"สัปดาห์แห่งเอกภาพ" ไม่มีซุนนี ไม่มีชีอะฮ์

"สัปดาห์แห่งเอกภาพ" ไม่มีซุนนี ไม่มีชีอะฮ์

 

เนื่องด้วยวันที่ 12 ของเดือนรอบีอุลเอาวัล ตามสายรายงานของพี่น้องซุนนี และในวันที่ 17 ของเดือนนี้  ตรงกับวันคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อลฯ)  จึงถือว่าเป็น สัปดาห์แห่งเอกภาพ และความเป็นพี่น้องร่วมสายธารเดียวกัน

 

"....เมื่อความจริงปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ" (อัล-กุรอาน 17/81)

 

ความจริงที่ได้ถูกบอกล่วงหน้าไว้แล้วในคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าทุกเล่ม บรรดาศาสดาผู้มาก่อนหน้านั้นก็ได้แจ้งข่าวดีเกี่ยวกับบุรุษผู้ซึ่งจะมาพร้อมกับสาส์นแห่งสากล และในที่สุดเมื่อ "ความเมตตาแก่ประชาชาติ" (อัล-กุรอาน 21/107) ที่ถูกสัญญาไว้ได้มาถึงยังเมืองมักกะฮ์ เมื่อวันที่ 17 รอบีอุลเอาวัลโดยพระประสงค์ของพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่นั้น ความจริงก็ได้ปรากฏชัดเจนอย่างแท้จริง และความเท็จก็ได้มอดดับลงไป

 

รูปบูชา อันเป็นผลิตผลจากจิตใจที่ล้าหลัง ซึ่งตั้งอยู่เต็มบริเวณบ้านศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างโดยศาสดาอิบรอฮีม(อ.) ผู้ทำลายรูปบูชา ได้ล้มลงบนพื้น สิ่งนี้อาจถือเป็นลางร้ายสำหรับชาวอาหรับในสมัยญาฮิลียะฮฺ(โง่งมงาย) แต่สำหรับอับดุลมุฏฏอลิบ ลูกหลานผู้สืบสายตระกูลมาจากอิบรอฮีม การถือกำหนดของมุฮัมมัด(ศ.) หลานชายของเขานั้นย่อมถือเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองอย่างแน่นอนที่สุด

 

รัศมีแห่งสัจธรรมความเป็นจริงที่เรืองโรจน์ขึ้นในวันแห่งการถือกำเนิดของท่านเมื่อ 1,400 กว่าปีที่แล้วไม่ได้ถูกจำกัดขอบเขตอยู่ที่มักกะฮฺเท่านั้น มันเป็นเสมือนสายฟ้าที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาของวันนั้น อาณาจักรเปอร์เซีย เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกพิทักษ์ให้ลุกไหม้อยู่ในวิหารอาซาร์โกชาสบ์มามากกว่าหนึ่งพันปีได้ดับลงจักรพรรดิอะนุชิรฺวาน แห่งเปอร์เซียได้เห็นรอยร้าวปรากฏขึ้นบนซุ้มประตูขนาดใหญ่ของเขา และเสาสูงขอหอคอย 14 ต้น ได้พังลงมาจากปราสาท

 

นักปราชญ์ในหมู่ชาวเปอร์เซียบอกแก่พระราชาของเขาว่า ยุคสมัยแห่งความโง่เขลาได้จบไปแล้ว และศาสนทูตผู้ถูกสัญญาไว้ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว เขาจะนำศาสนาจากความเชื่อของประชาชนกลุ่มเล็กๆ ไปสู่ความศรัทธาแห่งสากล เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ

 

สาส์นที่มุฮัมมัด(ศ.) ได้รับมอบหมาย จะเป็นหลักสากลสำหรับมนุษยชาติที่ตัวของศาสดาเองเป็นผู้ปฏิบัติให้เห็น สำหรับท่านแล้ว ประชาชาติผู้ปฏิบัติตามท่านนั้นจะมาจากชนชั้นใด สีผิวใด พูดภาษาหรือเชื้อชาติใด ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ซุฮัยล์ซึ่งเป็นชาวโรมันก็เป็นคนหนึ่งในหมู่สาวกผู้ทรงเกียรติของท่าน บิลาลทาสผิวดำชาวอบิสซีเนีย ซึ่งออกเสียงภาษาอาหรับได้ไม่ชัด ก็ยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้อะซาน(เชิญชวนมุสลิมมาสู่การนมาซ) และซัลมานชาวเปอร์เซีย ยังถูกกล่าวถึงว่า "มาจากพวกเราอะฮฺลุลบัยตฺ" ซึ่งเป็นเกียรติที่ไม่มีชาวกุเรชชั้นสูงคนใดเคยได้รับมาก่อน

 

ด้วยเหตุนี้เอง ชาวยิวและชาวคริสเตียนจึงพึงรับรู้หลังจากได้ศึกษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาว่า สัจธรรมความจริงได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วด้วยการถือกำเนิดของมุฮัมมัด มุสฏอฟา (ผู้ถูกเลือก) ซึ่งได้ถูกทำนายล่วงหน้าไว้แล้วทั้งในคัมภีร์โทราห์และไบเบิล (Deuteronomy 21:15-17 และ John 14:16)

 

"...จงยึดสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยก..." (อัล-กุรอาน 3/103)

 

ผ่านไป 14 ศตวรรษแล้ว นับตั้งแต่วันถือกำเนิดของศาสดามุฮัมมัด(ศ.) พวกเราชาวมุสลิมได้ยึดมั่นต่อ "สายเชือกของอัลลอฮฺ" ตามพระบัญชาในอัล-กุรอานจริงๆ แล้วหรือ? ทำไมเราจึงยังมีความแตกต่างกันอย่างล้ำลึก ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อวดอ้างว่าแบบอย่าง(ซุนนะฮฺ) ของศาสนาตามแนวทางของตัวเองนั้นคือของแท้?

 

คำกล่าวอ้าง และความแตกต่างในเรื่องหลักการตามบทบัญญัติของศาสนานั้นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาวมุสลิมทั้งหมดต่างก็มีความศรัทธาในเอกภาพที่แบ่งแยกไม่ได้ของพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่ มีคัมภีร์อัล-กุรอานเล่มเดียวกัน น้อมตัวไปสู่ทิศทางเดียวกัน(กะอฺบะฮฺในเมืองมักกะฮฺ) ในการนมาซประจำวัน และทุกคนต่างก็ศรัทธาว่าศาสดามุฮัมมัด(ศ.) เป็นศาสดาท่านสุดท้าย

 

ความแตกต่างปลีกย่อยต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมคำสอนและการปฏิบัติของท่านศาสดาจึงมีแนวทางที่แตกต่างกัน? ท่านไม่ใช่คนที่ความซื่อสัตย์ของท่านยังได้รับการรับรองแม้แต่ในหมู่คนนอกรีตแห่งมักกะฮฺว่าเป็นศอดิก (ผู้มีสัจจะ) และอามีน (ผู้ไว้วางใจได้) กระนั้นหรือ? หรือมันหมายความว่าอาจมีบางอย่างหันเหออกไปในยุคแรกเริ่มของอิสลามภายหลังการจากไปของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้?

 

เหล่านี้คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจของชาวมุสลิมในยุคใหม่นี้ ในขณะที่เขายืนงงอยู่บนทางแยก โดยไม่รู้ว่าชะตากรรมของวิญญาณเขาหลังจากชีวิตในโลกนี้จะเป็นเช่นไร เขารู้ว่าความดื้อรั้นดันทุรังมีแต่จะส่งผลให้สูญเสียความศรัทธาและเหตุผล และโครงสร้างทางสังคมที่แตกร้าวของประชาชาติอิสลามในปัจจุบันนั้นเป็นเพราะความไม่สามารถค้นพบสัจธรรมที่แท้จริงนั่นเอง

 

สัจธรรมความจริง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ค้นหาได้ยากขนาดนั้น สิ่งที่จำเป็นก็คือความกล้าหาญที่จะยกตัวเองให้พ้นไปจาก "อคติทางความเชื่อ" ที่ถูกส่งผ่านจากพ่อสู่ลูกมาหลายศตวรรษ ทำให้ชนรุ่นหลังต้องชะงักงันในกระบวนการนั้น  สิ่งที่จำเป็นคือการตรวจสอบสารบบรายงานฮะดีษ(คำพูด) ที่มีอยู่มากมายอย่างมีหลักเกณฑ์และเหตุผล ด้วยใจที่เปิดกว้างเพื่อการค้นพบหลักฐานที่ชัดเจน

 

"สัปดาห์แห่งเอกภาพ" ได้ให้โอกาสเราอีกครั้งในปีนี้เพื่อก้าวเข้าไปใกล้สัจธรรมที่แท้จริงนั้นยิ่งขึ้น สัปดาห์นี้เริ่มต้นขึ้นและสิ้นสุดลงด้วยวันสำคัญสองวันจากสองสายรายงานถึงวันประสูติของท่านศาสดา(ศ.) วันทั้งสองนี้อยู่ในเดือนรอบีอุล-เอาวัลนี้เอง วันที่ 12 สำหรับมุสลิมซุนนี ตามสายรายงานจากสาวกของศาสดา และวันที่ 17 สำหรับมุสลิมชีอะฮฺ ตามสายรายงานจากสมาชิกในครอบครัวจากสายตระกูลของท่านศาสดา

 


ขอขอบคุณ เว็บไซต์ อะฮ์ลุลบัยต์อะเคเดมี