คำอธิบายโองการที่ 51-52-53-54 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
คำอธิบายโองการที่ 51-52-53-54 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
وَ إِذْ وَعَدْنَا مُوسى أَرْبَعِينَ لَيْلَةً ثُمَّ اتخَذْتمُ الْعِجْلَ مِن بَعْدِهِ وَ أَنتُمْ ظلِمُونَ
ثمَّ عَفَوْنَا عَنكُم مِّن بَعْدِ ذَلِك لَعَلَّكُمْ تَشكُرُونَ
وَ إِذْ ءَاتَيْنَا مُوسى الْكِتَب وَ الْفُرْقَانَ لَعَلَّكُمْ تهْتَدُونَ
وَ إِذْ قَالَ مُوسى لِقَوْمِهِ يَقَوْمِ إِنَّكُمْ ظلَمْتُمْ أَنفُسكم بِاتخَاذِكُمُ الْعِجْلَ فَتُوبُوا إِلى بَارِئكُمْ فَاقْتُلُوا أَنفُسكُمْ ذَلِكُمْ خَيرٌ لَّكُمْ عِندَ بَارِئكُمْ فَتَاب عَلَيْكُمْ إِنَّهُ هُوَ التَّوَّاب الرَّحِيمُ
ความหมาย
51. และจงรำลึกถึง เมื่อเราได้สัญญาแก่มูซาสี่สิบคืน (เขาได้ไปยังเขาฏูรเพื่อรอรับพระดำรัส) หลังจากนั้นสูเจ้าได้ยึดถือลูกวัว (เป็นพระเจ้า) ขณะที่การกระทำเช่นนี้ เป็นการอธรรมต่อตนเอง
52. แล้วเราได้ให้อภัยแก่สูเจ้า หลังจากนั้น เพื่อสูเจ้าจะได้ขอบคุณ
53. และจงรำลึกถึง เมือเราได้ประทานคัมภีร์ข้อวิจารณ์อันเด่นชัดแก่มูซา (อ.) เพื่อสูเจ้าจะได้รับทางนำ
54. และจงรำลึกถึง เมื่อมูซาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า โอ้ประชากรของฉัน ! แท้จริงพวกท่านได้ อยุติธรรมต่อตัวของพวกท่านเอง โดยที่พวกท่านได้ยึดถือลูกวัว ( เป็นที่เคารพสักการะ) ดังนั้น จงลุแก่โทษและกลับคืนสู่พระผู้ทรงบังเกิดพวกท่านเถิด แล้วจงฆ่าตัวของพวกท่าน นั่นเป็นการดีกว่าสำหรับพวกท่าน ณ พระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน แล้วพระองค์ทรงนิรโทษสูเจ้า แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงนิรโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
คำอธิบาย การหลงทางที่ใหญ่ที่สุดของบนีอิสรออีล
อัล-กุรอานสี่โองการนี้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์มากมายของชาวบนีอิสรอีล เป็นการรำลึกถึงความทรงจำที่สร้างความหวั่นไหวแก่วงศ์วานอิสรออีลอย่างยิ่ง
โองการเหล่านี้ กล่าวถึงการหลงทางครั้งยิ่งใหญ่ของบนีอิสรออีล บนหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งนั้นคือการหันเหออกจากพระเจ้าองค์เดียว ไปสู่การตั้งภาคีโดยยึดถือลูกวัวเป็นเทพเจ้าบูชา อัล-กุรอานเตือนสติพวกเขาว่า ครั้งหนึ่งพวกเจ้าเคยก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินมาแล้ว บนความโง่เขลาและความอวดดีจนกระทั่งตกระกำลำบากกันถ้วนหน้า พวกเจ้าจงตื่นขึ้นเถิด บัดนี้ แนวทางแห่งพระเจ้าองค์เดียว (อัล-กุรอาน และอิสลาม) ได้เปิดกว้างสำหรับพวกเจ้าแล้ว จงละทิ้งความโง่เขลาเสีย อัล-กุรอานจึงเน้นว่า และจงรำลึกถึง เมื่อเราได้สัญญาแก่มูซาสี่สิบคืน (เขาได้ไปยังภูเขาซินายเพื่อรอรับพระดำรัส) หลังจากนั้นสูเจ้าได้ยึดถือลูกวัว (เป็นพระเจ้า) ขณะที่การกระทำเช่นนี้ เป็นการอธรรมตนเอง
โองการถัดมา หลังจากพระองค์ทรงช่วยเหลือพวกบนีอิสรออีล ให้รอพ้นจากการกดขี่ และการทรมานที่ชั่วช้า โดยให้บริวารของฟิรอาวน์จมน้ำตาย หลังจากนั้นพระองค์ทรงมอบหน้าที่ให้ศาสดามูซา (อ.) เพื่อรับคัมภีร์เตารอตที่ภูเขาฏูรเป็นเวลา 30 วัน แต่เพื่อทดสอบประชาชาติพระเจ้าทรงยึดเวลาออกไปอีก 10 วัน ซามิรียฺ ยะฮูดียฺคนหนึ่งเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างมาก ได้ฉวยโอกาสในช่วงนั้นนำแก้วแหวนเงินทอง ที่พวกบนีอิสรออีลลักรอบ นำติดตัวมา ขณะหนีบริวารของฟิรอาวน์ มาประดิษฐ์เป็นรูปลูกวัวโดยมีเสียงร้องที่เฉพาะเจาะจง หลังจากนั้นได้เชิญชวนให้พวกบนีอิสรออีลมาสักการบูชา
พวกบนีอิสรออีลส่วนใหญ่เชื่อฟังเขาและได้หันมาสักการลูกวัวแทน ศาสดาฮารูน (อ.) ในฐานะตัวแทนของศาสดามูซา (อ.) กับสาวกจำนวนน้อยนิดยังคงยึดมั่นอยู่กับศาสนาที่เชื่อมั่นในพระเจ้าองค์เดียวต่อไป และไม่ว่าท่านจะพยายามอย่างไรเพื่อให้พวกเขารอดพ้นจากการหลงทางครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่สำเร็จ แม้แต่ตัวท่านศาสดาฮารูนเองก็เกือบเอาตัวไม่รอด
หลังจากศาสดามูซา (อ.) กลับมาจากภูเขาฏูร เมื่อเห็นประชาชนกระทำเช่นนั้น ท่านจึงโกรธมาก และประณามพวกเขาอย่างรุนแรง เมื่อพวกเขารู้สึกตัวว่าได้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งลงไป จึงขอโอกาสเพื่อลุแก่โทษ ศาสดามูซาจึงวอนขอต่อพระเจ้าให้ลุแก่โทษแก่พวกเขาชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
โองการต่อมา กล่าวว่า และจงรำลึกถึง เมือเราได้ประทานคัมภีร์ข้อวิจารณ์อันเด่นชัดแก่มูซา (อ.)เพื่อสูเจ้าจะได้รับทางนำ ทั้งกิตาบและฟุรกอนอาจหมายถึง คัมภีร์เตารอต หรืออาจเป็นไปได้ว่า กิตาบ นั้นหมายถึงเตารอต ส่วน ฟุรกอน นั้นหมายถึง ความมหัศจรรย์หรืออภินิหารที่พระเจ้าทรงประทานให้มูซา (อ.)เนื่องจาก ฟุรกอน ในเชิงของภาษาหมายถึง ข้อวิจารณ์ หรือสิ่งจำแนกความจริงออกจากความเท็จ
คำว่า บารีย์ (باری) หมายถึง พระผู้ทรงสร้าง ตามความหมายเดิมหมายถึง การแยกสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่ง เนื่องจากพระผู้ทรงสร้าง ทรงแยกสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ออกจากวัตถุเดิม และออกจากอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกให้เห็นว่า การลุแก่โทษที่หนักหน่วงนี้ ผู้ที่จะให้แก่เจ้าได้คือ พระผู้ทรงสร้างเจ้ามาตั้งแต่แรก
ความผิดอันยิ่งใหญ่กับการลุแก่โทษที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่เป็นที่สงสัยว่าการสักการะลูกวัวของซามิรียฺมิใช่เรื่องเล็กน้อย เนื่องจากประชาชาติที่เพิ่งจะเห็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของพระเจ้า และเห็นอภินิหารของศาสดาของตนมาหมาด ๆ แต่พวกเขากลับลืมอย่างง่ายดาย ช่วงเวลาอันสั้นที่ศาสดามูซา (อ.) ไม่ได้อยู่กับพวกเขา พวกเขาได้ละทิ้งรากฐานแห่งเตาฮีด (พระเจ้าองค์เดียว) และศาสนาของพระองค์ โดยนำสิ่งเหล่านี้ไปไว้ใต้ฝ่าเท้าของตน และหันกลับไปบูชาเทวรูปที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นแทน
แน่นอนถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขุดรากถอนโคนออกจากความคิด และสมองของพวกเขา พวกเขาก็จะก่ออันตรายได้ทุกเวลา หากมีโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากศาสดามูซาจากไป อาจเป็นไปได้ที่พวกเขาจะทำลายคำสอนและการเผยแผ่ทั้งหมดของมูซา (อ.) ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงมีคำสั่งอย่างรุนแรง นอกจากให้ลุแก่โทษและกลับมาสู่การเคารพบูชาในพระเจ้าองค์เดียวแล้ว ยังสั่งให้ประหารชีวิตกลุ่มชนที่ก่อความผิดในครั้งนี้
คำสั่งของพระองค์ในครั้งนี้ต้องปฏิบัติในลักษณะที่เจาะจง หมายถึงพวกเขาต้องจับดาบ และฆ่ากันเอง ซึ่งการฆ่ากันเป็นการลงโทษอย่างรุนแรง มิหนำซ้ำยังต้องมาฆ่าคนรู้จักและมิตรสหายอีกต่างหาก บางรายงานกล่าวว่าศาสดามูซา (อ.) สั่งให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการประดิษฐ์ลูกวัวเพื่อบูชา อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า เข้าแถวและสังหารพวกเขาในคืนเดียว
บางคนอาจคิดว่า เพราะเหตุใดการลุแก่โทษครั้งนี้จึงต้องโหดร้าย และป่าเถื่อน ถ้าปราศจากการหลั่งเลือด พระองค์จะไม่ยอมรับการลุแก่โทษหรือ
ปัญหาเรื่องการหันเหออกจากความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และกลับไปสู่การตั้งภาคีกับพระองค์ มิใช่เรื่องเล็กน้อย ในความเป็นจริงแล้วศาสนาแห่งฟากฟ้าทั้งหมด สามารถสรุปได้ที่การเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว การปฏิเสธพื้นฐานหลักก็เท่ากับเป็นการทำลายศาสนาทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ การประดิษฐ์ลูกวัวขึ้นบูชาถ้าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย บางทีอาจกลายเป็นแบบฉบับสำหรับชนรุ่นต่อไปในอนาคต ดังนั้น จำเป็นต้องลงโทษอย่างรุนแรงเพื่อเป็นบทเรียน และเป็นความทรงจำที่ดีแก่ชนในทุกยุคทุกสมัย และเพื่อป้องกันมิให้บุคคลอื่นคิดที่จะประดิษฐ์พระเจ้าจอมปลอมขึ้นมาบูชาอีก อัลกุรอานประโยคที่กล่าวว่า นั่นเป็นการดีกว่าสำหรับพวกท่าน ก็ต้องการบ่งชี้ถึงประเด็นนี้