โองการที่ 102, 103 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
โองการที่ 102, 103 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
يَأَيهَا الَّذِينَ ءَامَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ حَقَّ تُقَاتِهِ وَ لا تمُوتُنَّ إِلا وَ أَنتُم مُّسلِمُونَ (102)وَ اعْتَصِمُوا بحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعاً وَ لا تَفَرَّقُوا وَ اذْكُرُوا نِعْمَت اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّف بَينَ قُلُوبِكُمْ فَأَصبَحْتُم بِنِعْمَتِهِ إِخْوَاناً وَ كُنتُمْ عَلى شفَا حُفْرَةٍ مِّنَ النَّارِ فَأَنقَذَكُم مِّنهَا كَذَلِك يُبَينُ اللَّهُ لَكُمْ ءَايَتِهِ لَعَلَّكمْ تهْتَدُونَ (103)
ความหมาย
102. โอ้บรรดาศรัทธาเอ๋ย จงสำรวมตน ต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริง และจงอย่าตาย เว้นแต่สูเจ้าจะเป็นมุสลิม
103. และสูเจ้าทั้งหลาย จงยึดมั่นสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกัน จงอย่าแตกแยก และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่สูเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงสมานระหว่างหัวใจของสูเจ้า ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ สูเจ้าได้มาเป็นพี่น้องกัน และสูเจ้าเคยอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ได้ทรงช่วยสูเจ้าให้พ้นจากที่นั้น ในทำนองนั้น อัลลอฮฺ ได้ทรงทำให้โองการทั้งหลายของพระองค์ แจ่มแจ้งแก่สูเจ้า บางที่อาจจะได้รับทางนำ
สาเหตุของการประทานโองการ
วันหนึ่งมีชาย 2 คน จากเผ่าอะเวซ และค็อซรัซ ชื่อ ซะอ์บลับ บุตรของ เฆาะนัม และอัซอัด บุตรของซุรรอเราะฮฺ ได้เผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างชื่นชมและยกย่องเผ่าของตนหลังจากที่เข้ารับอิสลาม ซะอ์ลับ กล่าวว่า คุซัยมะฮฺ บุตรของ ซาบิต (ซุลชะฮาดะตัยน์) และฮันเซาะละฮฺ (ฆุซีล อัลมลาอิกะฮฺ) ทั้งสองเป็นผู้ทีเกียรติยิ่งในอิสลาม ซึ่งมาจากเผ่าของเรา ทำนองเดียวกัน อาซิม บุตรของซาบิต ซะอด์ บุตรของ มะอาซ ก็มาจากเผ่าของเรา และอัซอัด บุตรของซุรรอเราะฮฺ กล่าวว่า 4 คนที่มาจากเผ่าของเราได้เรียนและสอนอัล-กุรอาน ได้แก่ อุบัย บุตรของ กะอับ มะอาซ บุตรของญะบัล ซัยด์ บุตรของ ซาบิต อบูซัยด์ และซะอด์ บุตรของ อิบาดะฮฺ ซึ่งเป็นหัวหน้ากล่าวเทศนาประจำเมืองมะดีนะฮฺ ก็มาจากเผ่าเรา การโต้เถียงกันเลยเถิดไปถึงการวิวาท ทำให้สองเผ่าเกือบจะจับอาวุธเข้าฟาดฟันกัน ไฟแห่งความโกรธกริ้วได้ลุกขึ้นอีกครั้ง ข่าวการวิวาทได้ล่วงเลยไปถึงศาสดา (ซ็อล ฯ) ท่านรีบเดินทางมาเพื่อปรับความเข้าใจในหมู่พวกเขา ยุติข้อขัดแย้งและเชิญชวนสู่ความเป็นเอกภาพ
คำอธิบาย เชิญชวนไปสู่ความสำรวมตน
โองการแรกเชิญชวนไปสู่ความสำรวมตนจากความชั่ว เพื่อเป็นปฐมบทของการเชิญชวนไปสู่ความเป็นเอกภาพ ซึ่งในความเป็นจริงการเชิญชวนไปสู่เอกภาพถ้าปราศจาก พื้นฐานอันมั่นคงที่มาจากจริยธรรม และความเชื่อแล้วสิ่งนั้นจะไม่มีผล ด้วยเหตุนี้ โองการจึงเชิญชวนไปสู่การสำรวมตน เพื่อลดปัจจัยสำคัญทีสร้างความแตกแยก ทั้งในเรื่องความศรัทธา และศีลธรรม ฉะนั้น โองการจึงกล่าวกับบุคคลที่มีศรัทธาโดยตรงว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงสำรวมตน ต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริง
จุดประสงค์ของ สำรวมตน อย่างแท้จริง หมายถึงอะไร บรรดานักอรรถาธิบายอัล-กุรอาน แสดงทัศนะที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เป็นที่คลางแคลงใจคือ สำรวมตนอย่างแท้จริง เป็นระดับสุดท้ายของผู้มีความยำเกรง เป็นการหลีกเลี่ยงจากทุกความผิด การล่วงละเมิด การหลงลืม และการหันเหออกจากสัจธรรมความจริง อิมามซอดิก (อ.) อธิบายประโยคที่ว่า การสำรวมตนอย่างแท้จริง ว่าหมายถึง การเชื่อฟังปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ ต้องไม่กระทำความผิด รำลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา ต้องไม่ลืมเลือนพระองค์ ต้องขอบคุณพระองค์ และต้องไม่เนรคุณความโปรดปรานของพระองค์
โองการแม้จะกล่าวกับเผ่า อะเวซ และค็อซรัซโดยตรง แต่ขอบข่ายของโองการมิได้แคบอยู่แค่นั้น จุดประสงค์ของโองการครอบคลุมมุสลิมทั้งหมด และพวกเขาตลอดเวลาว่า จงระวังรักษาบั้นปลายสุดท้ายให้ดี อย่าให้บั้นปลายสุดท้ายของชีวิตต้องเผชิญกับความอับโชค ด้วยเหตุนี้ โองการจึงกล่าวว่า และจงอย่าตาย เว้นแต่สูเจ้าจะเป็นมุสลิม
เชิญชวนไปสู่เอกภาพ
โองการนี้กล่าวเชิญชวนไปสู่การมีเอกภาพ และการหลีกเลี่ยงความแตกแยกทั้งปวงกล่าวว่า จงยึดมั่นสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกัน และจงอย่าแตกแยก
คำว่า สากเชือของอัลลอฮฺ (ฮับลุลลอฮฺ) นักอรรถาธิบายอัล-กุรอานมีทัศนะต่างกัน รายงานก็อธิบายไว้ต่างกัน เช่น ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า สายเชือกของอัลลอฮฺ หมายถึง อัล-กุรอานของพระองค์ อิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า สายเชือกในโองการหมายถึง บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ซึ่งมีคำสั่งให้ปฏิบัติตามพวกเขา
สิ่งที่กล่าวมามิได้มีความขัดแย้งกัน เนื่องจากจุดประสงค์ของ สายเชือกของอัลลอฮฺ หมายถึงสื่อที่สามารถติดต่อกับอาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ซึ่งอาจเป็นอิสลาม หรืออัล-กุรอาน หรือบรรดาศาสดา หรือบรรดาอะฮฺบัยตฺ
เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่า ฮับลุลลอฮฺ (สายเชือกของอัลลอฮฺ
สิ่งที่ควรพิจารณาคือ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวถึงความเป็นเอกภาพว่า สายเชือกของอัลลอฮฺ บ่งบอกว่ามนุษย์บนเงื่อนไขทั่ว ๆ ไป ถ้าปราศจากความรอบรู้ และผู้นำทาง เขาก็จะตกเป็นทาสของอารมณ์ และระหกระเหินอยู่บนความโง่เขลา เขาต้องการเชือกเส้นหนึ่งที่เหนียวและแข็งแรงเพื่อยึดเหนี่ยว และดึงเขาขึ้นมาให้พ้นจากปากเหวแห่งความโง่เขลา ซึ่งสายเชือกนั้นได้แก่ความสัมพันธ์ที่มีต่อพระเจ้า โดยผ่านอัล-กุรอานหรือตัวแทนที่แท้จริงของพระองค์ เพื่อจะได้สามารถช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากความต่ำต้อย ไปสู่ความสมบูรณ์ ดังนั้น จึงเชิญชวนมุสลิมให้ใคร่ครวญ และเปรียบเทียบระหว่างความแตกแยกในอดีต กับความสามัคคีปัจจุบัน โองการกล่าวว่า จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่สูเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน หลังจากนั้นโองการกล่าวถึงการสมานใจของพวกเจ้าว่า พระองค์ได้ทรงสมานระหว่างหัวใจของสูเจ้า บ่งบอกให้เห็นความยิ่งใหญ่ของสังคมอิสลาม เพราะถ้าพิจารณาความขัดแย้งของพวกเขาในอดีตทีผ่านมา จะเห็นว่าปัญหาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถสร้างความขัดแย้งและนำไปสู่การนองเลือดระหว่างพวกเขาได้ทันที
การให้ความสำคัญต่อความเป็นเอกภาพและความพี่น้องกันระหว่างเผ่าต่าง ๆ ทีมีอคติกันอย่างรุนแรง ซึ่งสิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ของนักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการทั่วไป ซึ่งพวกเขากล่าวถึงสิ่งนี้ด้วยความประหลาดใจ
คำว่า ชะฟา ตามรากศัพท์หมายถึง ปากหลุม หรือบ่อ หรือสถานที่คล้ายกัน และการที่เรียกริมฝีปากว่า ชะฟะฮฺ อาจเป็นเพราะสาเหตุดังกล่าว หรือเรียกคนที่ไม่สบายเมื่อหายจากอาการป่วยไข้ว่า ได้ชะฟา เพราะอยู่เคียงข้างกับสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
คำว่า นาร หมายถึง ไฟ ซึ่งจุดประสงค์ของไฟในโองการบ่งบอกถึง การทะเลาะวิวาท ที่สุมอยู่ในหัวอกของพวกเขา ซึ่งอาจประทุได้ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะเห็นว่า อำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจาก ความสามัคคีและความเป็นเอกภาพในหมู่ประชาชาติ รายงานจำนวนมากจาก ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวให้ความสำคัญต่อความเป็นเอกภาพและภราดรภาพในหมู่มุสลิม เช่น รายงานหนึ่งกล่าวว่า บรรดาผู้ศรัทธาเปรียบเสมือนเรือนร่างเดียวกัน อวัยวะแต่ละส่วนจะช่วยเสริมสร้างให้เรือนร่างส่วนต่าง ๆ มีความมั่นคงแข็งแรง