โองการที่ 121,122 ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน
โองการที่ 121,122 ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน
وَ إِذْ غَدَوْت مِنْ أَهْلِك تُبَوِّىُ الْمُؤْمِنِينَ مَقَعِدَ لِلْقِتَالِ وَ اللَّهُ سمِيعٌ عَلِيمٌ (121) إِذْ هَمَّت طائفَتَانِ مِنكمْ أَن تَفْشلا وَ اللَّهُ وَلِيهُمَا وَ عَلى اللَّهِ فَلْيَتَوَكلِ الْمُؤْمِنُونَ (122)
ความหมาย
121. และจงรำลึกถึง เมื่อสูเจ้าจากครอบครัวตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเลือกฐานที่มั่นต่าง ๆ ให้บรรดาผู้ศรัทธาสำหรับการสู้รบ อัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
122. จงรำลึกถึง เมื่อสองกลุ่มในหมู่สูเจ้าตัดสินใจแสดงความอ่อนแอ (ลังเลจะถอย) ทั้งที่อัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงคุ้มครองของทั้งสอง (ทรงช่วงเหลือ ให้พ้นจากความคิดดังกล่าว) และ ณ อัลลอฮฺ และบรรดาผู้ศรัทธาต้องมอบหมายไว้วางใจต่ออัลลอฮฺ
คำอธิบาย
โองการทีทั้งสองกล่าวถึงสงครามหนึ่งในยุคแรกของอิสลาม ซึ่งท่านศาสดาได้ออกสู่สรมภูมิรบในฐานะของแม่ทัพ นักอรรถาธิบายอัล-กุรอาน ส่วนใหญ่กล่าวว่า สงครามครั้งนี้คือ สงครามอุฮุด ซึ่งอัล-กุรอานก็แสดงสัญลักษณ์ให้เห็นว่าเป็นสงครามดังกล่าว อัล-กุรอาน กล่าวว่า เมื่อสูเจ้าจากครอบครัวตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเลือกฐานที่มั่นต่าง ๆ ให้บรรดาผู้ศรัทธา ประโยคดังกล่าวเข้าใจได้ว่า สมรภูมิรบนั้นน่าจะอยู่ใกล้มะดีนะฮฺที่สุด ซึ่งไม่มีสงครามใดอยู่ใกล้มะนะฮฺมากยิ่งไปกว่าสงครามอุฮุด
อย่างไรก็ตาม สงครามดังกล่าวตามการบอกเล่าของ อัล-กุรอาน มีท่านศาสดาเป็นแม่ทัพ ท่านได้ออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเลือกฐานที่มั่นให้บรรดาผู้ศรัทธา ตอนท้ายของโองการกล่าวถึง การได้ยิน และการรอบรู้ของอัลลอฮฺ บ่งบอกว่าพระเจ้าทรงรอบรู้ในทุกคำพูดและทุกความคิดของมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดสามารถปกปิดพระองค์ได้
โองการถัดมากล่าวถึงอีกสถานการหนึ่งของสงคราม กล่าวคือ เมื่อชน 2 กลุ่มในหมู่มุสลิมแสดงความอ่อนแอออกมาลังเลที่จะถอยทัพตั้งแต่กลางคัน ซึ่งเกือบจะทำให้ฝ่ายมุสลิมได้รับความพ่ายแพ้ สองกลุ่มชนได้แก่ บนี ซัลละมะฮฺ และบนีฮาริวะฮฺ แต่พระเจ้าทรงคุ้มครองและช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากความอ่อนแอ พวกเขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาได้รับมาจากการมอบหมายความไว้วางใจในพระเจ้า และความอดทน อัล-กุรอาน กล่าวว่า บรรดาผู้ศรัทธาต้องมอบหมายไว้วางใจต่ออัลลอฮฺ เพราะการมอบหมายความไว้วางใจ จะช่วยเติมความเข็มแข็งแก่จิตวิญญาณของมนุษย์ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา
การตะวักกัล (มอบหมาย) ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้กระทำสิ่งใด หรือมอบให้พระเจ้าเป็นผู้กระทำแต่เพียงผู้เดียว เป็นการเข้าใจผิดพลาดอย่างรุนแรง ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า อัล-กุรอาน และอิสลาม ทว่าการตะวักกัล หมายถึง เมื่อมนุษย์เกือบจะประสบกับพ่ายแพ้ หรือตกอยู่ในอันตราย เขาไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว จึงได้วอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า ให้มอบความสามารถทั้งหมดแก่ภารกิจ สิ่งใดที่สามารถเป็นไปได้ขอให้พระองค์ทรงโปรดสิ่งนั้น ขอพระองค์ทรงทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป
สงครามอุฮุดเป็นสงครามที่อันตรายที่สุด แต่บุคคลที่เสียสละมากที่สุดในสงครามนี้คือ อะลี (อ.) ท่านได้ต่อสู้ในสงครามจนกระทั่งดาบหัก ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้มอบดาบซุลฟิก็อรแก่อะลี และท่านได้ปกป้องท่านศาสดาด้วยชีวิต ประวัติศาสตร์บันทึกว่าอิมามอะลี (อ.) มีบาดแผลทั่วร่างกายถึง 60 แผล ในเวลานั้น ญิบรออีล กล่าวกับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า โอ้มุฮัมมัด นี่คือความหมายของคำว่า เสียสละ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า อะลีมาจากฉัน และฉันมาจากอะลี ญิบรออีล กล่าวว่า ฉันก็มาจากทั้งสอง
สาเหตุที่ทำให้ชนสองเผ่าเกือบถอยทัพกลางคัน
นักประวัติศาสตร์บันทึกว่า กอมอะฮฺ เป็นนายทหารฝ่ายมุสลิมคิดว่า เห็นว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ถูกทำร้ายอย่างสาหัส หลังจากนั้นจึงได้ตะโกนว่า ขอสาบานด้วยลาต และอุซซา มุฮัมมัดถูกสังหารแล้ว คำพูดดังกล่าวไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม เป็นประโยชน์กับมุสลิม เนื่องจากฝ่ายศัตรูเมื่อได้ยินว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ถูกสังหารแล้ว พวกเขาได้ถอยทัพออกจากอุฮุดมุ่งหน้ากลับมักกะฮฺ โดยไม่ได้จับมุสลิมเป็นเชลยแม้แต่คนเดียว
อีกด้านหนึ่ง ข่าวการถูกสังหารของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) สร้างความปั่นป่วนแก่ทหารฝ่ายมุสลิม เนื่องจากตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาเห็นว่าฝ่ายมุสลิมมีจำนวนน้อยกว่ามาก เพี้ยงพล้ำระหว่างสงคราม ทหารถูกสังหารไปมากมาย ประกอบกับได้ยินข่าวว่าท่านศาสดาถูกสังหาร พวกเขาจึงแสดงความอ่อนแอ และลังเลเกือบจะถอยทัพ
ส่วนมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในสมรภูมิ ต้องการรักษาทัพไม่ให้แตก พวกเขาได้พาท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ขึ้นไปบนเขาเพื่อแสดงให้มุสลิมเห็นว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อพวกที่หนีทัพไปเห็นเช่นนั้น ได้ย้อนกลับมารายล้อมท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ไว้ ท่านศาสดาประณามพวกเขาอย่างรุนแรงว่า ในสถานการที่อันตรายเช่นนั้นพวกท่านหนีทัพไปได้อย่างไร พวกเขาต่างแก้ตัวว่า โอ้ท่านศาสดาเราได้ยินว่าท่านถูกสังหารแล้ว ด้วยความกลัวพวกเราจึงหนีทัพไป
ด้วยเหตุนี้ สงครามอุฮุด เป็นสงครามเดียวที่สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สิน และชีวิตของมุสลิมจำนวนมหาศาล มีมุสลิมชะฮีดในสงครามนี้ 70 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ให้บทเรียนสำคัญแก่มุสลิม และเป็นหลักประกันสำหรับสงครามครั้งต่อไปในอนาคต