เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

เจ้าของกรรมสิทธิ์ปาเลสไตน์ในพันธสัญญาเดิม ตอนที่ 3

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

เจ้าของกรรมสิทธิ์ปาเลสไตน์ในพันธสัญญาเดิม ตอนที่ 3

 


มูซา (อ.) ได้เอาคำมั่นสัญญาจากชาวยิว ก่อนเข้าสู่ปาเลสไตน์

 

“พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งได้ทรงประทานดินแดนปาเลสไตน์ให้กับพวกยิวนั้น พระองค์ก็ได้ทรงสอนแก่ชาวยิวถึงวิถีชีวิตในดินแดนแห่งนั้นไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์โตราห์และได้ทำให้หลักฐานและข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้เป็นที่สมบูรณ์แล้วสำหรับพวกเขา  ดังนั้นหากพวกเขายังคงยื่นมือสู่การประกอบความชั่วต่างๆ ข้างต้นแล้ว พระองค์เองจะทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้”

 

ชาวไซออนิสต์กล่าวอ้างความเป็นกรรมสิทธิ์ในดินแดนปาเลสไตน์โดยอ้างคัมภีร์โตราห์ (เตาร๊อต) หรือพันธสัญญาเดิม การศึกษาตรวจสอบคัมภีร์โตราห์แสดงให้เห็นว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบแผ่นดินปาเลสไตน์ให้กับศาสดาอิบรอฮีม (อ.) หรืออับราฮัม และพระองค์ได้ทรงเน้นย้ำต่ออิบรอฮีมว่า เชื้อสายของท่านจะต้องเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว (มุวะฮ์ฮิด) หากไม่เช่นนั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะทรงขับไล่พวกเขาออกจากแผ่นดินนี้

 

เงื่อนไขนี้ได้ถูกตอกย้ำโดยศาสดามูซา (อ.) หรือโมเซสด้วยเช่นกัน และเกี่ยวกับเรื่องนี้พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณ ได้ทรงเอาคำมั่นสัญญาที่หนักแน่นจากชาวยิว แต่เงื่อนไขนี้ไม่ได้รับการเคารพ และพระผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงเนรเทศบนีอิสรออีล (เผ่าพันธุ์อิสราเอล) ออกจากแผ่นดินปาเลสไตน์สองครั้ง และครั้งที่สามพระองค์ได้ทรงเนรเทศพวกเขาตลอดไป

 

เผ่าพันธุอิสราเอลได้ถูกเนรเทศครั้งแรกไปยังอียิปต์ ในสมัยของศาสดายูซุฟ (อ.) หรือโจเซฟ และพำนักอาศัยอยู่ที่นั่นถึงสี่รุ่น จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงนำพวกเขากลับมายังปาเลสไตน์โดยสื่อศาสดามูซา (อ.) หรือโมเสส  การเนรเทศชาวยิวครั้งที่สองไปยังบาบิโลน เกิดขึ้นในช่วง 586 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากที่บุคตุนนัศร์ (เนบูคัดเนสซาร์ / Nebuchadnezzar) ได้พิชิตนครเยรูซาเล็มและวิหารโซโลมอนได้ถูกทำลายลง และท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 70 คือ 40 ปีหลังจากที่ศาสดาอีซา (อ.) หรือพระเยซู ได้ทำให้หลักฐานข้อพิสูจน์เป็นที่สมบูรณ์ (อิตมาม ฮุจญัต) ต่อกลุ่มชนนี้แล้ว

 

การลงโทษ (บะลาอ์) ของพระผู้เป็นเจ้าได้เกิดขึ้นกับกลุ่มชนนี้โดยสื่อชาวโรมัน และชาวยิวได้ถูกเนรเทศออกจากปาเลสไตน์ตลอดกาล วิธีเดียวที่ชาวยิวจะกลับไปยังปาเลสไตน์ได้ คือการที่พวกเขาจะต้องสารภาพผิดและกลับตัวกลับใจ (เตาบะฮ์) และหันออกจากแนวทางของบรรพบุรุษของพวกเขา ประเด็นนี้รับรู้ได้จากอายะฮ์ (โองการ) ที่ 8 ของซูเราะฮ์ (บท) อัลอิสรออ์ ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า :


عَسىَ‏ رَبُّكمُ‏ْ أَن يَرْحَمَكمُ‏ْ  وَ إنْ عُدتمُ‏ْ عُدْنَا

 

“หวังว่าพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าจะทรงเมตตาพวกเจ้า (หากพวกเจ้ากลับตัวกลับใจ) และหากพวกเจ้าย้อนกลับมา (เนรคุณ) อีกเราก็จะกลับมา (ลงโทษพวกเจ้า) อีก


     

ชาวยิวตระหนักถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ดีกว่าคนอื่นๆ  และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ว่าเป็นระยะเวลาถึง 18 ศตวรรษหลังจากการถูกเนรเทศออกจากปาเลสไตน์ พวกเขาไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่จะย้อนกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้อีกเลย แต่พวกอุตริชาวยิวในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้กล่าวอ้างความเป็นกรรมสิทธิ์ในดินแดนปาเลสไตน์บนพื้นฐานของคัมภีร์โตราห์ ในชุดบทความนี้พยายามที่จะตรวจสอบคำกล่าวอ้างของชาวไซออนิสต์โดยใช้ภาษาง่ายๆ

[ชาวยิวภายใต้การนำของโยชูวา (ศาสดาโยชะฮ์ บินนูน (อ.)) ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อเข้าสู่ปาเลสไตน์]

 

การเข้าสู่แผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวโดยมีเงื่อนไข

 

ท่านศาสดามูซา (อ.) หรือโมเสสได้เสียชีวิตในช่วงสิ้นสุดระยะสี่สิบปีของการร่อนเร่อยู่ในทะเลทราย และผู้สืบทอด (วะซีย์) ของท่าน คือ ยูชะอ์ บินนูน (หรือโยชูวา บุตรนูน) ได้นำชาวยิวเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์  ท่านศาสดามูซา (อ.) ได้สั่งเสียสิ่งต่างๆ มากมายต่อยูชะอ์ (อ.) และได้แจ้งให้ท่านรู้ถึงความผิดบาปต่างๆ ที่ใหญ่หลวงที่ชาวยิวประกอบมันในอนาคต ด้วยเหตุนี้เองเพื่อที่จะทำให้หลักฐานเป็นที่สมบูรณ์ต่อชาวยิว ท่านศาสดามูซา (อ.) จึงได้สั่งแก่ยูชะอ์ (อ.) ว่า เมื่อพวกท่านเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว บรรดาปุโรหิตของกลุ่มชน (จากเผ่าเลวี) และอีกหกเผ่าจากลูกๆ ของยาโคบ (ศาสดายะอ์กูบ (อ.)) จะขอพรให้แก่กลุ่มชน ส่วนอีกหกเผ่าที่เหลือก็จะทำการสาปแช่งพวกเคารพบูชารูปเจว็ดและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาของกลุ่มชนในอนาคต : ดู(เฉลยธรรมบัญญัติ : 27/11 ถึง 26)

 

11- ในวันเดียวกันนั้นโมเสสสั่งประชากรดังนี้ว่า
12- เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนแล้ว เผ่าสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟ และเบนยามิน จะยืนอยู่บนภูเขาเกริซิมเพื่ออวยพรประชากร
13- ส่วนเผ่ารูเบน กาด อาเชอร์ เศบูลุน ดาน และนัฟทาลี จะยืนอยู่บนภูเขาเอบาล เพื่อกล่าวคำสาปแช่ง
14- คนเลวีจะป่าวร้องแก่ชนอิสราเอลด้วยเสียงอันดังว่า
15- “ขอแช่งคนที่แกะสลักหรือหล่อรูปเคารพซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรังเกียจ เป็นผลงานจากน้ำมือของช่างและตั้งไว้อย่างลับๆ” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
16- “ขอแช่งคนที่ไม่ให้เกียรติบิดามารดา” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
17- “ขอแช่งคนที่ย้ายหลักเขตที่ดินของเพื่อนบ้าน” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
18- “ขอแช่งคนที่นำคนตาบอดให้หลงทาง” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”

19- “ขอแช่งคนที่ไม่ให้ความยุติธรรมแก่คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ หรือหญิงม่าย” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
20- “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับภรรยาของบิดา เพราะเขาหยามเกียรติบิดาของเขา” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
21- “ขอแช่งคนที่สมสู่กับสัตว์” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
22- “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับพี่สาวน้องสาวของตน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวของบิดาหรือบุตรสาวของมารดาก็ตาม” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
23- “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับแม่ยายของตน” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
24- “ขอแช่งคนที่ลอบสังหารเพื่อนบ้านของเขา” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
25- “ขอแช่งคนที่รับสินบนเพื่อฆ่าผู้บริสุทธิ์” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
26- “ขอแช่งคนที่ไม่ยึดมั่นปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”


     

การแสดงอันยิ่งใหญ่และการพูดถึงการสาปแช่งเหล่านี้ภายใต้ท้องฟ้า ได้สะท้อนให้เห็นถึงสาส์นที่ว่าชาวยิวไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในปาเลสไตน์อย่างไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งได้ทรงประทานดินแดนปาเลสไตน์ให้กับพวกยิวนั้น พระองค์ก็ได้ทรงสอนแก่ชาวยิวถึงวิถีชีวิตในดินแดนแห่งนั้นไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์โตราห์และได้ทำให้หลักฐานและข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้เป็นที่สมบูรณ์แล้วสำหรับพวกเขา ดังนั้นหากพวกเขายังคงยื่นมือสู่การประกอบความชั่วต่างๆ ข้างต้นแล้ว พระองค์เองก็จะทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้

    

หนังสือและสาส์นต่างๆ ของพันธะสัญญาเดิมบอกแก่เราว่า น่าเศร้าใจที่ชาวยิวนอกเหนือไปจากการบาปสิบสองข้อข้างต้นแล้ว พวกเขายังได้กระทำบาปอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยบาปที่ใหญ่ที่สุด คือ การปรากฏตัวของบรรดาศาสดาปลอมและการเปลี่ยนแปลงคัมภีร์โตราห์โดยพวกปุโรหิตและบรรดาผู้จดบันทึก
มูซา (อ.) กล่าวถึงพรของพระเจ้าที่ให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาชาวยิว
     ทั

นทีหลังจากคำสั่งเสียต่างๆ เกี่ยวกับการสาปแช่งข้างต้น ท่านศาสดามูซา (อ.) ได้กล่าวถึงสองเส้นทางในอนาคตของชาวยิว คือเส้นทางแห่งความดีและความจำเริญ หรือเส้นทางแห่งความชั่วและการลงโทษ ท่านศาสดามูซา (อ.) เริ่มต้นด้วยการประกาศแก่พวกเขาถึงความจำเริญต่างๆ ของอัลลอฮ์ ว่า ถ้าหากพวกท่านปฏิบัติตามคัมภีร์โตราห์และก้าวเดินไปในเส้นทางของผู้เป็นเจ้าแล้ว เมื่อนั้นผลผลิตของแผ่นดินและปสุสัตว์ของพวกท่านก็จะเปี่ยมไปด้วยความจำเริญและพรั่งพรู และศัตรูของพวกท่านจะถูกทำลายและพวกท่านก็จะอยู่อย่างสุขสบายตลอดไป :


1.หากท่านเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอย่างครบถ้วน และหมั่นปฏิบัติตามพระบัญชาทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเชิดชูท่านเหนือประชาชาติทั้งปวงในโลก
2.พรทั้งหมดนี้จะมีมาถึงท่านและดำรงอยู่กับท่าน หากท่านเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
3. ท่านจะได้รับพรทั้งในเมืองและในทุ่งนา
4. ท่านจะได้รับพรให้มีบุตรหลานมากมาย ให้ท้องทุ่งของท่านเกิดผลมาก และให้ฝูงสัตว์และฝูงแพะแกะของท่านมีลูกดก
5. ท่านจะได้รับพรให้ตะกร้ามีพืชผลล้นหลาม และรางนวดแป้งเต็มไปด้วยขนมปัง

