เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตอนที่ 1

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตอนที่ 1


โดย อดุลย์ มานะจิตต์
มีสัจธรรมความจริงอยู่ประการหนึ่ง ที่ถือเป็นหลักสากลที่บรรดาปวงปราชญ์ในทุกยุคทุกสมัยต่างยอมรับตรงกันว่า หากมีทฤษฎีอยู่ด้วยกันสองทฤษฎีที่ขัดแย้งกัน ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าทฤษฎีหนึ่งถูก อีกทฤษฎีหนึ่งผิด

ประวัติความเป็นมาของมนุษยชาติก็เช่นกัน ต่างมีทฤษฎีอยู่ด้วยกันสองทฤษฎีที่ขัดแย้งกัน ทฤษฎีหนึ่งกล่าวไว้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างของพระเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะพิเศษ มีความประเสริฐและมีเกียรติเหนือบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยมีมนุษย์คู่แรกคืออาดัมและฮาวาเป็นสองสามีภรรยาที่พระองค์ทรงส่งลงมาให้เป็นผู้ปกครองของพระองค์บนโลกนี้ ดังนั้นมวลมนุษยชาติที่ถือกำเนิดมาจากบิดามารดาคู่แรกของโลกจึงถือได้ว่าเป็นพี่น้องที่มาจากครอบครัวเดียวกัน และที่แตกออกเป็นกักเป็นเหล่าเป็นเผ่าพันธุ์ก็เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักกันและเอื้ออาทรต่อกันไม่ใช่เป็นศัตรูกัน

ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งตั้งไว้ว่า บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้วิวัฒนาการมาจากพืชและสัตว์ ที่มีองค์ประกอบและโครงสร้างที่ง่ายกว่าหรือมีความสลับจับช้อนที่น้อยกว่า ส่วนพืชและสัตว์ที่มีโครงสร้างยุ่งยากน้อยกว่าเหล่านั้น ก็พัฒนามาจากสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างยุ่งยากน้อยลงไปอีกการพัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงนี้ใช้เวลายาวนานมาก ย้อนหลังไปเป็นเวลานับล้านปีจะพบจุดเริ่มต้นของชีวิตหรือชีวิตแรกที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา

ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ มนุษย์เราก็เช่นกัน ค่อย ๆ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงมาตลอดจากสิ่งง่ายกว่าหรือมีความยุ่งยากน้อยกว่า ได้มีการศึกษาและค้นคว้าหาหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนี้ เช่น การขุดและศึกษาชากหินโบราณที่ยังมีส่วนของพืชและสัตว์โบราณหลงเหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่หนึ่งล้านปีถึงห้าร้อยล้านปี จากการศึกษาแอมบรีออโลยีของทารกแรกเกิด และประการที่สามจากการศึกษาอวัยวะของสิ่งมีชีวิตด้วยกัน เพื่อเหนี่ยวนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า อวัยวะใดที่มีเหมือนกันหรือดล้ายคลึงกัน ย่อมมีจุดมุ่งหมายการใช้งานที่คล้ายคลึงกัน เช่น ปีกของนก ขาของเต่า ครีบของปลาวาฬและแขนของคนเป็นต้น

 

เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการดังกล่าวก็คือ นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษชื่อ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (ด.ศ.1809-1882) ซึ่งต่อมาในปี 1930 เซอร์โรนาลด์ พิชเชอร์ ได้แสดงให้เห็นว่าวิชาว่าด้วยเรื่องยีนส์ของ เกรกอร์ เมนเดล (1900) ได้อธิบายให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงเรื่องกลวิธาน ที่ต้องการเพื่ออธิบายถึงเรื่องความหลากหลายในพืชพันธุ์และการวิวัฒนาการด้วยการเลือกสรรตามธรรมชาติ ทฤษฎีเชิงสังเคราะห์ของเขานี้รู้จักกันในนามลัทธิดาร์วินยุคใหม่

ทฤษฎีวิวัฒนาการยองชาร์ล ดาร์วินดังกล่าว ได้สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งให้กับคริสต์จักร เสมือนดังที่เดยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยของ กาลิเลโอ กาลิเลอี (1564-1642) นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีผู้สนับสนุนทฤษฎีของ โคเปอร์นิคัส ที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะไม่ใช่โลก เป็นผลให้เขาถูกศาลศาสนาพิพากษาจนกลายเป็นนักโทษไปตลอดชีวิต แต่ต่างกันที่ว่าทฤษฎีของดาร์วินได้รับการต่อสู้ป้องกันโดยนักชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ โทมัส เฮนรี่ ฮักเล่ว์ และ โจเซฟ ดาลตัน ฮุกเกอจากการถูกโจมตีของ สะมุเอล วิลเบอร์ฟอซฮ์ บิช้อบแห่งอ๊อกฟอร์ด ผู้ขาดความรู้ในเรื่องชีววิทยาจึงต้องพ่ายแพ้ไป

เพื่อเป็นการแก้หน้าให้กับคริสต์จักร ในปี 1951 สันตะปาปา ปิอุสที่ 12 ได้ออกสาส์นของสันตะปาปาชื่อ ฮูมานี ยีนีริส (เกี่ยวกับมนุษย์) ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า ชาวคาทอลิกสามารถยอมรับการวิวัฒนาการในฐานะที่เป็นข้อสมมติฐานประการหนึ่งสำหรับการสร้างร่างกายของมนุษย์ โดยมีข้อแม้ว่าพวกเขาต้องเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างวิญญาณและใส่เข้าไปในร่างกายแต่ในอีกด้านหนึ่งนิกายที่ป็นฝ่ายยึดกับตัวบท ซึ่งยอมรับในการตีความตามตัวอักษรของคัมภีร์ไบเบิลเช่นนิกายโปรเตสแตนท์ ได้ปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการในเรื่องของการเลือกสรรทางธรรมชาติ (Natural selection)

การที่ดาร์วินนำเอาทฤษฎีวิวัฒนาการมาใช้กับมนุษย์ ก่อให้เกิดปัญหาในวิชาสังคมศาสตร์ ทั้งนี้เพราะการเลือกสรรทางธรรมชาติ เป็นกรรมวิธีที่ทำงานอยู่ในตัวของธรรมชาติเอง แต่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับวิชาสังคมศาสตร์ ถึงแม้ เฮอร์เบอร์ท สเปนเซอร์จะพยายามใช้วลีที่ว่า “การอยู่รอดของผู้ที่แข็งแรงที่สุด” มาใช้แทนวลีที่ว่า”การเลือกสรรทางธรรมชาติ” ก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้น ดาร์วินยังมีความเชื่ออีกว่า จริยธรรมและศีลธรรมได้วิวัฒน์โดยการเลือกสรรทางธรรมชาติ มาจากการแสดงออกของความสงสารในขั้นต่ำที่พบอยู่ในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย แต่บรรดานักวิชาการต่างเห็นว่าคำอธิบายนี้ไม่อาจรับฟังได้ จริง ๆ แล้วอิทธิพลของดาร์วินในทางวิชาสังคมศาสตร์ จึงไม่ได้ก้าวไกลเกินไปกว่าความคิดโดยทั่ว ๆ ไปในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในทางอินทรีย์ดังกล่าวถึงแล้วนั้น

ที่จำเป็นต้องนำเรื่องราวของทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วินมากล่าวถึงไว้อย่างยืดยาวเช่นนี้ ก็เพราะทฤษฎีของเขานี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นสัจธรรมความจริง แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่นิยมในลัทธิสสารนิยมหรือวัตถุนิยมปฏิเสธพระเจ้า ต่างก็ยึดถือมันไว้ราวกับเป็นคัมภีร์ทางวิทยาศาสตร์ โดยพากันกล่าวว่า หากว่ากันด้วยหลักวิชาชีววิทยาแล้วมนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงพันธุ์หนึ่ง หากเมื่อถามต่อไปว่า มันวิวัฒนาการมาจากอะไร ! นักวิทยาศาสตร์ที่ยึดถือในลัทธินี้ต่างพากันตอบว่า มันวิวัฒนาการมาจากโปโตปลาสซึม คำถามต่อมาคือ โปรโตปลาสซึมมีองค์ประกอบเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะพากันตอบว่า มันประกอบด้วยธาตุนั้นและสารเคมีนี้ ตลอดจนโมเลกุลต่าง ๆ มีโครงสร้างเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ และหากเมื่อถามต่อไปว่า พวกท่านที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างโปรโตปลาสซึมขึ้นในห้องปฏิบัติการ โดยให้มีองค์ประกอบเหมือนกับองค์ประกอบของโปรโตปลาสซึมของสิ่งมีชีวิตทุกประการได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้ ถ้าเช่นนั้นโปโตปลาสซึมที่พวกท่านสร้างขึ้น หากปล่อยไว้ให้ผ่านขบวนการวิวัฒนาการสักหนึ่งล้านปี มันจะกลายเป็นพืชและสัตว์ต่าง ๆ และมนุษย์ดังที่มีอยู่บนโลกนี้ได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้’ คำถามสุดท้ายคือ ทำไมถึง ‘ไม่ได้’ คำตอบสุดท้ายที่ไม่มีตัวช่วยก็คือ เพราะโปรโตปลาสซึมที่พวกเรานักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นในห้องวิทยาศาสตร์นั้นมันไม่มีชีวิต ! เมื่อนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นกำลังจะลุกจากไป เราจึงขอร้องให้พวกเขานั่งลงก่อนเพื่อจะได้เสวนากันต่อ แต่พวกเขาต่างพากันปฏิเสธไม่ยอมนั่ง เมื่อเราถามพวกเขาว่า ทำไมจึงไม่นั่ง พวกเขาต่างพากันตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “เพราะลมมันเย็น” หากพวกเขานั่งลงเราก็จะถามพวกเขาต่อไปว่า ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร หัวใจเต้นได้อย่างไร วิญญาณมีจริงหรือไม่ หากวิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ มนุษย์จำต้องแสวงหาวิชาอื่นมาตอบให้ได้

 

ดาร์วินเองเคยกล่าวไว้อย่างอกตัญญูต่อพระผู้สร้างผู้ทรงเอกะว่า”ข้าพเจ้าจะแนะนำธาตุที่อยู่เหนือธรรมชาติธาตุหนึ่งให้เห็นโดยกรรมวิธีทางกลศาสตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นในวิธีหนึ่ง ส่วนโทมัส จูเลี่ยน ฮักเลวผู้ได้สมญาว่าเป็นสุนัขรับใช้ของดาร์วิน ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “บัดนี้มนุษย์มีความรู้อยู่อย่างครบองค์แล้ว และเป็นนายเพียงผู้เดียวเหนือสิ่งแวดล้อมของเขา เขาจำเป็นที่จะต้องขึ้นเถลิงอำนาจแล้ว ซึ่งเมื่อยามที่อยู่ในความโง่เขลาและอ่อนแอเขาก็มอบคุณลักษณะต่าง ๆ ให้กับพระเจ้า มาบัดนี้เขาต้องทำให้ตัวของเขาเป็นพระเจ้าเสียเองได้แล้ว”

ความหยิ่งยโสโอหังและการคุยโมโอ้อวดของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ไม่มีอะไรใหม่ บรรพบุรุษผู้ยโสโอหังของพวกเขาที่ตั้งตัวขึ้นเป็นพระเจ้า ทั้งที่มีพลังอำนาจที่เข้มเข็งกว่า มีความรู้มากกว่า และมีอายุยืนนานกว่า ล้วนต้องประสบกับความพินาศ ความอัปยศอดสไปหมดสิ้นแล้ว นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นประเภทเดียวกับดาร์วินนั้น พวกเขาสามารถโยนเชือกลงบนพื้น และให้มันกลายเป็นงูที่เลื้อยได้กระนั้นหรือ รายละเอียดของเรื่องนี้จะได้นำไปกล่าวไว้ในบทต่อไป

ด้วยกับแนวคิดและความเชื่อแบบวัตถุนิยมปฏิเสธพระเจ้าเช่นนี้ที่ได้ถูกนำมาใช้ในการจัดระเบียบโลกใหม่หรือโลกาภิวัตน์ ที่เริ่มตันขึ้นมาจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึง 16 แห่งควิสต์กาลในทวีปยุโรป อันเป็นวาระสิ้นสุดของอำนาจตริสตจักรที่เคยอยู่เหนืออำนาจของอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งของคริสตจักรคาทอลิกแห่งกรุงโรม ที่ต้องเผชิญหน้ากับนิกายโปรเตสแตนท์ที่ปฏิเสธอำนางของสันตะปาปาซึ่งสถาปนาขึ้นโดย ดร. มาร์ดิน ลูเธอร์ (1483-1516) ผู้เป็นนักวิชาการและนักการศาสนาชาวเยอรมัน

 

นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการที่นิยมลัทธิวัตถุนิยมปฏิเสธพระเจ้าและลัทธิการแยกศาสนาออกจากอาณาจักรหรือการเมืองเหล่านี้ ถือกำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าศาลอินควิชิชั่นหรือศาลศาสนาของฝ่ายดาทอลิกแห่งกรุงโรมเสื่อมอำนาจลง ที่จะตัดสินลงโทษชาวคริสต์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเดียรถีย์ ประจวบกับการที่พระเจ้าเฮนรี่ ที่ 8 (สวรรคต 1547) กษัตริย์แห่งอังกฤษ ทรงประกาศตัดสัมพันธ์กับสันตะปาปา คลีเมนท์ ที่ 7 แห่งกรุงโรม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่มาร์ติน ลูเธอร์ตั้งนิกายโปรเตสแตนท์ขึ้นในเยอรมันเช่นกัน และตรงกันกับการเริ่มต้นของยุดฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) อันถือเป็นการสิ้นสุดยุคกลางหรือยุคมืดในยุโรปซึ่งมีมานานนับพันปี

ดังนั้นการปฏิเสธพระเจ้าของดาร์วิน จึงเป็นคนละเรื่องกับการตั้งทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาเพราะอย่างน้อยเขาก็ยังเชื่อในเรื่องของการเลือกสรรตามธรรมชาติ’ ซึ่งไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เพราะกาปรับโลกให้เหมาะสมกับชีวิตนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่จะนับได้ว่าเป็นความบังเอิญ ความเชื่อของดาร์วินจึงเข้าตำราเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง

ในเรื่องนี้ ดร. ที เอ็น ทาห์มิเชียน ผู้เชี่ยวชาญทางสรีระวิทยาคนหนึ่งของคณะกรรมการพลังงานปรมาณูแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้นิพนธ์หนังสือเรื่อง Need of Religion ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีหลักฐานทางฟอสชิลหลงเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียวที่จะเป็นพยานให้เห็นว่ามีสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำสุดได้วิวัฒนาการมาสู่ขั้นที่สูงกว่า” และท่านยังกล่าวเสริมต่อไปว่า “นักวิทยาศาสตร์บางคนที่ได้กล่าวว่า การวิวัฒนาการคือหลักความจริงของชีวิตนั้น คือนักต้มมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ และเรื่องราวที่พวกเขากล่าวขึ้นอาจเป็นเรื่องลวงโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา  การอธิบายถึงทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเราไม่มีหลักฐานใด ๆ แม้แต่น้อยที่จะแสดงให้เห็นว่ามันเป็นความจริง”

ในประการสุดท้ายที่จะขอกล่าวถึงโอกาสของธาตุเหล่านั้นที่จะรวมตัวกันเป็นโปรตีนซึ่งท่อรูปจากโมเลกุลที่มีชีวิต จึงขอเอาผลงานการคำนวณตามทฤษฎีความน่าจะเป็นไปได้ของชาร์ล ยูจีน กีย็ นักคณิตศาสตร์ชาวสวิส ซึ่งกล่าวไว้ว่า โอกาสของธาตุเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นโปรตีนได้นั้นมีเพียง 1 ใน 10 ยกกำลัง 160″ (เลขสูญหลังเลข 1 จำนวน 160 ตัว) เพราะฉะนั้นการที่ธาตุเคมีจะถูกเขย่าให้เข้ากันเพื่อก่อรูปโมเลกุลของโปรตีนเพียงโมเลกุลเดียวโดยวิธีบังเอิญนี้ก็จะสลับชับซ้อนนับเป็นล้าน ๆ เท่าทีเดียว หากเมื่อคิดในกรณีของจำนวนโมเลกุลทั้งหมดในจักรวาล สำหรับโอกาสที่โมเลกุลของโปรตีนเพียงมเลกุลเดียวจะถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ได้นั้น จะต้องใช้เวลาทั้งหมดถึง 10 ยกกำลัง243 ปี แต่โลกของเรามีอายุเพียง 4,500 ล้านปีเท่านั้นกลับมีชีวิตอันอัศจรรย์ เต็มไปทั่วน่านน้ำและแผ่นดินเมื่อทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ดังกล่าว ไม่อาจอธิบายอย่างมีเหตุผลและตรรกะได้ว่า การเริ่มต้นชีวิตของโปรโตปลาสซึมมีวิธีการวิวัฒน์จนมีชีวิตมาได้อย่างไร เพราะจะตอบว่าโดย ‘บังเอิญ’ ก็ไม่ได้ เนื่องจากประตูทางออกนี้ของดาร์วินได้ถูกปิดลงแล้ว ดังนั้นคำตอบที่มีเหตุผลและมีตรรกะมากที่สุดซึ่งเหลืออยู่เพียงคำตอบเดียวก็คือ โปรโต ปลาสซึมเป็นสิ่งถูกสร้างที่มีชีวิตเมื่อมันเป็นสิ่งถูกสร้างจึงจำเป็นจะต้องมีผู้สร้างมันนั่นเอง

ดังนั้นมันจึงไกลเกินไปที่จะนำเอาทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์ วินมาอธิบายในเรื่องของสังคมศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องจริยธรรมและศีลธรรมของมนุษย์ แม้ดาร์วินจะอ่อมแอ้มอธิบายไปแบบขอไปทีที่ว่ามันวิวัฒน์มาจากการเลือกสรรทางธรรมชาติที่แสดงออกมาจากความสงสารในขั้นต่ำที่พบอยู่ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายดังที่ได้กล่าวถึงแล้ว สรุปกิคือ ดาร์วินได้ก้าวล่วงเข้ามาสู่ความเป็นนักปรัชญาแนวจิตนิยมโดยไม่รู้ตัว เสมือนบรรพบุรุษของเขาคือ ธาเลส (622-500 ก่อน ค.ศ.) และ ดีโมคลีทุส นักปรัชญาผู้ยิ่งยงของกรึกต่างก็เชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งพวกเซายึดถือว่าการเปลี่ยนแปลงของวัตถุเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นของจิตวิญญาณดังนั้นนักปรัชญาเหล่านี้ จึงมิได้เป็นนักวัตถุนิยมตามความหมายที่แท้จริงของมัน ที่สนใจอยู่กับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางอินทรีย์เท่านั้น

ภารกิจที่เหลืออยู่ของบทแรกนี้ก็คือ การอธิบายถึงประวัดิความเบินมาของมนุษยชาติ ตามทัศนะหรือแนวความเชื่อของอิสลามดังต่อไปนี้

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า หากวิชาวิทยาศาสตร์ไม่อาจให้คำตอบได้ว่าชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร ! ซึ่งคำถามนี้ถือเป็นคำถามที่ต้องถูกตั้งขึ้นก่อน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอันตับแรก จากนั้นคำาถามที่ว่า ชีวิตคำเนินไปอย่างไร ! จึงถือเป็นคำถามที่เป็นความจำเป็นในลำตับที่สองรองลงมา

นี้ถือเป็นสองปัญหาสำคัญ ที่เผชิญหน้าศาสนจักรคอทาลิกในยุคก่อนพื้นฟูติลปวิทยาการหรือยุดกลาง หากคำตอบของนักวิทยาศาสตร์ในคำถามที่สองขัดแย้งกับความเรื่อของศาสนจักรคาทอลิกในคำถามที่หนึ่งเช่นในกรณีของกาลิเโอ ที่เชื่อว่า น้ำขึ้นน้ำลงเป็นข้อพิสูจน์ของการเคลื่อนที่ของโลก แต่สันตะปาปากลับประกาศว่า เนื่องแต่พระเจ้าจะกระทำอะไรก็ได้ในทุกสิ่ง พระองค์จึงทรงสามารถทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงอย่างไรก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และไม่จำเป็นจะต้องใช้การเคลื่อนที่ของโลก

ความขัดแย้งนี้จึงเข้าตำรา คนละเรื่องเดียวกัน

ดังนั้นการอธิบายวิชามานุษยวิทยา (Anthropology) หรือประวัติความเป็นมาของมนุษยชาติโดยอาศัยวิชาศาสนศาสตร์ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ดังเหตุผลข้างต้น

ตามมุมมองของอิสลามแล้ว ชายและหญิงคนแรกถูกสร้างขึ้นมาและถูกมอบหมายทางนำอันศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสมให้กับเราทั้งสอง และมีคำแนะนำมาเพื่อให้พวกเขามีความสามารถที่จะดำเนินชีวิตของการเป็นผู้รับใช้พระเจ้าอย่างชื่อสัตย์และเชื่อพังปฏิบัติตาม และมนุษยชาติทั้งมวลล้วนถือกำเนิดมาจากบิดามารดาคู่เดียวกัน ผู้ซึ่งได้วับมอบความรู้แห่งพระเจ้าที่แท้จริง และเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์ คัมภีร์อัล กุรอานได้กล่าวถึงหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้

จงรำลึกถึงวาระที่พระผู้อภิบาลทรงกล่าวกับบรรดาเหวทูต ตังว่า ‘ข้ากำลังจะแต่งตั้งผู้ใบแทนคนหนึ่งขึ้นบนแผ่นดิน
(อัล กุรอาน บทที่ 2 โองการที่ 30)

และอีกพระบัญชาหนึ่งดังว่า

มนุษยชาติเอ๋ย จงเคารพภักดีต่อพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ซึ่งทรงสร้างเจ้ามาจากบุคคลเพียงคนเดียว ทรงสร้างคู่ครองของเขาขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน และจากพวกเขาที่เป็นคู่นี้ได้แผ่กระจายออกไปเป็นชายและหญิงนับจำนวนไม่ถ้วน ดังนั้น จงยำเกรงพระเจ้าเถิด
(อัล กุรอาน บทที่ 4 โองการที่ 1)

โองการเหล่านี้ยืนยันโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งในประการแรกก็คือมนุษยชาติทั้งมวลต่างถือกำเนิดมาจากบิดามารดาคู่เดียวกัน และหาใช้เป็นผลอันเกิดจากกรรมวิธีตามลัทธิดาร์วินไม่ ชายและหญิงคนแรกเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา

ขั้นแรกนั้นมนุษย์คนหนึ่งถูกสร้างขึ้น และจากเขาคนนี้ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์แผ่ขยายไปทั่วโลก

ประการที่สอง เขาถูกประทานความรู้ของพระเจ้ามาให้และมีความเข้าใจในชีวิตที่เขาจะต้องดำเนินไปบนโลกนี้ อีกนัยหนึ่ง มนุษย์คู่แรกถูกมอบความรู้มาให้อย่างเต็มที่เพื่อใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องสิ่งแวดล้อมของตน เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการที่จำเป็นและอุปสงค์ต่าง ๆ ของตนพวกเขาได้รับทางนำจากพระเจ้าเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสมพงษ์และปกติสุข ให้สอดคล้องกับพระบัญชาอันตักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นการปฏิเสธความติดในเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษย์มาจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ และเป็นการปฏิเสธในเรื่องที่ว่า ตอนเริ่มต้นนั้นมนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างโง่เซลาไร้ปัญญา และต่อมาจึงค่อย ๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น และมีหนทางในวัฒนธรรมของการดำรงชีวิตมากขึ้น

ประการที่สาม มนุษย์สร้างความเจริญและมีชีวิตอยู่อย่างดีงามและมีอารยธรรมตราบเท่าที่เขาเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า และเสริมสร้างคุณธรรมความดีงามและความยุติธรรมในชีวิตที่เป็นปัจเจกของตน เช่นเดียวกับในชีวิตทางสังคมของชุมชน แต่ในทันทีที่เขาหลงลืมวิถีทางของพระเจ้าและหันไปตามหนทางของมารร้ายชาตาน และตามตัณหาราคะของตนเอง เขาก็จะเริ่มหันเหออกไปสู่ชีวิตที่ลามกหยาบโลน การกดขี่และการเอารัดเอาเปรียบ

ประการที่สี่ มนุษย์มิได้เป็นทารกต่อหน้าสิ่งแวคล้อมที่อยู่รอบตัวเราแต่ในทางตรงกันข้าม ความศรัทธา ความคิดอ่าน การกระทำ และปรัชญาแห่งชีวิต หล่อหลอมสิ่งแวดล้อมของเราเพื่อให้มารับใช้เจตนารมณ์ในทางอุดมคติของเขา

ทัศนะที่ว่าสิ่งแวดล้อมได้ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของมันและได้กำหนดรูปแบบชีวิตของเขา อาจเป็นที่ชื่นชอบรองบุคคลที่ไม่เชื่อในเรื่องนรกสวรรค์และไม่สนใจศาสนา แต่สำหรับผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้า และชีวิตของเขาถูกควบคุมอยู่ด้วยกับกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว ย่อมไม่ถูกความคิดต่าง ๆ อันไร้สาระดังกล่าวนั้นเข้าครอบงำได้ สำหรับเขาแล้วความเชื่อศรัทธาในเอกภาพ (เตาอีด) ของพระเจ้าจึงป็นสรณะของเขา และเขาจึงปฏิเสธในเรื่องที่ว่า สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลหล่อหลอมและกำหนดรูปแบบชีวิต ความรู้สึกนึกคิด และเรื่องอื่น ๆ ของเรา

ประวัติศาสตร์อิสลามได้แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อศรัทธาอันบริสุทธิ์สะอาดเช่นนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างบุดคลกลุ่มหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร ? ซึ่งอัล กุรอานได้อธิบายไว้ด้วยกับคำกล่าวเหล่านี้

เจ้าเป็นกลุ่มที่ดีที่สุดที่ถูกอุบัติขึ้นมาในหมู่มนุษยชาติ เจ้าเชิญชวนไปสู่ความดีงามและหักห้ามกันในความชั่วร้ายและศรัทธาในอัลลอฮ์
(อัล กุรอาน บทที่ 3 โองการที่ 110)

ดังนั้นบุคคลกลุ่มนี้จึงเป็นดวงประทีปสองนำมวลมนุษย์ไปสู่ความยุติธรรม ความสงบสันติ เสรีภาพและอิสรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองตามความหมายที่แท้จริงของมัน

อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าสภาพแวดล้อมไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ เลยต่อมนุษย์ก็หาไม่ มันมีอิทธิพลของมันเท่าที่มันจะมีได้แต่ ณ ที่ใดที่อิสลามไปถึง มันก็จะดูดกลืนเอาสิ่งที่ดีที่สุดที่มันพบเห็นในแต่ละสภาพแวดล้อม และปรับแต่งมันให้สอดคล้องกับอุคมการณ์แห่งความเชื่อตามหลัก เตาฮีด (เอกเทวนิยม) มันปรับแต่งความคลาดเคลื่อนของสภาพแวดล้อมและหันมันให้กลับมาสู่ทิศทางที่ถูกต้อง และทำมันให้สอดคล้องกับหลักการ คุณค่า และทัศนะความเชื่อต่าง ๆ ของอิสลาม

ฉะนั้นแสงสว่างที่ฉายส่องลงบนเรื่องของการสร้างสรรค์มนุษย์ที่อิสลามกล่าวถึงไว้ในคัมภีร์อัล กุรอานนั้น จึงเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน น่าเชื่อถือ และมีความสำคัญมากกว่าที่จะไปยึดเอาความรู้ที่ได้มาจากการขุดต้นหาชิ้นกระดูกต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ววางอยู่บนการคาดการณ์และการเดา

ยิ่งไปกว่านั้นความรู้ที่ถูกวิวรณ์มานี้ ยกระดับมนุษย์จากสิ่งถูกสร้างที่วิวัฒนาการมาอย่างอ่อนแอและต่ำต้อย ให้เป็นสิ่งถูกสร้างของพระเจ้าที่สูงส่ง การเป็นผู้ปกครองของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน (วิลายะย์) ซึ่งบรรดาเทวทูตและทุกสรรพสิ่งบนโลกและในชั้นฟ้า ต่างถูกทำให้เชื่อฟังปฏิบัติตาม
(อัล กุรอาน บทที่ 40 โองการที่ 64 และ บทที่ 38 โองการที่ 26)

ดังนั้น อาดัม ในฐานะมนุษย์คนแรก เป็นศาสนทูตของพระเจ้าหรือรซูลท่านแรก และเป็นผู้ปกครองของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน (ดอลีฟะตุลลอฮ์ ฟิลอัรด์) คนแรกของโลก ด้วยเหตุประการฉะนี้ที่พระเจ้าทรงสอนอาดัมศาสนทูตของพระองค์ให้รู้จักบรรดานามชื่อเหล่านี้
‎(14) و ع ل م ا ل ا س م ا ء (วะอัลละมะอาคัมอัลอัสมาอ์)
‎(12) ب ا س م ا ء ه ء و ل ا ء
(บิอัสมาอิฮาอุลาอ์) ซึ่งบรรดานามชื่อเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จักของมวลสรรรค์ (มะลาอิกะย์) มาก่อน เพราะพระเจ้ายังไม่ได้สอนให้พวกเขาได้จัก ด้วยเหตุนี้ที่พญามาร ซึ่งเป็นญินตนหนึ่งที่เคยอยู่ร่วมสังคมเดียวกับมวลทูตสรรค์มาก่อนในภพหนึ่งแห่งสวรรค์ชั้นฟ้า ณ บัลลังก็แห่งอำนาจของพระเจ้า จึงรู้สึกอิจฉาในตัวของอาอัมมากยิ่งขึ้นที่เขารู้ในสิ่งที่ตนไม่รู้ทั้ง ๆ ที่ตนถูกสร้างมาก่อน พระเจ้าจึงทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงทดสอบทูตสวรรค์และพญามาร ว่าพวกเขามีดวามหยิ่งทะนงในชาติกำเนิดของพวกเขาที่พระเจ้าทรงสร้างพวกเขามาก่อนหน้ามนุษย์หรือไม่ ด้วยกับการมีพระบัญชาให้ทั้งทูตสวรรค์และพญามารแสดงความเดารพนบนอบด้วยการสุหยูด (การเอาศีรษะแตะพื้น) ต่ออาดัม มวลเทวทูคสวรรค์ต่างกระทำการสุหยุดยกเว้นพญามาร เพราะมันมีดวามอิจฉาและหยิ่งทะนงอยู่ในตนด้วยเหตุประการณะนี้ พญามารจึงขอต่อพระเจ้าที่จะมาเป็นตัตรูต่อมนุษย์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัมจวบจนถึงวันอวสานบนหน้าพิภพนี้ มนุษย์ทุกคนจึงมีสวรรค์และนรกเป็นเดิมพัน ตลอดการใช้ชีวิตของพวกเขาบนโลกนี้เช่นกัน

ผู้ใดก็ตามที่พวกเราดำเนินชีวิตไปตามครรลองของการชี้นำทางอันเที่ยงตรงของบรรดานามชื่ออันสูงสงเหล่านี้ ที่อาดัมได้แจ้งให้กับทูตสวรรค์และพญามารวับรู้แล้ว อันเป็นเหตุให้มวลทูตสวรรด์ยังคงเป็นชาวสวรรด์สืบต่อไป และเป็นเหตุให้พญามารต้องกลายเป็นมารร้าย ชาตานหรือมารร้าย ตกสวรรค์มาอยู่บนโลกนี้ และเมื่อวันแห่งการตัดสินพิพากษามาถึงพวกมันจึงมีที่พำนักอยู่ในชุมนรกชั้นต่ำสุด พรัอมกับบรรดามนุษย์ที่เป็นเช่นกันพลพรรคของมัน นับแต่ชุมซนแรกก่อนท่านศาสดามุฮัมมัด จนถึงชุมชนหลังจากท่านไปจนถึงวันลิ้นโลก

ในฐานะที่ท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตท่านสุดท้ายของพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นองค์ที่ 25 ตามนามชื่อของบรรดาตาสดาที่ปรากฏอยู่ในอัล กุรอานและเป็นผู้พิทักษ์และผู้สืบทอดคัมภีร์แห่งศาสนา บทสรรเสริญและแบบฉบับของบรรดาศาสดาท่านที่ 36 จากจำนวนศาสดาของพระเจ้าที่ถูกส่งลงมาทั้งสิ้นรวม 124,000 ท่าน ท่านจึงเปรียบเสมือนเป็นจุดศูนย์กลางของบรรดาตาสดาทั้งหลายของพระเจ้าที่ต่างเวียนรอบท่านอยู่ ดังนั้นรัตมีหรือระยะเวลานับจากวันที่ท่านศาสดามุฮัมมัดถือกำเนิด ณ นครมักกะฮ์ ย้อนหลังไปจนถึงวันที่ท่านศาสดาอาดัมวะฟาด (เสียชีวิต) เป็นจำนวนทั้งสิ้น 9,900 ปี 4เดือน 7 วัน

ยิ่งไปกว่านั้น หากนับเวลาจากท่นศาสดาอาดัมเสียชีวิตถึงศาสดามุฮัมมัดถือทำเนิดไปจนถึงอิมามมะฮ์ดี อิมามที่ 12 ผู้เป็นผู้สืบแทนของท่านศาสดาที่ถือกำเนิด มีระยะเวลาทั้งสิ้น 10.208 ปี ดังนั้นจึงมีจำนวนศาสดาในอัตราเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 124.000 หาร 10.208 = 12 นับจากศาสดาท่านแรกคือ อาดัมจนถึงศาสดาท่านสุดท้ายคือ ศาสดามุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์

สัญลักษณ์แห่งเลข 12 นี้ จึงเป็นสัญลักษณ์ที่พระเจ้าทรงใช้ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้บรรดาสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดินได้ตระหนักว่า พระองค์คือผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงดวบคุม ผู้ทรงให้กำเนิดแก่ชีวิต ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ และพระองค์คือผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการคำนวณนับ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดเลยที่อุบัติขึ้นมาได้ด้วยความบังเอิญ ธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมจึงยอมสยบอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ ผู้ทรงสร้างมันโดยดุษฎีและดุษณี

โลกจึงถูกกำหนดให้ปีหนึ่งมี 12 เดือน ณ วันแห่งการสร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน ฟากฟ้าถูกกำหนดให้มี 12 จักราศี คัมภีร์อัล กุรอานถูกกำหนดให้มี 114 บท และมี 30 ภาค นั้นคือ 114 + 30 = 144 = 12 x 12 และบรรดาศาสนทูตของพระเจ้าล้วนมีผู้สืบแทนอำนาจการปกครอง (วิลายะย์) จำนวน 12 ท่าน ทั้งหมดนี้จึงเป็นแบบฉบับของพระเจ้าที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นการที่มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งในยุคหลังจากท่านศาสดามุฮัมมัดได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพญามาร พยายามสร้างทฤษฎีอันไร้แก่นสารและหาข้อพิสูจน์ในทางตรรกะไม่ได้ โดยพยายามโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงมนุษยชาติที่โง่เขลาให้หลงเชื่อไปว่ มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงพันธุ์หนึ่ง และมนุษย์ผู้ตกเป็นเหยื่อของมารร้ายต่างก็เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินอย่างจริงจัง จนกำหนดเป็นหลักสูตรในวิชาชีววิทยาใช้เรียนกันในสถาบันการศึกษาไปทั่วโลก

จึงนับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่ง ที่พญามารผู้เป็นศัตรูที่ร้ายกาจของมวลมนุษยชาติ ได้ใช้พลพรรคของมันช่วยกันลดเกียรติของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ให้เหลือเป็นเพียงสิ่งถูกสร้างชนิดหนึ่งที่มีบรรพบุรุษมาจากลิงใหญ่พันธุ์หนึ่งหรือจากสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่วิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียวที่ไร้สติปัญญาและจินตนาการ

มวลมนุษยชาติจึงผ่านกาลเวลาของตนในฐานะพลโลก นับจากมนุษย์คนแรกที่ถูกส่งลงมาพำนักยังโลกนี้พร้อมคู่ครองของเขามาแล้วทั้งสิ้นจนถึงปัจจุบันประมาณ 12,400 ปี ส่วนมนุษย์ได้ผ่านขั้นตอนของการพัฒนาสังคมของตนจนเติบใหญ่กลายเป็นวัฒนธรรมและอารยธรรม ขยายตัวไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกอย่างไรนั้นจะได้นำมากล่าวไว้ในบทต่อไป

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม