มะอาด ตอนที่สอง
มะอาด ตอนที่สอง
คำนิยาม
มะอาดในศัพท์ทางเทววิทยา หมายถึง การกลับมาของจิตวิญญาณสู่ร่างกายของมนุษย์ในวันกิยามัตและการฟื้นคืนชีพ เพื่อให้การกระทำของเขาได้รับการประเมิน ผู้ที่กระทำความดี จะได้รับผลรางวัลเป็นสวรรค์และความโปรดปรานอันนิรันดร์ ในขณะที่ผู้ที่กระทำความผิดจะได้รับการลงโทษและความทุกข์ทรมาน อับดุลลอฮ์ ญะวาดี อามุลี ได้ให้ความหมายของมะอาด ว่า เป็นการกลับมาของมนุษย์สู่พระเจ้า (๓๙)
ซะอ์ดุดดีน ตัฟตาซานี นักวิชาการชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ในศตวรรษที่แปดแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ได้ให้ความหมายสี่ประการของมะอาด : การกลับมาของการมีอยู่หลังจากการสูญสลาย การรวบรวมชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายหลังจากการกระจายตัว การกลับมามีชีวิตหลังความตาย และการกลับมาของวิญญาณสู่ร่างกายหลังจากการแยกออกจากกัน (๔๐) บางคนมองว่า ชีวิตหลังความตาย เป็นการรวบรวมการเดินทางของมนุษย์และชีวิตในอีกมิติหนึ่งหลังความตาย (๔๑)
ตามที่อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี กล่าวว่า มะอาด ในภาษา สามารถเป็นได้ทั้งคำนามกริยา ชื่อของเวลา หรือชื่อของสถานที่ ซึ่งนำไปสู่ความหมายทั้งสามประการ: การกลับมาของบางสิ่งไปยังสถานที่หรือสภาพที่เคยอยู่ เวลาของการกลับมา และสถานที่ของการกลับมา (๔๒)
คำนิยามที่เกี่ยวข้องกับมะอาด
ตามที่ นาศิร มะการิม ชีรอซี กล่าวว่า คัมภีร์อัลกุรอานได้นำเสนอคำกล่าวต่างๆ สำหรับมะอาด โดยมีคำว่า กิยามะฮ์ เป็นคำที่รู้จักกันดีที่สุดที่เกี่ยวกับมะอาด คัมภีร์อัลกุรอาน กล่าวถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า เยามุลกิยามะฮ์ เจ็ดสิบครั้ง (๔๓) เขาเชื่อว่า ชื่อและคุณลักษณะแต่ละอย่างเหล่านี้ แสดงถึงลักษณะอันเฉพาะของมะอาดและวันกิยามัต (๔๔)จากทัศนะของญะอ์ฟัร ซุบฮานี นักตัฟซีรและนักเทววิทยา มองว่า ชื่อและคุณลักษณะต่างๆของมะอาดในคัมภีร์อัลกุรอาน บ่งบอกถึงการให้ความสำคัญของคัมภีร์อัลกุรอานในมะอาด เขาถือว่า กิยามะฮ์ เป็นหนึ่งในชื่อของมะอาดในคัมภีร์อัลกุรอาน (๔๕)
ชื่อและคุณลักษณะต่างๆ ของมะอาดในอัลกุรอาน ได้แก่ :
๑. อัลอาคิเราะฮ์ เยามุลอาคิร (โลกหน้า)
๒. เยามุลญัมอ์ (วันแห่งการรวมตัวของมนุษย์ทั้งหมด)
๓. เยามุลกิยามะฮ์ (วันแห่งการฟื้นคืนชีพ)
๔. เยามุดดีน (วันแห่งการตอบแทน)
๕. เยามุลบะอ์ษ์ (วันแห่งการฟื้นคืนชีพ)
๖. เยามุลฮัซเราะฮ์ (วันแห่งความเสียใจ)
๗. เยามุลฟัศล์ (วันแห่งการแยกจากกัน)
๘. เยามุลคุลูด (วันแห่งนิรันดร์)
๙. เยามุลคุรุจญ์ (วันแห่งการออกจากหลุมฝังศพ)
๑๐. เยามุลฮิซาบ (วันแห่งการคิดบัญชี)
๑๑. เยามุน มัจญ์มูอ์ ละฮุนนาซ (วันที่มนุษย์มารวมตัวกัน)
๑๒. เยามุน มุฮีฏ (วันแห่งการเชิญชวน)
๑๓. เยามุน อะซีม (วันที่ยิ่งใหญ่)
๑๔.เยามะ ยัจญ์อะลุลวิลดานะ ชีบา (วันที่บรรดาเด็กกลายเป็นคนชราภาพ)
๑๕. อัลเยามุลเมาอูด (วันที่ถูกสัญญา)
๑๖. เยามุน อะลีม (วันแห่งความเจ็บปวด)
๑๗. เยามุตตะฆอบุน (วันแห่งการเปิดเผยความเสียหาย)
๑๘.เยามัตตะลาก (วันแห่งการพบปะกัน)
๑๙. เยามะ ลา ตัจญ์ซี นัฟซุน อัน นัฟซิน ชัยอา (วันที่ไม่มีใครทดแทนตนเองได้)
๒๐. เยามะ ตุบลัซ ซะรออิร (วันที่ความลี้ลับถูกเปิดเผย)
มะอาดทางจิตวิญญาณหรือทางกายภาพ
ตามที่ฟัยยาฎ ลาฮีญี กล่าวว่า ไม่มีความขัดแย้งในหมู่ชาวมุสลิมเกี่ยวกับการยอมรับหลักมะอาด (๔๗) อย่างไรก็ตาม พวกเขามีความแตกต่างในความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ของมะอาด วิธีการเกิดขึ้นของมัน และไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพ ทางจิตวิญญาณ หรือการผสมผสานกันระหว่างทั้งสอง (๔๘) แหล่งที่มาของทัศนะที่แตกต่างกันเหล่านี้ ถือเป็นความแตกต่างในความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ของมนุษย์ (๔๙)
ทัศนะของบรรดานักวิชาการมุสลิมเกี่ยวกับวิธีการเกิดขึ้นของมะอาด ซึ่งมีดังนี้ : มะอาดทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ: นักวิชาการมุสลิมจำนวนมากเชื่อว่า มะอาดมีทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ [๕๐] ทัศนะนี้ถือเป็นความคิดเห็นของนักปราชญ์ชาวมุสลิมทุกคนด้วย [๕๑] อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี ยังมองว่า ทัศนะนี้เป็นทัศนะส่วนมากของนักศาสนศาสตร์อีกด้วย (๕๒) ตามที่ นาศิร มะการิม ชีรอซี นักตัฟซีรอัลกุรอาน กล่าวว่า มะอาดถูกนำเสนอในอัลกุรอานในรูปแบบของมะอาดทางกายภาพและจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า เมื่อถึงเวลาแห่งการฟื้นคืนชีพ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณจะกลับคืนมา [๕๓] ใครก็ตามที่ถือว่า แก่นแท้ของมนุษย์ เป็นการผสมผสานระหว่างจิตวิญญาณบริสุทธิ์และร่างกาย ฉะนั้น เขามีความเชื่อในมะอาดทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ (๕๔)
มะอาดทางกายภาพ : ตามคำกล่าวของฟัครุดดีน รอซี และฟัยยาฎ ลาฮีญี นักศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่ (๕๕) และนักนิติศาสตร์และนักรายงานฮะดีษบางคน [๕๖] มีความเชื่อเพียงมะอาดทางกายภาพเท่านั้น และปฏิเสธมะอาดทางจิตวิญญาณ เหตุผลก็คือ กลุ่มนี้ถือว่า แก่นแท้ของมนุษย์เป็นร่างกายทางวัตถุเพียงเท่านั้น (๕๗) ตามที่คำกล่าวของพวกเขา ระบุว่า จิตวิญญาณ เป็นความจริงทางวัตถุที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเหมือนไฟในถ่านหินหรือน้ำในใบไม้ และผลลัพท์ที่ตามมา ก็คือ ด้วยความสูญสลายของร่างกายหลังความตาย ก็จะถูกสูญสลายเช่นกัน [๕๘] และเมื่อถึงเวลาแห่งการฟื้นคืนชีพ ร่างกายที่แหลกสลาย จะได้รับการฟื้นคืนชีพและกลับคืนตามความรู้และอำนาจของพระเจ้า [๕๙]
มะอาดทางจิตวิญญาณเท่านั้น : ตามที่ญะอ์ฟัร ซุบฮานี กล่าวว่า นักปรัชญาส่วนใหญ่ของ สำนักปรัชญามัชชาอียะฮ์ ยอมรับว่า โดยเฉพาะมะอาดทางจิตวิญญาณ และสติปัญญาเท่านั้น และปฏิเสธมะอาดทางกายภาพ เพราะว่า ตามทัศนะของพวกเขา มองว่า ร่างกายจะถูกทำลายหลังความตายและไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ จนกว่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมในมะอาด แต่เนื่องจากจิตวิญญาณเป็นมุญัรร็อด มันจึงไม่ถูกทำลาย [๖๐] และหลังจากการแยกออกจากร่างกาย มันก็เข้าร่วมกับโลกแห่งมุญัรรอด [๖๑] ตามความศรัทธาของอิบนุ ซีนา นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักปรัชญามัชชาอียะฮ์ ระบุว่า มะอาดทางกายภาพ และการกลับมาของร่างกายในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ผ่านหลักชะรีอะฮ์และการแจ้งประกาศของศาสดา ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ) เท่านั้นที่ได้รับการพิสูจน์และการยอมรับแล้ว (๖๒) อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี มองว่า การปฏิเสธมะอาดทางกายภาพ เป็นการปฏิเสธอย่างเปิดเผยและกำหนดให้มีการปฏิเสธอัลกุรอาน และศาสดา (ศ็อลฯ) และบรรดาอิมาม (๖๓) เขาถือว่าบรรดานักปรัชญาอยู่ในหมู่ผู้ที่ปฏิเสธมะอาดทางกายภาพ เพราะว่า พวกเขาถือว่า มะอาดของสิ่งที่สูญสลายเป็นไปไม่ได้ [๖๔] ตามทัศนะของฟัยยาฎ ลาฮีญี ระบุว่า บรรดาผู้ที่ถือว่า แก่นแท้ของมนุษย์ คือ จิตวิญญาณที่เป็นมุญัรร็อด และร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือที่แยกจากจิตวิญญาณและสำหรับจิตวิญญาณ พวกเขายอมรับเพียงมะอาดทางจิตวิญญาณเท่านั้น[๖๕]