เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตอนที่ 3

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตอนที่ 3


โดย อดุลย์ มานะจิตต์
บทที่ 2 การขยายเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก

เมื่อเราได้รับรู้ถึงการมาปรากฏตัวของมนุษย์บนพื้นพิภพนี้แล้วว่ามีที่มาอย่างไร และมนุษย์แตกแยกความเชื่อในเรื่องที่มาของเผ่าพันธุ์ชองตนออกเป็นสองแนวความเชื่อหรือสองทฤษฎี ดังกล่าวไว้ในบทที่หนึ่งอย่างไร

 

   ในบทที่สองนี้ก็เช่นเดียวกัน มนุษย์มีความเชื่อในเรื่องของการขยายเผ่าพันธุ์ของเขาออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆของโลกอย่างไร บรรดานักวิชาการทางโบราณคดีที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ต่างก็พยายามขุดหัวกะโหลกและกระดูกของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายมนุษย์ในยุคหินเก่า หรือ (Paleolithic Period) ไปทั่วภูมิภาคของโลก โครงกระดูกเช่นศีรษะและฟันกรามของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ที่ขุดพบในทวีปยุโรปเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย มีอายุย้อนหลังกลับไปได้ถึง 24 ล้านปี เรียกว่า โพรคอนซูล อยู่ในยุค ไมโอซีน ที่ใหม่ขึ้นมาอีกหน่อย มีชื่อว่า ออสตราโลพิหิชัน มีอายุ 14 ล้านปี อยู่ในยุคไมโอชีนตอนปลาย หรือตอนต้นของยุดไพลโอซีน โครงกระดูกและกะโหลกที่ขุดพบในยุคนี้มีชื่ออื่นๆ เรียกไปตามภูมิภาคที่ขุดพบ เช่น รามาพิธิคัส พบที่อินเดีย เคนยา พิธิคัสจากแอฟริกาตะวันตก และโอรีออนพิธิคัสจากอิตาลี เป็นต้น

   ใกล้เข้าไปอีกก็คือโครงกระดูกและกะโหลกขุดพบที่ทังกายิกา มีอายุ 1,750,000 ปี เรียกว่า โซโมฮาบิลิส และที่ขุดพบในทวีปแอพริกาและเอเชียใต้ในยุดเดียวกันมีชื่อเรียกว่า ออสตราโลพิธิคัส และที่ขุดพบในชวา จีนและแอฟริกามีอายุ 1,100,000 ปีขึ้นไป มีชื่อเรียกว่า โฮโมอีเรคตัส และที่ใหม่ล่าสุดที่ขุดพบได้ในบางภูมิภาค มีอายุ 250,000 ปี มีชื่อเรียกอันเป็นที่รู้จักกันดีว่า โฮโมชาเบียน กะโหลกและโครงกระดูกนี้ที่นักโบราณคดีผู้เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ ต่างยึดถือไว้เป็นตำราว่าเป็นต้นตระกูลของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้

 

   โปรดสังเกตว่า ความเชื่อที่ว่าโฮโมซาเปียนที่วิวัฒนาการมาจาก โครแมกนอน เป็นต้นตระกูลของมนุษย์นั้น เป็นการคาดเดาเอาจากการศึกษาเฉพาะโครงกระดูกและกะโหลกที่ขุดพบเท่านั้น ไม่มีหลักฐานในด้านอื่นๆมาประกอบความเชื่อ เช่น วัฒนธรรม สังคม ภาษาและศาสนาของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น จะมีให้เห็นอยู่บ้างก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ทำจากหินและภาพวาดรูปสัตว์ที่ปรากฏอยู่ตามแท่งหินในถ้ำเป็นต้น ซึ่งยังไม่อาจพิสูจน์ให้เชื่อได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในยุดน้ำแข็งตอนปลาย พลีสโตซีน เชื่อมต่อกับยุคหินเก่าเป็นมนุษย์ตามความหมายที่แท้จริง นั้นคือมีภาษาพูด อยู่เป็นสังคม มีวัฒนธรรมและศาสนา รู้จักสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ยังไม่อาจให้ข้อมูลอะไรแก่เราได้ ไม่ว่าจะเอาศาสตร์ใดๆ ที่มนุษย์รู้จักในปัจจุบันเข้าไปอธิบาย ดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องที่มีเหตุผลและตรรกะที่สุดที่เราจะปฏิเสธว่า โครงกระดูกเหล่านั้นดังที่กล่าวถึงข้างต้นไม่ใช่กะโหลกและโครงกระดูกของมนุษย์ ตามความหมายหรือ

คำนิยามที่แท้จริงของมัน ดังจะกล่าวต่อไป

   ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามของประเทศไทยท่านหนึ่งคือ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล จะได้เขียนเป็นคำตอบเอาไว้ในหนังสือ มนุษย์กับ

จักรวาล เล่ม 1 พิมพ์ครั้งที่ 2 มกราคม 2540 หน้า 331-332 ดังมีความว่า

   เรื่องกำเนิดความเป็นมาของมนุษย์ ตามหลักฐานข้อมูลและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันอยู่โดยทั่วไปในปัจจุบัน มนุษย์ปัจจุบันคือโฮโมซาเบียน มีประวัติที่พัฒนามาจากมนุษย์ยุคก่อนคือ โครแมกนอนซึ่งพัฒนามาจากมนุษย์โบราณ โฮโมอีเรคตัส อีกต่อหนึ่ง โดยที่โฮโมอีเรคตัสก็พัฒนามาจากบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิต ที่เป็นกำเนิดเดียวกันของมนุษย์กับลิง ซึ่งมิได้หมายความว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิง หากทั้งมนุษย์และลิงพัฒนามาจากบรรพบุรุษเดียวกัน

   ก่อนหน้านั้น สิ่งที่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ก็พัฒนามาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเป็นพัฒนาการอย่างช้าๆ ใช้เวลานานนับเป็นหลายร้อยหรือเป็นพันล้านปีทีเดียวครับ

   แต่สิ่งที่เป็นจุดกำเนิดของมนุษย์แรกเริ่มสุดจริง ๆ คือ หน่วยของชีวิตชนิดแรกเริ่มบนโลก ซึ่งตามความเข้าใจของวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบันถือว่ากำเนิดขึ้นเองโดยกระบนการทางธรรมชาติที่เหมาะสม ทำให้เกิดโมเลกุลอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต คือสารประกอบจำพวกกรดอะมิโน

   โดยสรุปแล้ว ตามความเข้าใจของวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันอยู่ในปัจจุบันคือว่า มนุษย์มิได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ทันทีหากเกิดจากการพัฒนามาจากสิ่งมีชีวิตรุ่นแรกๆ ก่อนครับ ซึ่งขัดกับความเชื่อของคุณยอดศักดิ์ ที่เชื่อว่า “มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมา…”

   ในอีกคำถามหนึ่งท่านได้กล่าวตอบไปดังความว่า

“…ดังนั้นแนวคิดหนึ่งเรื่องกำเนิดจักรวาลแบบ บิกแบง ถือว่า สรรพสิ่งในจักรวาลปัจจุบันมีกำเนิดมาจากมวลสารปฐมภูมิ ซึ่งอาจเป็นพลังบริสุทธิ์ ไม่มีตัวตน แต่ทำงานได้ แล้วพลังงานบริสุทธิ์นี้องที่ระเบิดเกิดเป็นจุดกำเนิดของจักรวาล แล้วต่อมาพลังงานอันเป็นองค์ประกอบหลักของพลังงาน ณ จุดระเบิดเริ่มต้น ก็เปลี่ยนไปเป็นสสาร แล้วจึงพัฒนาการต่อมาจนกระทั้งเกิดเป็นอะตอม เป็นโมเลกุล เป็นสารประกอบ เป็นสสาร และต่อๆ มา จนกระทั่งเป็นส่วนที่เป็นสสารของจักรวาลคู่กับส่วนที่เป็นพลังงานของจักรวาลอยู่ในปัจจุบัน

   ตามมโนภาพ จักรวาลก็เริ่มต้นมาจากพลังงานซึ่งไม่มีตัวตนแต่ทำงานได้ แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งเกิดเป็นอะตอม เป็นสิ่งอื่นๆอีมากมายที่จับต้องได้เหมือนมีตัวตนขึ้นมา”

   แต่กระนั้น ดร. ชัยวัฒน์ ก็ได้ให้ข้อสังเกตถึงความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ไว้ว่า

   “อย่าเพิ่งยอมรับคำอธิบายของผมง่ายๆอยากให้ลองศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาหรือการพัฒนาของมนุษย์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึง

ปัจจุบัน ซึ่งจะต้องมองย้อนหลังถึงจุดกำเนิดแรกเริ่มชีวิตบนโลกทีเดียวแล้วก็ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาหลักการของเหตุผลอย่างรอบคอบ แล้วจึงค่อยตัดสินใจควรเชื่ออย่างไร…”

   จึงอาจสรุปถึงคำอธิบายข้างต้นของ ดร. ชัยวัฒน์ได้ว่า สรรพสิ่ง อาจมีกำเนิดมาจากพลังงานบริสุทธิ์ ไร้ตัวตนแต่ทำงานได้ และหน่วยของชีวิตชนิดแรกเกิดขึ้นบนโลกถือว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรืออีกนัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า หน่วยของชีวิตชนิดแรกเกิดขึ้นมาจากพลังงานบริสุทธิ์ไร้ตัวตนแต่ทำงานได้” ดังนั้นตามหลักเหตุผลและตรรกะแล้ว พลังงานบริสุทธิ์นี้จึงอาจ เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและไร้ชีวิต และเป็นพลังควบคุมธรรมชาติก่อให้เกิดสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตขึ้นมาเอง

   ฟังดูค่อนข้างจะสับสนสักหน่อยที่ว่า พลังงานบริสุทธิ์ดังกล่าวข้างต้นนั้นหากไม่มีชีวิตมันจะให้ชีวิตกับหน่วยของชีวิตชนิดแรกบนโลกได้อย่างไร และมันจะทำงานได้อย่างไร ส่วนที่กล่าวว่าชีวิตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหากธรรมชาติไม่มีชีวิต มันจะก่อเกิดชีวิตอื่นได้อย่างไร หากมันมีชีวิตหน่วยของชีวิตที่ถือว่าเป็นชนิดแรกบนโลกหากว่ากันตามหลักของเหตุผลแล้ว จึงไม่ใช่ชีวิตแรกของโลก เพราะธรรมชาติที่เป็นนามธรรม ไร้ตัวตนต้องมีชีวิตขึ้นมาก่อน เพื่อก่อให้เกิดชีวิตชนิดแรกบนโลกจึงจะถูก ทั้งนี้เพราะธรรมชาติได้ชีวิตมาจากพลังงานบริสุทธิ์ คำถามต่อมาเพื่อขจัดความสับสนก็คือ พลังงานบริสุทธิ์จึงจำเป็นจะต้องมีชีวิต เพราะต้องทำงาน แต่การทำงาน ตามหลักของกลศาสตร์ก็คือ ผลคูณของแรงกับระยะทางที่เคลื่อนที่ไป ซึ่งสามารถคำนวณหาพลังงานหรือแรงม้าที่ใช้ในการเกิด บิกแบงได้ แต่พลังงานก็คืออัตราของการทำงาน ซึ่งหมายถึงการทำงานในเวลาที่กำหนดคิดเป็นวินาที นาที ชั่วโมง วัน อาทิตย์ เดือน ปี ทศวรรษ ศตวรรษและสหัสวรรษ คำถามต่อมาจึงเกิดขึ้นว่า ‘เวลา’ ดังกล่าวนี้ บังเกิดขึ้นได้อย่างไร มันมีมาก่อนพลังงานบริสุทธิ์ดังกล่าว หรือมีมาพร้อมกัน หรือมีมาทีหลัง หากพลังงานบริสุทธิ์เป็นสิ่งแรกที่มี ดังนั้นเวลาจึงเกิดขึ้นภายหลังเมื่อมันได้เปลี่ยนเป็นสสารแล้ว และจากนั้นสสารและพลังงานจึงเปลี่ยนเป็นเวลา ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้จะคงอยู่ได้โดยจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้

   ที่จำเป็นจะต้องกล่าวอย่างยืดยาวถึงเรื่องนี้ในต้นบทที่ 2 ก็เพราะต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ในเมื่อวงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังให้คำตอบไม่ได้ว่า พลังงานบริสุทธิ์ดังกล่าวได้รับชีวิตมาอย่างไร หากไม่มีชีวิตมันทำงานได้อย่างไร ดังนั้นจึงปวยการที่จะตั้งคำถามว่าธรรมชาติได้ชีวิตมาอย่างไร ถ้าหากมันไม่มีชีวิต เราจะใช้คำว่า ‘เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ’ได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่รู้เลยธรรมชาติเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จึงป่วยการที่จะไปถามว่ามวลสารปฐมภูมิได้ชีวิตมาอย่างไร ถึงมีอำนาจไปให้กำเนิดสรรพสิ่งในจักรวาลปัจจุบัน

   ส่วน ดร. ชัยวัฒน์ เจนวาณิชย์ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง ได้ตอบคำถามว่าชีวิตคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ไว้อย่างตรงไปตรงมาในหนังสือ เพลิดเพลินกับวิทยาศาสตร์เล่ม 5 พิมพ์ครั้งที่ 1/2529 หน้า 101 ดังความว่า “แม้กระทั้งในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบว่าชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร”

   ตามความเป็นจริงแล้วคำถามนี้ถือเป็นคำถามที่จำเป็นอันดับแรกสุดก่อนคำถามอื่นใด และคำถามที่ว่าชีวิตคืออะไร จึงเป็นคำถามที่จำเป็นอันดับสองรองลงมา

   นักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 มีความเจริญก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสูง แต่กลับตอบคำถามไม่ได้ว่าชีวิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร / จึงปวยการที่จะพยายามอธิบายว่าหน่วยชีวิตชนิดแรกเริ่มบนโลกนี้อย่างไร เพราะในที่สุดก็จะจบลงด้วยกับคำตอบที่เด็กฟังแล้วยังหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่า “เกิดขึ้นเอง”

   ถึงแม้โครงกระดูกและกะโหลกของสิ่งมีชีวิต ที่ขุดพบโดยนักโบราณคดีตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก และกำหนดเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ดังกล่าวแล้ว จะถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นยุคเริ่มต้นของการใช้อาวุธต่างๆทั้งการล่าสัตว์และประกอบอาหาร และจัดให้อยู่ในยุคหินเก่าและยุคหินกลางก็ตาม เมื่อนำมาต่อเชื่อมกับยุคหินใหม่ (Neolithic) ซึ่งอารยธรรมของมนุษย์เริ่มมีปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นกว่าปีที่ผ่านมาก็อยู่ในยุคหินใหม่

   ดังนั้น ในตอนท้ายของบทที่ 2 จึงขอนำเสนอถึงการกำเนิดและการขยายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไปตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก โดยเริ่มต้นขึ้นที่ยุดหินกลางเชื่อมต่อกับยุคหินใหม่ ตามการจัดลำดับยุคของนักวิชาการตะวันตก ซึ่งเรียกกันในวิชาประวัติศาสตร์ว่า ยุดก่อนประวัติศาสตร์ แต่สำหรับความเชื่อในแนวคำสอนของอิสลามแล้ว ประวัติเรื่องราวของการที่อาดัมและยาวาเริ่มมาดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก ได้ถูกสาธยายไว้อย่างชัดแจ้งแล้วในคัมภีร์อัล กุรอานและในคำเทศนาของท่านศาสดามุฮัมมัด ศาสนทูตท่านสุดท้าย ฉะนั้นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในทัศนะของอิสลามจึงไม่มีคำว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์หรือยุคหลังประวัติศาสตร์

 

   โปรดสังเกตว่า เรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของอาดัมและฮาวา จนถึงการมาของศาสดาอีซาที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์อัล กุรอาน จะมีเนื้อหาและรายละเอียดส่วนใหญ่แตกต่างไปจากเรื่องราวที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลทั้งเก่าและใหม่ของชาวยิวและชาวคริสต์ทั้งนี้เพราะต้นฉบับอันเป็นคัมภีร์ที่แท้จริง ได้ถูกบันทึกไว้ในคำเทศนาตามภาษาของบรรดาศาสดาเหล่านั้นสูญหายจนหมดสิ้น

รายละเอียดของเรื่องนี้จะนำไปกล่าวไว้ในบทที่ 3

   การเริ่มต้นเผ่าพันธุ์แห่งชีวิตและอารยธรรมของมนุษยชาติ จึงอาจจัดได้เป็นลำดับตามขั้นตอนต่างๆ ในประวัติศาสตร์ดังต่อไปนี้เนื่องจากยุคหินเก่า (Paleolithic Period) ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชัดว่าโครงกระดูกและกะโหลกที่ขุดพบเหล่านั้นเป็นของมนุษย์ที่มีอารยธรรม จึงข้ามไปไม่ขอกล่าวถึง

   จากยุค หินกลาง (Mesolithic Period) มาสู่ยุค หินใหม่ (Neolithic Period) ปรากฎให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอันหลายหลากและแตกต่างกันในวิถีชีวิตของมนุษย์ มีการประดิษฐ์และเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยทั่วไปก็คือ การผลิตอาหาร หินโม่แป้ง และ การผลิตเครื่องปั้นดินเผาเครื่องมือที่ใช้เป็นอาวุธและมีดที่ใช้ในครัวเรือน ผลิตขึ้นอย่างเรียบร้อยดูสวยงาม มีขนาดเหมาะเจาะและขัดมันอย่างดี มีการสร้างกระท่อมเป็นที่อยู่อาศัย โดยใช้ไม้ขัดแตะฉาบด้วยดินเหนียว เครื่องปั้นดินเผาที่ทำเป็นถ้วยชามและหม้อไหต่างๆ นั้น ในตอนแรกนำไปตากแดดและต่อมานำไปเผา

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม