ความประเสริฐของอิมามอะลี ในอัลกุรอาน
ความประเสริฐของอิมามอะลี ในอัลกุรอาน
ความประเสริฐในอัลกุรอาน มีโองการจากอัลกุรอานที่กล่าวถึงอิมามอะลี (อ.) หรืออิมามอะลี (อ.) ถูกนำมาใช้เป็นตัวอย่าง มีรายงานจากอิบนุ อับบาส กล่าวว่า จำนวนอัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาให้อะลี (อ.) ไม่ได้ถูกประทานให้ผู้ใดเลย (๖) นอกจากนี้ อิบนุ อับบาส ยังได้รายงานจากศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) ว่า อัลลอฮ์ จะไม่ทรงประทานโองการใด ที่โองการนั้นกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา เว้นแต่ อะลีจะเป็นนายของบรรดาผู้ศรัทธาและผู้นำของพวกเขา [๗] เขายังถือว่า มีโองการอัลกุรอานมากกว่า ๓๐๐ โองการ ถูกประทานเพื่อเป็นการสรรเสริญอะลี (อ.) (๘) ซัยยิดมุรตะฎอ อัสกะรีย์ นักประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์ (เสียชีวิต ๑๓๘๖ สุริยคติอิหร่าน) กล่าวว่า เหตุผลที่โองการอัลกุรอานกล่าวถึงความประเสริฐของอะลี(อ.) แต่ไม่มีการกล่าวถึงนามของอะลี เพราะว่า อัลกุรอานได้รับการป้องกันจากการบิดเบือนโดยเหล่าผู้ปกครองที่กดขี่และฉ้อฉล ทั้งยังมีผู้ทีต้องการทำลายมันอีกด้วย เนื่องจากการกล่าวถึงรายละเอียดปลีกย่อยในคัมภีร์โตราห์และไบเบิล เป็นสาเหตุทำให้คัมภีร์เหล่านี้ถูกบิดเบือน (๙) ความประเสริฐบางประการจากอัลกุรอานที่เกี่ยวกับอิมามอะลี (อ.) ซึ่งมีดังนี้ :
โองการวิลายะฮ์ : โองการที่ ๕๕ ของซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ ซึ่งระบุว่า อัลลอฮ์ ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัศฯ) และผู้ดำรงการนมาซและบริจาคซะกาตขณะทำการโค้งคำนับ มีวิลายะฮ์เหนือประชาชน [๑๐] นักตัฟซีรชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ เชื่อว่า การประทานโองการนี้ลงมาในเหตุการณ์ที่อิมามอะลี (อ.) มอบแหวนของเขาให้กับชายยากจน ขณะทำการโค้งคำนับ [๑๑]
โองการชิรออ์ : โองการที่ ๒๐๗ ของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ ได้ยกย่องบุคคลที่เสียสละชีวิตของตนเพื่อแลกกับการได้รับความพอพระทัยจากอัลลอฮ์ [๑๒] ตามที่อิบนุ อะบีลฮะดีด นักวิชาการมุอ์ตะซิละฮ์ กล่าวว่า นักตัฟซีรทั้งหมดเชื่อว่า โองการนี้ถูกประทานในความสูงส่งของอิมามอะลี (อ.) [๑๓] อัลลามะฮ์ เฏาะบาเฏาะบาอีได้เขียนว่า ตามริวายะฮ์ต่างๆนี้ รายงานว่า โองการนี้ถูกประทานในเหตุการณ์ลัยละตุลมะบีต [๑๔] ในคืนลัยละตุลมะบีต พวกมุชริกตั้งใจที่จะโจมตีบ้านของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในเมืองมักกะฮ์และสังหารเขา ในคืนนี้ อิมามอะลี (อ.) ได้นอนบนเตียงนอนของศาสดาเพื่อปกป้องชีวิตของเขา (๑๕)
โองการตับลีฆ: โองการที่ ๖๗ ของซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ ซึ่งระบุว่า ศาสดาของอิสลาม (ศ็อลฯ) จำเป็นต้องถ่ายทอดสารไปยังประชาชน และหากเขาไม่สามารถถ่ายทอดได้ เขาจะไม่สามารถบรรลุพันธกิจของศาสดาได้ [๑๖] ตามคำกล่าวของนักตัฟซีรชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ระบุว่า โองการตับลีฆถูกประทานลงมา ณ เฆาะดีรคุม หลังจากที่ศาสดามุฮัมมัดกลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์ครั้งอำลา [๑๗] ในริวายะฮ์ต่างๆ ระบุว่า สาเหตุการประทานลงมาของโองการตับลีฆ ในเหตุการณ์เฆาะดีรและการประกาศการดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดของอิมามอะลี [๑๘]
โองการอิกมาล: โองการที่ ๓ ของซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮ์ ซึ่งกล่าวถึงความสมบูรณ์แบบของศาสนาอิสลาม [๑๙] ตามที่นาศิร มะการิม ชีรอซี นักตัฟซีรชีอะฮ์ฮ์ กล่าวว่า ในการตัฟซีรของชีอะฮ์ฮ์ ระบุว่า ความสมบูรณ์แบบของศาสนา หมายถึง การประกาศวิลายะฮ์และการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของอิมามอะลี (อ.) เหนือบรรดามุสลิม และยังมีริวายะฮ์ต่างๆยืนยันในเรื่องนี้ [๒๐] บรรดานักวิชาการชีอะฮ์ฮ์ เชื่อว่าโองการอิกมาลถูกประทานลงมาในเหตุการณ์เฆาะดีร [๒๑]
โองการศอดิกีน : โองการที่ ๑๑๙ ของซูเราะฮ์ อัตเตาบะฮ์ ซึ่งมีคำสั่งให้บรรดาผู้ศรัทธาอยู่กับผู้สัจจริงและปฏิบัติตามพวกเขา [๒๒] ในริวายะฮ์ต่างๆของชีอะฮ์ฮ์ ผู้สัจจริงได้รับการอธิบายว่า หมายถึง อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) [๒๓] มุฮักกิก ฏูซี ถือว่า โองการนี้ เป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งในการพิสูจน์ตำแหน่งอิมามัตของอิมามอะลี (อ.) [๒๔]
โองการค็อยรุลบะรียะฮ์ : โองการที่ ๗ ของซูเราะฮ์อัลบัยยินะฮ์ ซึ่งได้แนะนำผู้ที่ศรัทธาและกระทำความดีว่า เป็นการสร้างสรรค์ที่ดีที่สุด [๒๕] ตามรายงานของชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ กลุ่มนี้คือ อิมามอะลี (อ.) และชีอะฮ์ฮ์ของเขา [๒๖]
โองการศอลิฮุลมุอ์มินีน : โองการที่ ๔ ของซูเราะฮ์อัต-ตะห์รีม ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งท่านอะลี (อ.) ญิบรีล และบรรดามะลาอิกะฮ์ ให้เป็นผู้สนับสนุนศาสดาของอิสลาม (ศ็อล) ในตำราตัฟซีรโดยอ้างอิงริวายะฮ์ต่างๆจากสองนิกาย [๒๗] ตัวอย่างเดียวของผู้ศรัทธาที่มีความประเสริฐ คือ อิมามอะลี (อ.) [๒๘]
โองการอินฟาก : โองการที่ ๒๗๔ ของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการนี้ระบุว่า ผลตอบแทนของผู้ที่บริจาคทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งในที่ลับและเปิดเผย อยู่ที่พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา [๒๙] บรรดานักตัฟซีร กล่าวว่า โองการนี้ถูกประทานให้กับท่านอะลี (อ.) ซึ่งเขามีเงินสี่ดิรฮัมและบริจาคหนึ่งดิรฮัมในเวลากลางคืน หนึ่งดิรฮัมในเวลากลางวัน หนึ่งดิรฮัมอย่างลับๆ และหนึ่งดิรฮัมอย่างเปิดเผย [๓๐]
โองการนัจญ์วา : โองการที่ ๑๒ ของซูเราะฮ์อัลมุญาดิละฮ์ ซึ่งได้มีคำสั่งให้บรรดามุสลิม ผู้มั่งคั่ง บริจาคทาน ก่อนจะนัจญ์วา (การสนทนาเป็นการส่วนตัว) กับศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [๓๑] เฏาะบัรซี กล่าวว่า นักตัฟซีรชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ส่วนใหญ่ ถือว่า อิมามอะลี (อ.) เป็นคนเดียวที่ปฏิบัติตามโองการนี้ [๓๒] โองการวุด : โองการที่ ๙๖ ของซูเราะฮ์มัรยัม ซึ่งระบุว่า พระเจ้าทรงวางความรักของผู้ศรัทธาไว้ในหัวใจของผู้อื่น [๓๓] ตามบางริวายะฮ์ ระบุว่า ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้ร้องขอให้ท่านอะลี กล่าวว่า: โอ้พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานความรักของฉันในหัวใจของผู้ศรัทธา หลังจากคำร้องขอนี้ โองการวุด ก็ถูกประทานลงมา [๓๔]
โองการมุบาฮิละฮ์ : โองการที่ ๖๑ ของซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน ซึ่งได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์มุบาฮิละฮ์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กับชาวคริสเตียนแห่งนัจญ์รอน ตามตำราตัฟซีร ระบุว่า อิมามอะลี (อ.) ได้รับการแนะนำในโองการนี้ ในฐานะเป็นตัวตนของศาสดา (ศ็อลฯ) [๓๕]
โองการตัฏฮีร : ส่วนหนึ่งของโองการที่ ๓๓ ของซูเราะฮ์ อัลอะห์ซาบ ซึ่งกล่าวถึงพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่จะชำระล้างอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ให้สะอาดบริสุทธิ์จากความสกปรกและมลทินทั้งมวล บรรดานักตัฟซีรชีอะฮ์ฮ์ เชื่อว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาให้กับอัศฮาบุลกิซาอ์ [๓๖]
โองการอุลุลอัมร์ : โองการที่ ๕๙ ของซูเราะฮ์ อันนิซาอ์ ซึ่งเป็นคำสั่งให้ผู้ศรัทธาเชื่อฟังอัลลอฮ์ ศาสนทูตของพระองค์ (ศ็อลฯ) และบรรดาผู้ปกครอง [๓๗] บรรดานักตัฟซีรของชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ มีความเห็นว่า โองการนี้บ่งชี้ถึงความบริสุทธิ์ปราศจากบาปของบรรดาผู้ปกครอง [๓๘] ในริวายะฮ์ต่างๆ ได้แนะนำว่า ความหมายของอุลุลอัมร์ คือ บรรดาอิมามของชีอะฮ์ฮ์ [๓๙]
โองการมะวัดดะฮ์ : โองการที่ ๒๓ ของซูเราะฮ์ อัชชูรอ ในโองการนี้ มะวัดดะฮ์และความรักจาก อัลกุรบา (เครือญาติ) เป็นสิ่งที่บรรดามุสลิมต้องปฏิบัติเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการเผยแพร่สารของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [๔๐] มีรายงานว่า อิบนุอับบาส กล่าวว่า ศาสดา ถือว่า อัลกุรบา คือ ท่านอะลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ท่านฮะซัน และท่านฮุเซน (อ.) [๔๑]
โองการอิฏอาม : โองการนี้ได้แนะนำผู้ที่กระทำความดีว่า เป็นผู้มอบอาหารให้แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้ว่า ตนเองจะมีความต้องการอาหารนั้นก็ตาม [๔๒] บนพื้นฐานของริวายะฮ์ต่างๆ รายงานว่า โองการนี้ถูกประทานในความเอื้อเฟื้อของอิมามอะลี (อ.) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) [๔๓] ตามฮะดีษต่างๆ ระบุว่า ท่านอะลี (อ.) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้ถือศีลอดเป็นเวลาสามวันเพื่อทำให้อาการป่วยของท่านฮะซันและท่านฮุเซน (อ.) หาย และในทุกๆสามวันเมื่อพวกเขากำลังละศีลอด พวกเขาก็มอบอาหารให้แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก แม้ว่า พวกเขาจะหิวก็ตาม [๔๔]
โองการอะฮ์ลุซซิกร์ : โองการที่ ๔๓ ของซูเราะฮ์ อันนะฮ์ล และโองการที่ ๗ ของซูเราะฮ์ อัลอัมบิยาอ์ ซึ่งเน้นย้ำการตั้งคำถามกับชาวอะฮ์ลุซซิกร์ [๔๕] ตามบางริวายะฮ์ รายงานว่า ชาวอะฮ์ลุซซิกร์ถูกจำกัดอยู่แต่ในบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของศาสดาเพียงเท่านั้น [๔๖]
โองการนัศร์ : โองการที่ ๖๒ ของซูเราะฮ์ อัลอันฟาล ตามคำกล่าวของอายะตุลลอฮ์ มะการิม ชีรอซี ระบุว่า ผู้ศรัทธาทุกคนที่ช่วยเหลือศาสดา ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ) รวมอยู่ในโองการนี้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวอย่างที่สมบูรณ์และโดดเด่นที่สุดของผู้ศรัทธาในโองการนี้ คือ อิมามอะลี (อ.) [๔๗] เขาเขียนในหนังสือ โองการวิลายะฮ์ในอัลกุรอาน ว่า โองการนัศร์ เป็นหนึ่งในโองการแห่งความสูงส่งของท่านอะมีรุลมุอ์มินีนอะลี (อ.) [๔๘]
เส้นทางที่เที่ยงตรง: ในริวายะฮ์จำนวนมาก รายงานว่า ท่านอะลี (อ.) และวิลายะฮ์ของเขา ได้รับการแนะนำว่า เป็นเส้นทางที่เที่ยงตรงในอัลกุรอาน [๔๙] ความประเสริฐในริวายะฮ์
ความประเสริฐและความสูงส่งของอิมามอะลี ในริวายะฮ์จากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่กล่าวเทอดเกียรติหรือยกย่องอิมามอะลี (อ.) โดยฮะดีษบางส่วนเหล่านี้ มีดังนี้ :
ฮะดีษอัลเฆาะดีร : คำเทศนาธรรมของศาสดา ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ) ณ เฆาะดีรคุม ซึ่งเขาได้แนะนำท่านอะลี (อ.) ในฐานะผู้ปกครองของบรรดามุสลิม ฮะดีษนี้มีการรายงานทั้งในทั้งแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๕๐] และถือเป็นหนึ่งในเหตุผลของชีอะฮ์ฮ์เพื่อพิสูจน์การดำรงตำแหน่งอิมามและเคาะลีฟะฮ์ของท่านอะลี (อ.) [๕๑]
ฮะดีษอัลมันซิลัต : เป็นริวายะฮ์ที่กล่าวถึงสถานภาพของอิมามอะลี (อ.) ในความสัมพันธ์กับศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) ซึ่งคล้ายกับสถานภาพของศาสดาฮารูน (อ.) ในความสัมพันธ์กับศาสดามูซา (อ.)[๕๒]
ฮะดีษมะดีนะตุลอิลม์ : เป็นริวายะฮ์ของศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) ซึ่งเขาได้แนะนำตนเองว่า เป็นนครแห่งความรู้และอะลี (อ.) เป็นประตูของมัน (๕๓) ในหนังสืออัลเฆาะดีร ระบุว่า นักวิชาการฮะดีษอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ จำนวน ๒๑ คน ซึ่งถือว่า ฮะดีษนี้เป็นฮะดีษฮะซันหรือเศาะฮีห์ [๕๔]
ฮะดีษเยามุดดาร : เป็นริวายะฮ์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งเขาขอร้องให้เครือญาติของเขาตอบรับคำเชิญชวนของเขา และยังเน้นย้ำถึงคำสั่งเสียและตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของท่านอะลี อิบนุ อะบีฏอลิบ (อ.) [๕๕] บรรดานักศาสนศาสตร์ชีอะฮ์ฮ์ได้อ้างอิงฮะดีษนี้เพื่อพิสูจน์ถึงการดำรงตำแหน่งอิมามะฮ์ของท่านอะลี (อ.) [๕๖]
ฮะดีษอัลวะศอยะฮ์: เป็นฮะดีษของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งอิมามอะลี (อ.) ได้รับการแนะนำในฐานะผู้สืบทอดและตัวแทนของศาสดา [๕๗] บรรดาชีอะฮ์ฮ์อ้างอิงฮะดีษนี้เพื่อพิสูจน์ถึงตำแหน่งอิมามะฮ์ของอิมามอะลี (อ.) [๕๘]
ฮะดีษวิลายะฮ์ : เป็นฮะดีษของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งท่านอะลีได้รับการแนะนำในฐานะเป็นวะลีย์(ผู้ปกครอง) ของบรรดาผู้ศรัทธาหลังจากเขา ฮะดีษนี้ถูกรายงานด้วยคำวลีต่างๆ ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๕๙] บรรดาชีอะฮ์ฮ์ได้ใช้คำว่า วะลีย์ ใน อะลี เป็นวะลีย์ (ผู้ปกครอง)ของผู้ศรัทธาทุกคนหลังจากฉัน [๖๐] หมายถึง อิมามและผู้ปกครอง และด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพิสูจน์ถึงตำแหน่งอิมามะฮ์และวิลายะฮ์ของอิมามอะลี (อ.) [๖๑]
ฮะดีษอัฏฏ็อยร์ : เป็นริวายะฮ์ที่เกี่ยวกับความประเสริฐของท่านอะลี (อ.) ซึ่งตามเนื้อหาของฮะดีษแล้ว ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ตั้งใจจะกินเนื้อของนกย่าง จึงขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงแบ่งปันอาหารของเขาให้กับมนุษย์ที่ดีที่สุด และท่านก็ได้กระทำตามนั้น [๖๒] ริวายะฮ์นี้ยังถูกกล่าวถึงในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อีกด้วย [๖๓]
ฮะดีษอัรรอยะฮ์ : เป็นฮะดีษที่ถูกรู้จักของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เกี่ยวกับอิมามอะลี (อ.) ในสมรภูมิค็อยบัร ซึ่งระบุว่า: วันพรุ่งนี้ฉันจะมอบธงให้กับบุรุษคนหนึ่งที่อัลลอฮ์จะทำให้เขาพิชิตป้อมปราการค็อยบัรผ่านเขา ผู้ที่มีความรักต่ออัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ และอัลลอฮ์และศาสนทูตก็รักเขา[๖๔]
ฮะดีษอัษษะเกาะลัยน์ : ฮะดีษที่ถูกรู้จักของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เกี่ยวกับสถานภาพของคัมภีร์อัลกุรอานและอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ฮะดีษนี้ ระบุว่า: ฉันได้ละทิ้งสิ่งมีค่าสองอย่างไว้ ท่ามกลางพวกท่าน ซึ่งถ้าพวกท่านพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ พวกท่านจะไม่หลงทางเลย นั่นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์และลูกหลานของฉัน ซึ่งเป็นอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน [๖๕] ฮะดีษนี้มีรายงานในทั้งแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๖๖]
ฮะดีษอัลกิซาอ์: ฮะดีษนี้เกี่ยวกับความประเสริฐของบุคคลทั้งห้าคน ตามฮะดีษนี้ซึ่งมีรายงานในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ฮ์ [๖๗] และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๖๘] ศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) ได้คลุมครอบครัวของเขา ด้วยผ้าขนสัตว์ (กิซาอ์) และอธิษฐานว่า: “โอ้พระผู้เป็นเจ้า บุคคลเหล่านี้คือ อะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน ขอพระองค์ทรงขจัดสิ่งสกปรกออกไปจากพวกเขาและชำระล้างพวกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์ [๖๙]
ฮะดีษอัซซะฟีนะฮ์ : ฮะดีษที่ถูกรู้จักของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งเขาได้เปรียบเทียบอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ของเขากับสำเภาของศาสดานูฮ์ ซึ่งผู้ใดก็ตามเข้าไปในสำเภานี้ เขาจะได้รับความรอดปลอดภัย และผู้ใดที่ออกจากมัน เขาจะจมน้ำตาย [๗๐] ฮะดีษนี้ยังได้รับการรายงานทั้งจากแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๗๑]
ฮะดีษอัชชะญะเราะฮ์ : ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า ฉันและอะลีถูกสร้างมาจากต้นไม้ต้นเดียวกัน ส่วนบุคคลอื่นๆ มาจากต้นไม้คนละต้นกัน [๗๒] บรรดานักตัฟซีรบางคน ถือว่า การสร้างศาสดา ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ) และอิมามอะลี (อ.) มาจากแหล่งที่มาอันเดียวกัน เป็นเหตุผลที่ว่า พวกเขามีความเท่าเทียมกันในความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามและมีวิลายะฮ์ [๗๓]
ฮะดีษอัลเลาห์ : เป็นฮะดีษที่รายงานจากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เพื่อพิสูจน์ถึงตำแหน่งอิมามะฮ์ของบรรดาสิบสองอิมาม ซึ่งกล่าวถึงชื่อของผู้สืบทอดของศาสดา (ศ็อลฯ) ตั้งแต่อิมามคนแรก กล่าวคือ อิมามอะลี (อ.) จนถึงอิมามคนที่สิบสอง คือ อิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) [๗๔]
ฮะดีษอะลี มะอัลฮัก : เป็นฮะดีษที่ถูกรู้จักของศาสดามุฮัมมัด ฮะดีษนี้ได้แนะนำท่านอะลี (อ.) ในฐานะมาตรวัดแห่งสัจธรรม หนึ่งในรายงานของฮะดีษนี้ มีดังนี้ : อะลีอยู่กับสัจธรรม และสัจธรรมอยู่กับอะลี และทั้งสองจะไม่แยกจากกัน จนกว่าจะพบฉันที่สระน้ำของอัลเกาษัร [๗๕]
ฮะดีษอัตตัชบีฮ์ : เป็นฮะดีษที่ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้เปรียบเทียบท่านอะลี (อ.) กับบรรดาศาสดาท่านอื่นๆ ฮะดีษนี้มีรายงานในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ [๗๖] และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๗๗]
ฮะดีษ ลาฟะตา อิลลา อะลี : ฮะดีษนี้ให้หมายความว่า ไม่มีชายหนุ่มที่กล้าหาญใด นอกจากท่านอะลี (อ.) ตามแหล่งข้อมูลสายฮะดีษและทางประวัติศาสตร์ รายงานว่า ฮะดีษนี้ได้รับการรายงานโดยญิบรออีล เนื่องจากการเสียสละและความกล้าหาญของอิมามอะลี (อ.) ในสมรภูมิอุฮุด [๗๘] ฮะดีษนี้ยังได้รับการรายงานในแหล่งข้อมูลทั้งชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๗๙]
ฮะดีษเกาะซีมุลนาร วัลญันนะฮ์ : ริวายะฮ์นี้ รายงานจากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่เขาได้แนะนำท่านอะลีในฐานะผู้แบ่งแยกสวรรค์และนรก [๘๐] ฮะดีษนี้ได้รับการรายงานในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ [๘๑] และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๘๒] ในรูปแบบต่างๆ และมีผู้รายงานต่างๆมากมาย
ฮะดีษคอศิฟุนนะอ์ล : วจนะจากศาสดา ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ) ที่อธิบายเกี่ยวกับสถานภาพและความประเสริฐของอิมามอะลี (อ.) โดยที่เขาได้เรียกอิมามอะลีว่า ผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากเขากำลังยุ่งอยู่กับการซ่อมรองเท้าของศาสดา (ศ็อลฯ) ในขณะนั้น [๘๓]
มีริวายะฮ์อื่นๆ รายงานจากศาสดาเกี่ยวกับความประเสริฐของอิมามอะลี (อ.) รวมถึง : การฟันดาบของอะลีในสมรภูมิค็อนดักมีความประเสริฐกว่าการอิบาดะฮ์ของญินและมนุษย์ [๘๔]ผู้ใดก็ตามสาปแช่งอะลีเท่ากับสาปแช่งฉัน [๘๕] ผู้ใดก็ตามทำร้ายอะลีเท่ากับทำร้ายฉัน [๘๖] ด้วยความรักต่ออะลี จะทำให้รู้จักผู้ศรัทธาจากมุนาฟิก [๘๗] อะลีมาจากฉันและฉันมาจากอะลี [๘๘] การรำลึกถึงอะลี เป็นการอิบาดะฮ์ [๘๙] การมองไปยังอะลี เป็นการอิบาดะฮ์ [๙๐] นอกจากนี้ ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ยังได้เรียกสมญานามของอิมามอะลี (อ.) เช่น อัศศิดดีก อัลอักบัร [๙๑] ฟารูก อัลอะอ์ซ็อม[๙๒] และอะบูตุรอบ [๙๓] ก็ถือเป็นหนึ่งในความประเสริฐของอิมามอะลีด้วยเช่นกัน