แต่เนื่องจากชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอนได้เห็นความมั่นใจในตัวเองของท่านศาสดา ศ. ทำให้พวกเขาเกิดความหวั่นกลัวและทำให้พวกเขายอมจำนนโดยไม่มีการมุบาฮะละฮ์และขอประนีประนอมกับท่าน และในประวัติศาสตร์อิสลามจึงไม่มีการมุบาฮะละฮ์ใดๆ เกิดขึ้น