อหฺลุลบัยตฺในซุนนะฮฺ


อหฺลุลบัยตฺในซุนนะฮฺ
๑. หะดีษษะก่อลัยนฺ

قال رسول اللّه: اِنّي تركت فيكم ما ان تمسَّكتم به لن تضلّوا بعدى : كتاب اللّه حبلّ ممدود من السماء الى الارض وعترتى اهل بيتى و لن يفترقا حتى يردا عليّ الحوض فانظروا كيف تخلفونى فيها
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “แท้จริงฉันได้ละทิ้งไว้ในหมู่พวกเจ้า หากพวกเจ้าได้ยึดมั่นมัน พวกเจ้าไม่หลงทางภายหลังจากฉันได้แก่ คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ เป็นเสมือนสายเชือกที่ถอดตรงมาจากฟากฟ้าสู่แดนดิน และอิตระตี อหฺลุบัยตี (ทายาทสายตระกูลของฉัน) และทั้งสองจะไม่แยกออกจากกันจนกว่าทั้งสองจะย้อนกลับคืนสู่ฉัน ณ สระน้ำ พวกเจ้าจงพิจารณาเถิดว่าจะขัดแย้งกับฉันในเรื่องนี้อย่างไร”[๑]

๒. หะดีษสะฟีนะฮฺ

قال رسول اللّه :ألا اِنّ اهل بيتى فيكم مثل سفينه نوح من ركبهانجا ومن تخلّف عنهاغرق (هلك)
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าว่า “อุปมาอหฺลุลบัยตฺของฉันในหมู่พวกท่านเปรียบเหมือนเรือของนบีนูห์ ใครที่ลงเรือเขาจะได้รบความปลอดภัย ส่วนผู้ปฏิเสธเขาจะจมน้ำตาย”[๒]

๓. หะดีษมันซิลัต เป็นหนึ่งในหะดีษที่มีสายรายงานมาก บางครั้งมีรูปประโยคแตกต่างกันด้วย ในหนังสือศิหาห์ รายงานโดย สะอฺด์ บินอบีวะกอศกล่าวว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวกับท่านอะลีว่า

قال رسول الله لعلىّ :انت مني بمنرلة هارون من موسى الّا انّه لانبيّ بعدي
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวกับท่านอะลีว่า “เจ้านั้นอยู่ในฐานะเดียวกันกับฉัน ดุจดังเช่นฮารูนกับมูซา เว้นเสียแต่ว่าไม่มีนบีต่อหลังจากฉัน”[๓]

หะดีษนี้ที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวแก่ท่านอะลีตอนออกไปทำสงครามตะบูก ซึ่งในสงครามนี้ท่านศาสดา ไม่ยอมให้ท่านอะลีออกไปด้วย ประชาชนได้พากันโจทย์ขานไปต่างๆนาๆ ท่านอิมามอะลีจึงได้ไปหาท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เพื่อขออนุญาตท่านออกสงคราม ท่านศาสดา ได้กล่าวกับท่านอิมามอะลีว่าเจ้าไม่พอใจหรือที่เจ้าอยู่ในฐานะเดียวกันกับฉัน และ ฉันแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้ดูแลเมืองมะดีนะฮฺแทนฉัน

๔. ท่านหิซาน อิมรอน บินหะซีนได้เล่าว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

قال رسول اللّه : انّ عليا منّي وأنا منه وهو وليّ كلّ مؤمن
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “แท้จริงอะลีมาจากฉัน และฉันมาจากอะลี และเขาเป็นผู้ปกครองบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย”[๔]

๕. ท่านหุบชัย ยิบนิ ญุนาดะฮฺ เล่าว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

قال رسول اللّه : عليّ منّي وأنا من علي ولايؤدي عني الا أنا وعلي
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “อะลีมาจากฉัน และฉันมาจากอะลี จะไม่มีผู้นำอหฺกามอิสลามไปถึงประชาชน ได้นอกเสียจากฉันและอะลี”[๕]

๖. เมื่อโองการ قُل لَّا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبَى “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ฉันมิได้ขอรางวัลาตอบแทนใด ๆ เพื่อการนี้ เว้นแต่ความรักในเครือญาติชั้นใกล้ชิด”ได้ถูกประทานลงมามีผู้ถามท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ว่า..

قيل : يارسول الله من قرابتك هؤلاء الذين وجبت علينا مودّتهم قال : علي وفاطمة وابناهما
“ใครที่เป็นญาติชั้นใกล้ชิดของท่านที่เป็นวาญิบสำหรับพวกเราต้องรักพวกเขา ? ท่านศาสดา (ศ๋อลฯ) ตอบว่า อะลี ฟาฏมะฮฺ และบุตรชายทั้งสองของนาง”[๖]

๗.ผู้ที่ถูกห้ามเข้าสวรรค์

حرّمت الجنة على من ظلم اهل بيتي وآذانى
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “สวรรค์เป็นที่ต้องห้าม (หะราม) สำหรับคนที่ทำการอธรรมกับอหฺลุลบัยตของฉัน และกลั่นแกล้งฉัน”[๗]

๘. ท่านมุสลิมได้บนทึกไว้ในศ่อฮีย์ ของท่านโดยรายงานมาจากท่านหญิงอาอิชะฮฺว่า

قالت:خرج النبي (ص) ذات غداة وعليه مرطُ مرحل من شعر، فجاء الحسن بن علي فادخله فيه ، ثمّ جاء الحسين فادخله فيه ، ثمّ جاءت فاطمة فادخله فيه ، ثمّ جاء علي فادخله فيه ثمّ قال: انّما يريدالله ليذهب عنكم الرجس اهل البيت ويطهركم تطهيرا
ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวว่า “ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ออกไปตอนเช้าตรู่ ซึ่งท่านนั้นได้สวม ที่ทำจากขนสัตว์ หลังจากนั้นฮะซัน บิน อะลีได้มาและท่านศาสดาได้ให้เขาเข้าไปในผ้าคลุมนั้น , หลังจากนั้นฮุซัยนฺได้มาและท่านศาสดาได้ให้เขาเข้าไปในผ้าคลุมนั้น , หลังจากนั้นฟาฏิมะฮฺได้มา และท่านศาสดาได้ให้เธอเข้าไปในผ้าคลุมนั้น , หลังจากนั้นอะลีได้มา และท่านศาสดาได้ให้เขาเข้าไปในผ้าคลุมนั้น , หลังจากนั้นท่านได้กล่าว่า อันที่จริงอัลลอฮฺพีงประสงค์ที่จะขจัดมลทินให้ออกไปจากพวกเจ้าโอ้อหฺลุลบัยตฺ ทรงขจัดเจ้าให้สะอาดอย่างแท้จริง”[๘]

ท่านอหฺมัดหันบัล ได้รายงานไว้ในมะนากิบ , ท่านฏ็อบรอนี รายงานไว้ใน มัจมะอฺ จากอบีสอีด คุดรีย์ ตอนอธิบายโองการ “อันที่จริงอัลลอฮฺพีงประสงค์ที่จะขจัดมลทินให้ออกไปจากพวกเจ้าโอ้อหฺลุลบัยตฺ ทรงขจัดเจ้าให้สะอาดอย่างแท้จริง”ว่าโองการดังกล่าวได้ลงให้กับคน ๕ คนคือท่านรอซูล อะลี ฟาฏิมะฮฺ ฮะซัน และฮุซัยนฺ[๙]

نزلت في خمسة : في الرسول وعلي وفاطمة واحسن والحسين

๙. ในหนังสือ อัล-ญามิอฺ รายงานโดยท่านอุมัรฺ บิน อบีสะละมะฮฺ......ได้กล่าวว่า

قال :نرل هذه الآية على رسول الله وفاطمة والحسن و الحسين فجللهم بكساء وعلي خلف ظهره ثمّ قال: اللهمّ هؤلاء اهل بيتي فاذهب عنهم الرجس وطهرهم تطهيرا
อบีสะละมะฮฺ เล่าว่า “โองการดังกล่าวได้ถูกประทานให้กับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ฟาฏิมะฮฺ ฮะซัน และฮุซัยนฺ ซึ่งท่านศาสดาได้คลุมพวกเขาด้วยกิซา ขณะที่อะลีอยู่ด้านหลังของท่านศาสดา หลังจากนั้นท่านศาสดา ได้กล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ พวกเขาเหล่านี้เป็นอหฺลุลบัยตฺของฉัน โประขจัดมลทินออกไปจากพวกเขา และทำความสะอาดพวกเขาอย่างแท้จริง”

๑๐. ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺพูดว่า เมื่อท่านรอซูลได้เอากิซาคลุมพวกเขาแล้วท่านได้กล่าวว่า..

اللهمّ هؤلاء اهل بيتي وخاصتي اذهب عنهم الرجس وطهرهم تطهيرا قالت ام سلمة : وأنا معهم يارسول الله قال : انت الى خير
“โอ้อัลลอฮฺ พวกเขาเป็นอหฺลุลบัยตฺของฉัน เป็นญาติชั้นพิเศษของฉัน โปรดขจัดมลทินออกพวกเขา และทำความสะอาดพวกเขาอย่างแท้จริง ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ พูดว่า ให้ฉันอยู่กับพวกเขาได้ไหม ยารอซูลัลลอฮฺ ท่านตอบว่า เธออยู่ในที่ ๆดีแล้ว”[๑๐]

๑๑. หะดีษฆ่อดีรฺ ซึ่งเป็นหะดีษที่มีชื่อเสียงมากทั้งในสุนีและชีอะฮฺ การปฏิเสธหะดีษดังกล่าวเท่ากับได้ปฏิเสธหะดีษที่เป็น มุตะวาติรฺ หะดีษดังกล่าวท่านศาสดาได้กล่าวในพิธีหัจญ์ครั้งสุดท้าย ณ ฆ่อดีรฺคุมว่า..

معاشر المسلمين الست اولى بكم من انفسكم قالوا : بلى: قال :من كنت مولاه فعلي مولاه اللهمّ وال من والاه وعادمن عاداه وانصرمن نصره واخذل من خذله
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “โอ้ประชาชนเอ๋ย ฉันนั้นมิได้ประเสริฐกว่าพวกท่านหรอกหรือ พวกเขาตอบว่า แน่นอน กล่าวว่า ดังนั้นใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา อะลีก็เป็นผู้ปกครองเขาด้วย โอ้อัลลอฮฺ โปรดรักผู้ที่รักเขา โปรดเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับเขา โปรดช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือเขา โปรดทำให้ตกต่ำผู้ที่ทำให้เขาตกต่ำ”[๑๑]

๑๑.หะดีษความรักต่ออหฺลุลบัยตฺ

قال رسول اللّه :من مات على حبّ آل محمد مات شهيدا ألا و من مات على حب آل محمد مات مغفورا له ألا و من مات على حب آل محمد مات تائبا ألا و من مات على حب آل محمد مات مستكمل الايمان ألا و من مات على حب آل محمد بشره ملك الموت بالجنة ثم منكر و نكير ألا و من مات على حب آل محمد يزف الى الجنة كما تزف العروس الى بيت زوجها ألا و من مات على حب آل محمد فتح له في قبره بابان الى الجنة ألا و من مات على حب آل محمد جعل الله قبره مزار ملائكة الرحمة ألا و من مات على حب آل محمد مات على السنة و الجماعة ألا و من مات على بغض آل محمد جاء يوم القيامة مكتوب بين عينيه: آيس من رحمة الله ألا و من مات على بغض آل محمد مات كافرا ألا و من مات على بغض آل محمد لم يشم رائحة الجنة

ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า ..
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด (ทายาทของท่านศาสดา) เขาได้ตายอย่างชะฮีด”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด เขาได้ตายอย่างผู้ได้รับการอภัย”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด เขาได้ตายแบบผู้กลับตัวกลับใจ”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด เขาได้ตายอย่างผู้มีอีมานที่สมบูรณ์”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด มลาอิกะฮฺเมาต์จะแจ้งข่าวดีเรื่องสวรรค์แก่เขา หลังจากนั้นมลาอิกะฮฺนะกีรฺและมุนกิรฺจะไตร่ถามเขา”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด เขาจะถูกนำเข้าสวรรค์โดยเฉียบพลัน ดุจดังเจ้าบ่าวได้รีบไปยังบ้านเจ้าสาว”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด ประตูแห่งหลุมฝังศพของเขาจะถูกเปิดเพื่อสู่สวรรค์”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด อัลลอฮฺจะทำให้หลุมฝังศพของเขาเป็นสถานที่พำนักของมลาอิกะฮฺแห่งความเมตตา”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด เขาได้ตายบนซุนนะฮิของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)”
“บุคคลใดได้ตายบนความโกรธที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด วันกิยามะฮฺบันทึกของเขาจะปรากฏระหว่างสองดวงตาทั้สอง (หมดหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ)

“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด เขาได้ตายอย่างผู้ปฏิเสธ”
“บุคคลใดได้ตายบนความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด เขาจะไม่ได้กลิ่นอายของสรวงสวรรค์” [๑๒]

ความสำคัญของอหฺบัยตฺ (อ.) ในแง่ประวัติศาตร์
บรรดาอหฺลุลบัยตฺ (อ.) นั้นมีบทบาทสำคัญต่อโลกอิสลามอย่างมากมาย ซึ่งสามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้

๑. บรรดาอหฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้ทำการปกป้องแก่นแท้ของอิสลาม เมื่อเผชิญหน้ากับศาสนาอื่นๆ โดยการจัดประชุมพูดคุยกันกับนักปราชญ์ฝ่ายยะฮูดี และนัศรอนี (บทพูดคุยเหล่านั้นจะนำเสนอในโอกาสต่อไป)

๒. บรรดาอหฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้ทำการต่อสู้กับริวายะฮฺและหะดีษที่อุปโลคขึ้นมาโดยนักรายงานหะดีษเถื่อนทั้งหลาย ด้วยการนำเสนอหะดีษที่ถูกต้องเทียบเคียงกับหะดีษปลอมเหล่านั้น พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้ของอิสลามไปสู่ประชาชนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของท่านอิมามบากิร (อ.) และอิมามซอดิก (อ.)

๓. ให้การอบรมลูกศิษย์ในสาขาวิชาการต่างๆ มากมายโดยท่านอิมามซอดิก (อ.)



..........
เชิงอรรถ
[๑] ศ่อฮีมุสลิมเล่มที่ ๑๕ หนื้าที่ ๑๗๙-๑๘๐, มะฏอลิบซุอูล หน้าที่ ๔ คัดลอกมาจากศ่อฮีมุสลิม
[๒] มิชกาตุลมะซอบีห์ เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๑๗๔๒ บาบ มะนากิบอหฺลุลบัยตฺ หะดีษที่ ๖๑๗๔
[๓] มิชกาตุลมะซอบีห์ เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๑๗๑๙ บาบ มะนากิบอะลี บินอบีฏอลิบ หะดีษที่ ๖๐๗๘, ศ่อฮีบุคอรี ๓/๑๓๕๙ บาบ มะนากิบอะลี หะดีษที่ ๓๕๐๓ , ศ่อฮีมุสลิม ๑๕/๑๗๓-๑๗๖
[๔] มิชกาตุลมะซอบีห์ ๓/๑๗๒๐ บาบ มะนากิบอะลี บินอบีฏอลิบ หะดีษ ๖๐๘๑ , สุนันติรฺมะซีย์ ๕/๕๙๐-๕๙๑ หะดีษที่ ๓๗๑๒, สุนันอหฺมัดหันบัล ๔/๔๒๗-๔๓๘, มุสตัดร็อกฮากิม ๓/๑๑๐-๑๑๑
[๕] มิชกาตุลมะซอบีห์ ๓/๑๗๒๐ เล่มที่ ๓ บาบ มะนากิบอะลี บินอบีฏอลิบ ๖๐๘๓, มิศบาหุซซุนนะฮฺ ๔/๑๗๒ บาบ มะนากิบอะลี บินอบีฏอลิบ หะดีษที่ ๔๗๖๘, สุนันติรฺมะซีย์ ๕/๕๙๔ หะดีษที่ ๓๗๑๙, มุสนัดอหฺมัด ๔/๑๖๔
[๖] อัลกัชชาฟ ๔/๒๑๙-๒๒๐
[๗] อัลกัชชาฟ ๔/๒๑๙-๒๒๐
[๘] ศ่อฮีห์มุสลิม เล่มที่ ๑๕/๑๙๔-๑๙๕
[๙] อัลมุอฺญะมุศศ่อฆีรฺ เล่มที่ ๑/๑๓๕, ตับซีรฺหิบิรีย์ หน้าที่ ๓๕๒ , อหฺกามุลกุรอาน จาก ญัศ-ศอศ เล่มที่ ๓/๓๖๐ ตับซีรฺบะห์รุลมุฮีฏ เล่มที่ ๗/๒๓๑ ,มัจมะอุซซะวาอิด เล่มที่ ๗/๙๑
[๑๐] สุนันติรฺมิซีย์ เล่มที่ ๕๖๕๖-๖๕๗ หะดีษที่ ๓๘๗๑ (ประโยคของติริมะซีย์ได้ย้ำว่า هذا حديث حسن وهو احسن شيء روى في هذا الباب “นี่เป็นหะดีษที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่รายงานไว้ในหมวดนี้”
ท่านฮากิมได้บันทึกหะดีษบทดังกล่าวไว้เช่นกันใน มุสตัดร็อก อัล-ฮากิม เล่มที่ ๓/๑๔๖
[๑๑] หะดีษฆ่อดีรฺมีศ่อฮาบะฮฺจำนวน ๑๑๐ คน, ตาบิอีน ๘๕ คน, และผู้รู้อหฺลิซุนนะฮฺ ๓๖๐ คนเป็นผู้รายงาน (ซีรฺรีย์ ฟิล ฆ่อดีรฺ หน้าที่ ๑๓๓)
[๑๒] อัล-กัชชาฟ เล่มที่ ๔/๒๒๐-๒๒๑





ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัชชีอะฮ์