ความยิ่งใหญ่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ผู้เป็นแก้วตาดวงใจแห่งศาสดา ตอนที่ 3

ความยิ่งใหญ่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ผู้เป็นแก้วตาดวงใจแห่งศาสดา ตอนที่ 3

 

เราจะมาดูกันถึงท่าทีที่ท่านนบีมุฮัมหมัด(ศ็อลฯ)ได้แสดงออกต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) หลายๆกรณีที่ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าได้กล่าวถึง บุคลิกภาพและสถานะทางจิตวิญญาณที่สูงส่งของนาง แม้ว่าปัญญาของมนุษย์จะถ่ายทอดความสูงส่งของนางในรูปของหนังสือหรือสุนทรพจน์ให้มากกว่านี้อีกสักร้อยสักพันเท่า ก็ยังเทียบได้เพียงหยดน้ำในมหาสมุทรความดีงามของนาง และถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะตีแผ่ทั้งหมด ก็ถือว่ายังดีที่ได้นำเสนอละอองความดีงามของนาง ณ ที่นี้ ดังที่นักกวีได้ประพันธ์ไว้ว่า “แม้มิอาจดื่มน้ำทะเลให้เหือดแห้ง อย่างน้อยขอจิบให้ได้แรงก็ยังดี”

 

ด้วยกับบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)ปัญญาที่เฉียบแหลมที่สุดในหมู่มนุษยชาติก็ยังงุนงงกับความสูงส่งทางบุคลิกภาพ และหากต้องการจะเข้าใจบุคลิกภาพของนางอย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องน้อมศึกษาวิถีแห่งการดำเนินจากท่านศาสดา(ศ็อลฯ)

 

ตัวอย่างที่ 1 : การแสดงออกที่เหนือคำอธิบาย

 

การได้รับเกียรติ ในรายงานกล่าวไว้ว่า ทุกครั้งที่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ศ็อลฯ)พบกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ท่านจะลุกขึ้นยืน และให้นางมานั่งในที่ของท่าน หรือ เมื่อท่านไปเยี่ยมนาง ท่านก็จะนำมือของนางขึ้นมาจูบและนางก็จะลุกขึ้น แล้วให้ท่านนบีนั่งแทนที่ของนาง”

 

เนื่องจากว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ) เกิดในสมัยยุคมืดของชาวอาหรับ ที่มีแต่ความโสมมในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มชนในยุคนั้น กับการปฏิบัติต่อสตรีและเด็กหญิง ยุคที่ไร้ซึ่งจริยธรรมในการดำเนินชีวิต และการฝังบุตรสาวของตนทั้งเป็น การบีบบังคับสตรีให้ใช้ชีวิตแต่งงาน หรือการลิดรอนสิทธิของสตรี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเลือกที่จะใช้ชีวิต หรือการได้รับสิ่งที่นางสมควรจะได้ เช่น มรดกของผู้เป็นบิดา หรือสามี รายได้ที่นางได้หามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพวกนางเอง

 

สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ในสมัยของอาหรับยุคมืด การประกาศอิสลาม และการปฏิบัติของท่านศาสดาที่มีต่อบุตรีของท่านเป็นแบบอย่างที่สำคัญ และเป็นการทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชนอาหรับในยุคนั้นด้วย

 

ดังนั้น การที่อิสลามได้ประกาศความเป็นอิสระของสตรีในการเลือก หรืออิสลามได้ให้ความเท่าเทียมความเป็นมนุษย์ระหว่างหญิงและชาย หรือแม้แต่การปฏิบัติคุณงามความดีทั้งหลาย ถือว่าสตรีนั้นมีส่วนร่วมและสามารถได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ(ซ.บ) เท่าเทียมกับเหล่าบรรดาบุรุษ ท่าน นบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้ปฏิบัติต่อบุตรีของท่านตรงข้ามกับที่ชนอาหรับยุคนั้นปฏิบัติต่อบุตรีของพวกเขา เช่น ท่านให้ความรัก ความเอ็นดู ให้เกียรติต่อบุตรสาวของท่าน ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อชนชาติอาหรับ

 

ดังกล่าวนี้ เป็นการถ่ายทอดอิริยาบทการพบกันระหว่างท่านนบีมูฮัมหมัด(ศ็อลฯ)กับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)ซึ่งหากเราพิจารณา สตรีในยุคนั้น ถูกปฏิบัติเหมือนสาวใช้ และโดนดูถูกในความเป็นสตรีของพวกนาง ดังนั้น การแสดงออกที่เหนือคำอธิบายนี้ จึงเป็นเนี๊ยะมัตประการหนึ่ง สำหรับสตรีในยุคนั้น ที่ส่งผลจนถึงปัจจุบัน
ฮะดิษจากบรรดาอะฮฺลุลเบต(อ)

 

ในเรื่องราวของศาสนา ไม่มีเรื่องใดที่จะไม่มีคำอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อะไร อย่างไร หรือจากหนังสือทั่วไป เราจะพบว่า ฮะดิษซอแฮะห์ ที่รายงานโดยอะเล็มอุลามะฮฺชั้นสูง และจากที่เปิดดูค้นหาของอะเล็มอุลามะฮฺ หลายๆท่านที่รายงานฮะดิษนี้ เกือบทั้งหมดจะเหมือนกัน จะมีที่ต่างกันบ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

ตัวอย่าง : ฮะดิษจากท่านอิมามญะฟัร(อ)

 

เมื่อพูดถึงตำแหน่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) หรือบางฮะดิษได้กล่าวว่า….

 

“نحن حجة الله علی الخلق و فاطمة حجة الله علينا”

(นะฮฺนูฮุจญตุลลอฮฺ อะลัล ค็อลกิ วะฟาฏิมะตา ฮุจญตุลลอฮิอะลัยนา)

อะฮฺลุลเบต หมายถึง พวกเราบรรดาอิมามเป็นฮุจญัตเป็นข้อพิสูจน์ของอัลลอฮฺ สำหรับมนุษย์ทั่วไป สำหรับสิ่งถูกสร้างทั้งหมด บางคนอาจจะอธิบายเพิ่มอีกว่า…

 

“แม้แต่มวลมะลาอิกะฮฺ แม้แต่ทุกๆสิ่งถูกสร้าง บรรดาอะฮฺลุลเบต คือ ฮุจญัตของพระองค์ทั้งหมด จะถูกยอมรับหรือไม่ถูกยอมรับ จะถูกกีดกันหรืออะไรก็ตาม ทว่าทั้งหมด อะฮฺลุลเบต คือข้อพิสูจน์”

 

คำอธิบาย : อะฮฺลุลเบต ในที่นี้ หมายถึงอิมาม ส่วนท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)คือ ฮุจญัตของอัลลอฮฺเหนือเรา (ตรงนี้อาจจะเข้าใจยาก) ทว่า นัยยะของ อะฮฺลุลเบตนี้ หมายถึง บรรดาอิมามนั้น จะถูกตัดสินและถูกพิสูจน์ด้วยท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)

 

หากจะกล่าวด้วยภาษาให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด ก็คือ ต้องให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)เป็นผู้มารับรอง” ในที่นี้ ประเด็นสำคัญๆที่จะอธิบายมีดังนี้

 

บรรดาอิมามจะผ่านหรือไม่ผ่าน ขึ้นอยู่กับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) เพราะนางคือ ผู้ที่เป็นข้อพิสูจน์ของอัลลอฮ

 

ถึงแม้ในภาพนอก นาง คือ ตัวอย่างหนึ่ง ที่เป็นความภาคภูมิใจของมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะบรรดาชีอะฮฺ แต่ลึกลงไปนั้นคือความภาคภูมิใจของบรรดาสตรีด้วย เพราะมัคลูกอันยิ่งใหญ่นี้ ถูกปรากฎใน…


“عالم المخلوقات”
 

(อะลัมมุล มัคลูก็อต) ด้วยสภาวะของสตรี จึงทำให้นางมีมะกอมที่สูงส่งและยิ่งใหญ่กว่า

 

ท่านหญิง คือบทพิสูจน์สำหรับทั้งหมด อีกทั้งเป็นแบบอย่างของมวลมนุษยชาติ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น เนี๊ยะมัตนี้ สำหรับสตรี เพราะมัคลูกที่พระองค์ทรงเลือกนี้ถูกให้ปรากฏในสถานะของสตรี


นี่คือ เสี้ยวหนึ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของท่านหญิง

 

ดังนั้น ประเด็นการให้เกียรติสตรี หากเรารู้จักท่านหญิง แน่นอน เราจะรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง

มัคลูกที่พิเศษสุด คือ สตรี

 

ด้วยฐานะภาพและความประเสริฐของท่านหญิง อัลลอฮ(ซบ) ได้ตรัสเจาะจงไปที่นามของสตรีที่คู่ควรทำให้เรารู้จัก ที่พระองค์นำเสนอ คือ มัคลูกนี้ ซึ่งในความพิเศษต่างๆเหล่านี้เราก็รู้กันมาพอสมควร อีกเช่นกันหากจะกล่าวในนามของมัคลูกทั้งหมด พระองค์ก็ทำให้เรารู้จักกับสตรีผู้นี้ โดยจะใช้ฮะดิษจากท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)บทหนึ่ง สั้นๆ มาเป็นฮะดิษหลักดังนี้

 

ฮะดิษจากท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)ที่เกี่ยวกับชื่อหลักของท่านหญิง”ฟาฏิมะฮฺ” ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า….

 

“انما سميت فاطمة بفاطمة لان الله فطمها ومحبيها من النار”

 

(แท้จริงฟาฏิมะฮฺที่ถูกเรียกว่าฟาฏิมะฮฺนั้น เพราะพระองค์ได้ตัดขาดนางและบุคคลที่มีความรักต่อนางจากไฟนรก)

 

คำอธิบาย : ฟาฏิมะฮฺ มาจากรากศัพท์ของคำว่า “ฟัฏม์” หมายถึง การถูกตัดหรือถูกแยก นัยยะนี้ หมายความว่า ฟาฏิมะฮฺ คือ สตรีที่ได้รับการปกป้องหรือป้องกัน ด้วยกับชื่อนี้ จะไม่มีวันพบกับไฟนรก โดยยังไม่ต้องไปกล่าวถึงตัวตน{เจ้าของชื่อ}


เหตุผลที่ถูกเรียกฟาฏิมะฮฺ

 

จุดประสงค์ของฮะดิษนี้ เพื่อเน้นไปยัง เหล่ามุฮิบบีนของท่านหญิง คือ จะตัดผู้ที่มีความรักต่อนาง ให้รอดพ้นจากไฟนรก เพราะ แท้จริงอัลลอฮ ได้ ‘ฟาฏอมาฮา’ ได้ตัดนาง(ยับยั้ง)ตัดคนที่มีความรักนางจากไฟนรกชื่อนี้จะไม่มีวันพบนรก ทุกคนที่มีความรักต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพ้นจากไฟนรก

 

ดังนั้น หากจะกล่าวในภาษาที่เข้าใจง่าย หมายความว่า “ไฟนรกเป็นฮะรอมสำหรับพวกเขา บุคคลที่ได้มีความรักต่อท่านหญิงจะไม่มีวันได้สัมผัสกับไฟนรก” เพราะตัวตนของท่านหญิงได้รับสถานภาพเช่นนี้ และรวมถึงผู้ที่มีความรักต่อนางทุกคนด้วย

 

บรรยายพิเศษโดย ฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิด สุไลมาน ฮุซัยนี


ขอขอบคุณเว็บไซต์ Syedsulaiman