6.ท่านจะได้รับพรไม่ว่าจะไปทางไหน
7.องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งหลายต่อหน้าท่าน พวกเขาจะเดินทัพมาสู้ท่านทางเดียว แต่แตกฉานซ่านเซ็นไปเจ็ดทาง
8.องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอวยพรยุ้งฉางของท่านและทุกสิ่งที่ท่านลงมือทำ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในดินแดนซึ่งพระองค์ประทานแก่ท่าน
9.หากท่านถือรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและดำเนินตามทางของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงตั้งท่านให้มั่นคงในฐานะชนชาติบริสุทธิ์ของพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้กับท่านด้วยคำปฏิญาณ
10.แล้วประชาชาติทั้งปวงในโลกจะเห็นว่าท่านได้รับการขนานนามตามพระนามของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะเกรงกลัวท่าน
11.องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความเจริญรุ่งเรืองอย่างล้นเหลือแก่ท่าน ในเรื่องบุตรหลาน ลูกอ่อนของฝูงสัตว์ และพืชผลจากแผ่นดิน ในดินแดนที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่าจะยกให้ท่าน
12.องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดฟ้าสวรรค์ซึ่งเป็นคลังอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ ให้ฝนตกในแผ่นดินของท่านตามฤดูกาล และจะทรงอวยพรงานทุกอย่างที่ท่านทำ ท่านจะให้หลายชาติกู้ยืม แต่ไม่ยืมจากใครเลย
13.องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่หาง ถ้าเพียงแต่ท่านใส่ใจพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ท่านจะอยู่เบื้องบนสุดเสมอ ไม่เคยอยู่เบื้องล่างเลย

14.อย่าหันเหจากพระบัญชาซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ไปทางขวาหรือทางซ้าย อย่าไปติดตามและปรนนิบัติพระอื่นใด
 (เฉลยธรรมบัญญัติ : 28/1 ถึง 14)

 

มูซา (อ.) ได้กล่าวถึงการลงโทษของพระเจ้าต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาชาวยิว

พร้อมกับการกล่าวถึงพรต่างๆ ของพระเจ้าประมาณหนึ่งหน้ากระดาษนั้น เกือบสี่หน้ากระดาษที่กล่าวถึงคำสาปแช่งและการลงโทษของพระเจ้าซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนชั่วร้ายของหมู่ชนนี้มีมากกว่าคนดีของพวกเขา ข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ถูกอ้างไว้ใน “เลวีนิติ : 26” และใน “เฉลยธรรมบัญญัติ : 28” และเราจะอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลหลัง
    

ท่านผู้อ่านทั้งหลายจงพิจารณาดูสำนวนเหล่านี้จากพระดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพและผู้ทรงปรีชาญาณตามพระคัมภีร์โตราห์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งท่านศาสดามูซา (อ.) ได้ประกาศมันแก่ชาวยิวก่อนที่จะเข้าสู่ปาเลสไตน์  :


15. แต่หากท่านไม่เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและไม่ใส่ใจปฏิบัติตามพระบัญชาและกฎหมายทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้ากำลังแจ้งท่านในวันนี้ คำสาปแช่งทั้งปวงนี้ก็จะตกมาถึงท่าน
16. ท่านจะถูกสาปแช่งทั้งในเมืองและในทุ่งนา
17. ท่านจะถูกสาปแช่งโดยให้ตะกร้าของท่านปราศจากพืชผลและรางนวดแป้งไม่มีขนมปัง
18. ท่านจะถูกสาปแช่งโดยให้มีลูกหลานน้อย และให้ท้องทุ่งของท่านไม่เกิดผล และฝูงวัวฝูงแพะ แกะ ก็ไม่มีลูก
19. ท่านจะถูกสาปแช่งไม่ว่าท่านจะไปทางไหน

20.องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้คำสาปแช่งตกอยู่แก่ท่าน ท่านจะเดือดร้อนวุ่นวายและล้มเหลวในกิจการทุกอย่างที่ท่านทำจนกว่าท่านจะถูกทำลายล้าง และถึงแก่หายนะอย่างรวดเร็ว เพราะความชั่วร้ายของท่านที่ได้ละทิ้งพระองค์
21. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษท่านด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จนกว่าพระองค์จะทำลายท่านให้หมดไปจากดินแดนที่ท่านจะเข้ายึดครอง
22. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลโรคภัยกัดกร่อนชีวิต ด้วยความเจ็บไข้และการอักเสบ ด้วยความร้อนระอุและความแห้งแล้ง ด้วยเชื้อราและแมลงทำลายต้นไม้ ซึ่งจะเล่นงานท่านจนท่านพินาศไป
23. ท้องฟ้าเหนือศีรษะของท่านจะเป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์ และแผ่นดินเบื้องล่างจะเป็นเหมือนเหล็ก
24. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะบันดาลให้ฝนกลายเป็นฝุ่นผงลงมาจากท้องฟ้าจนกว่าท่านจะถูกทำลายล้างไป
25. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้ท่านพ่ายแพ้ศัตรู ท่านจะออกไปประจันหน้ากับพวกเขาทางเดียว แต่เตลิดหนีจากเขาเจ็ดทาง และท่านจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองแก่อาณาจักรทั้งปวงในโลก
26. ซากศพของพวกท่านจะตกเป็นเหยื่อของนกในอากาศและสัตว์ป่าในแผ่นดินโลก และจะไม่มีผู้ใดขับไล่พวกมันไป
27. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้ฝีอย่างที่เคยเกิดกับอียิปต์ เนื้องอก แผล เนื้อร้าย และโรคคันซึ่งรักษาไม่หายทรมานท่าน
28. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะใช้ความคลุ้มคลั่ง ความมืดบอด และความวุ่นวายใจทรมานท่าน

29. เวลากลางวันแสกๆ ท่านจะคลำสะเปะสะปะเหมือนคนตาบอดอยู่ในความมืด ท่านจะไม่ประสบความสำเร็จในกิจการใดๆ ที่ท่านทำเลย ท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงและถูกปล้นชิงวันแล้ววันเล่าโดยไม่มีใครช่วยท่าน
30. ท่านจะหมั้นหมายหญิงสาวไว้เป็นภรรยาแต่ชายอื่นจะข่มขืนนาง ท่านจะสร้างบ้านแต่ไม่ได้อาศัยในบ้านนั้น ท่านจะลงแรงปลูกสวนองุ่นแต่ไม่มีวันได้กินผลของมัน
31. วัวของท่านจะถูกเชือดต่อหน้าต่อตาท่าน แต่ท่านจะไม่ได้ลิ้มรสมันเลย ลาของท่านจะถูกไล่ต้อนไปต่อหน้าท่านและไม่ได้กลับคืนมา แกะของท่านจะถูกยกให้แก่ศัตรูและจะไม่มีใครช่วยปกป้องมัน
32. บุตรชายบุตรสาวของท่านจะถูกยกให้เป็นทาสของชาติอื่น ท่านจะตั้งตาคอยลูกวันแล้ววันเล่าแต่ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้
33. คนต่างชาติซึ่งท่านไม่เคยรู้จักจะมากินผลผลิตซึ่งท่านลงแรงเพาะปลูก ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่านจะมีแต่การกดขี่ข่มเหงอันโหดร้ายทารุณ
34. ท่านจะคลุ้มคลั่งไปเพราะเหตุการณ์โศกสลดที่เห็น
35. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทรมานกายของท่านด้วยฝีที่เจ็บปวดซึ่งรักษาไม่หาย เป็นแผลลามตั้งแต่ส้นเท้าขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม
36. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเนรเทศท่านและกษัตริย์ซึ่งท่านเลือกให้ปกครองท่านนั้นไปยังชนชาติซึ่งท่านหรือบรรพบุรุษไม่เคยรู้จัก ท่านจะนมัสการพระอื่นๆ ซึ่งสร้างขึ้นจากไม้และหินที่นั่น 37. ท่านจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยอง เป็นขี้ปากและคำถากถางในหมู่ชาติต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ไสส่งท่านไป
 (เฉลยธรรมบัญญัติ : 28/15 ถึง 37)

   

คำสาปแช่งทั้งหมดนี้จะลงมาเหนือท่านไล่ตามท่าน และจะตามทันท่าน จนกว่าท่านจะถูกทำลาย เพราะว่าท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ที่จะรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้


   

สิ่งเหล่านี้จะเป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่เหนือท่าน และเหนือลูกหลานของท่านเป็นนิตย์
   

เพราะท่านไม่ได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยความยินดีและใจชื่นชม เพราะเหตุมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์
   

เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องปรนนิบัติศัตรูของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงใช้มาต่อสู้กับท่าน ด้วยความหิวและกระหาย เปลือยกายและขัดสนทุกอย่าง และพระองค์จะทรงวางแอกเหล็กบนคอของท่าน จนกว่าพระองค์จะทรงทำลายท่านเสียสิ้น
   

พระยาห์เวห์จะทรงนำประชาชาติหนึ่งมาต่อสู้กับท่านจากทางไกล จากที่สุดปลายแผ่นดินโลก เร็วเหมือนนกอินทรีบินมา เป็นประชาชาติที่ท่านไม่รู้จักภาษาของเขา
   

เป็นประชาชาติที่มีหน้าตาดุ คือผู้ซึ่งไม่เคารพผู้อาวุโสและไม่พอใจหนุ่มสาว
   

และจะรับประทานลูกสัตว์ของท่าน และพืชผลจากพื้นดินของท่าน จนท่านจะถูกทำลาย ทั้งเขาจะไม่เหลือข้าว เหล้าองุ่นใหม่ หรือน้ำมัน ลูกโคหรือลูกแกะอ่อนไว้ให้ท่าน จนกว่าเขาจะทำให้ท่านพินาศ
   

เขาจะล้อมท่านไว้ทุกเมืองจนกำแพงสูงและเข้มแข็งซึ่งท่านไว้วางใจนั้น พังทลายลงทั่วแผ่นดินของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
   

ท่านจะต้องรับประทานพงศ์พันธุ์แห่งร่างกายของท่าน คือเนื้อบุตรชายและบุตรสาวของท่าน ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ในการล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทั้งหลายทุกข์ลำบากนั้น
   

ผู้ชายสำรวยและสำอางเหลือเกินในหมู่พวกท่าน จะมีตาที่ประสงค์ร้ายต่อพี่น้องของตน ต่อภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของตน และต่อลูกๆ ที่เหลืออยู่กับตน
   

เขาจะไม่ยอมให้ใครได้เนื้อลูกของตนซึ่งกำลังกินอยู่ เพราะไม่มีอะไรเหลือให้เขาอีกแล้ว ในการล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทุกข์ลำบากทุกเมือง
   

ผู้หญิงสำรวยและสำอางในหมู่พวกท่าน ซึ่งไม่เคยย่างเท้าลงดิน เพราะเป็นคนสำอางและสำรวยอย่างนั้น จะมีตาที่ประสงค์ร้ายต่อสามีในอ้อมอกของเธอ และต่อบุตรชายและบุตรสาวของเธอ
   

แม้แต่กับรกซึ่งเพิ่งออกมาจากหว่างขาของเธอ และลูกแดงที่เพิ่งคลอด เพราะว่าเธอจะแอบกินเป็นอาหาร เพราะขัดสนทุกอย่าง ในการถูกล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทุกข์ลำบากทุกเมือง
   

ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระวังที่จะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัติซึ่งเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ที่จะให้ยำเกรงพระนามอันทรงเกียรติและน่าเกรงขามนี้ คือพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
   

แล้วพระยาห์เวห์จะทรงนำมาสู่ท่านและลูกหลานของท่านซึ่งความทุกข์ใจอย่างผิดธรรมดา ความทุกข์ใจร้ายแรงและเนิ่นนาน และความเจ็บป่วยต่างๆ ที่ร้ายแรงและเรื้อรัง
   

60. และพระองค์จะทรงนำโรคทั้งหลายแห่งอียิปต์ ซึ่งท่านกลัวนั้นมาสู่ท่านอีก และมันจะติดพันท่านอยู่ 61 โรคทุกอย่างและความทุกข์ใจทุกอย่าง ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือแห่งธรรมบัญญัตินี้ พระยาห์เวห์จะทรงนำมายังท่าน จนกว่าท่านจะถูกทำลาย
   

แม้ว่าพวกท่านมีมากอย่างดวงดาวในท้องฟ้านั้น ท่านก็จะเหลือแต่จำนวนน้อย เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
   

ซึ่งพระยาห์เวห์พอพระทัยที่จะทรงทำดีต่อท่าน และทรงอวยพรให้ท่านทวีมากขึ้นนั้น พระองค์ก็จะพอพระทัยที่จะทรงทำให้ท่านพินาศและทรงทำลายท่านเสียเช่นเดียวกัน ท่านจะต้องถูกถอนออกไปเสียจากแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะเข้ายึดครองนั้น
   

และพระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ตั้งแต่ที่สุดปลายโลกข้างนี้ไปถึงข้างโน้น ณ ที่นั่นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นๆ ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก คือพระซึ่งทำด้วยไม้และหิน
(เฉลยธรรมบัญญัติ : 28/45 ถึง 64)

    ชนชาติทั้งหลายจะถามว่า “ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำต่อดินแดนนี้ถึงเพียงนี้? เหตุใดพระองค์ทรงพระพิโรธรุนแรงขนาดนี้?”
   

คำตอบก็คือ “เพราะชนชาตินี้ละทิ้งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา พันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงทำกับพวกเขาเมื่อครั้งพระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์
   

พวกเขาหลงเตลิดไปกราบไหว้นมัสการพระอื่นๆ พระที่พวกเขาไม่รู้จัก พระที่พระองค์ไม่ได้ประทานให้พวกเขา
   

ฉะนั้นพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเผาผลาญดินแดนนี้เพื่อพระองค์จะทรงนำคำสาปแช่งทั้งปวงที่บันทึกไว้ในหนังสือนี้ลงมาเหนือดินแดนของเขา
   

โดยพระพิโรธอันร้อนแรงและความเกรี้ยวกราดอันใหญ่หลวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขุดรากถอนโคนเขาออกจากแผ่นดิน และเหวี่ยงทิ้งไปในดินแดนอื่นดังที่เป็นอยู่ขณะนี้”
 (1) (เฉลยธรรมบัญญัติ : 29/24 ถึง 28)

     

คำทำนายถึงกรณีเหล่านี้ก่อนที่จะเข้าสู่ปาเลสไตน์ ก็เพื่อเป็นการเตือนชาวยิวและการทำให้หลักฐานเป็นที่สมบูรณ์กับคนเหล่านี้ เพื่อว่าพวกเขาจะได้เกิดความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาและเกรงกลัวต่อการลงโทษของพระองค์ กระนั้นก็ตามชาวยิวก็ยังคงกระทำบาปต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงเหล่านั้นและเป็นผลทำให้ความทุกข์ยากและโทษทัณฑ์เหล่านี้จากพระเจ้าจึงได้มาประสบกับพวกเขา  ประเด็นสำคัญก็คือ พระเจ้าทรงขู่สำทับแก่ชาวยิวว่า พระองค์จะทำให้พวกเขาเผชิญกับการลงโทษสี่ประการที่จะบั่นทอนเชื้อสายของพวกเขา ได้แก่ ดาบของศัตรู โรคภัยที่ไม่รู้จัก ความอดอยากและสัตว์ดุร้ายต่างๆ ที่พระเจ้าจะทรงส่งพวกมันไปยังเมืองทั้งหลายของชาวยิว
ชาวยิวไม่เชื่อฟังคำเตือนและการลงโทษได้มาประสบกับพวกเขา
     

หลายกรณีของการลงโทษเหล่านี้สามารถพบเห็นได้ในพันธะสัญญาเดิมที่มีอยู่ในขณะนี้  ตัวอย่างเช่น ปัญหาความอดอยากที่นำไปสู่การกินเนื้อของลูกๆ  (เฉลยธรรมบัญญัติ : 28 / 53 ถึง 57) ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในสะมาเรียถูกปิดล้อมโดยกลุ่มชนอาราเมียน  ในช่วงเวลานั้นเมื่อกษัตริย์ของชาวยิวได้เดินทางผ่านเมือง หญิงคนหนึ่งได้ทูลขอความต้องการต่อพระองค์ :
   

อยู่มาภายหลังกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมทรงระดมกองทัพทั้งหมดมาล้อมเมืองสะมาเรีย 25. เป็นเหตุให้เกิดการกันดารอาหารครั้งใหญ่ในเมืองนั้น การล้อมเมืองยืดเยื้อจนแม้แต่หัวลายังมีราคาสูงเป็นเงินหนักถึง 80 เชเขล และเมล็ดถั่วป่า ประมาณ 0.3 ลิตร ซื้อขายกันเป็นเงินหนัก 5 เชเขล
   

ขณะกษัตริย์อิสราเอลเสด็จผ่านใกล้กำแพงเมือง หญิงคนหนึ่งร้องทูลว่า “ฝ่าพระบาท โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเถิด!”
   

กษัตริย์ตรัสตอบว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงช่วยเจ้า เราจะหาความช่วยเหลือจากที่ไหนมาให้เจ้า? จากลานนวดข้าวหรือ? จากบ่อย่ำองุ่นหรือ?” 28 แล้วพระองค์ตรัสถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”

     

หญิงนั้นทูลว่า “ผู้หญิงคนนี้ได้กล่าวกับหม่อมฉันว่า ‘วันนี้ให้เรากินเนื้อลูกชายของเจ้า แล้ววันรุ่งขึ้นเราจะกินเนื้อลูกชายของฉัน’ 29 ฉะนั้นพวกเราจึงเอาลูกชายของหม่อมฉันมาทำอาหารกิน ครั้นวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันบอกว่า ‘ฆ่าลูกของเธอสิ จะได้เอามากินกัน’ แต่เขากลับซ่อนลูกไว้” (2 พงศ์กษัตริย์ : 6 / 24 ถึง 29 ) (2)
     

การกินเนื้อลูกๆ ได้เกิดขึ้นในช่วงที่เกิดความอดอยาก ทำนองเดียวกันนี้ในช่วงที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายครั้งที่สอง (ค.ศ. 70) “William McElwee Miller” นักเขียนคริสเตียนได้เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ตามแหล่งอ้างอิงของตนไว้ในหนังสือ " A history of the ancient church in the Roman and Persian empires " เช่นนี้ว่า
     

พวกชาวยิวทั้งหมดได้ก่อการกบฏและพวกทหารโรมันก็ได้มุ่งสู่เยรูซาเล็มเพื่อปราบปรามพวกเขาภายใต้การนำของติตุสโอรสของจักรพรรดิ (โรมัน) และได้ปิดล้อมเยรูซาเล็มเป็นระยะเวลาถึงห้าเดือน  ความอดอยากที่น่าสะพรึงกลัวได้ปกคลุมไปทั่วเมืองถึงขั้นที่กล่าวกันว่าแม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ต้องประทังความหิวของตนด้วยการกินลูกน้อยของตน  ผลจากการสังหารหมู่และความอดอยากดังกล่าวทำให้ชาวยิวจำนวนเกือบหนึ่งล้านคนยิวได้เสียชีวิต และท้ายที่สุดทหารโรมันยึดครองเมืองเยรูซาเล็มและได้ทำการเผามหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ (A history of the ancient church in the Roman and Persian empires ,  แปลเป็นภาษาเปอร์เซีย โดย อะลี นุคุซตีน” กรุงเตหะราน, ปี 1931, สำนักพิมพ์ฮะซาฏีร, หน้าที่ 63)
    

ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ชัดว่า ตามคัมภีร์โตราห์ปัจจุบัน แทนที่ชาวยิวจะค้นหาบรรดาบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์และเป็นศัตรูกับชนชาตินี้ จำเป็นที่พวกเขาจะต้องค้นหาว่าสาเหตุหลักในตัวของชาวยิวเอง โดยที่ความผิดบาปต่างๆ ของพวกเขานั่นเองที่เป็นสาเหตุทำให้พระเจ้าส่งพวกศัตรูมาเพื่อทำโทษพวกเขา : บุคตุนนัศร์ (เนบูคัดเนสซาร์ - Nebuchadnezzar), ติตุส (Titus) และอาจเป็นไปได้ว่ารวมถึงฮิตเลอร์ด้วย บุคตุนนัศร์และติตุสตามลำดับได้ทำลายมหาวิหารทั้งสองแห่งของชาวยิว คือวิหารซาโลมอนและวิหารเฮโรด
 

เชิงอรรถ :


[1] ประโยคนี้อนุมานได้ว่า คัมภีร์โตราห์หรืออย่างน้อยที่สุด “เฉลยธรรมบัญญัติ” นี้ได้ถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาของการร่อนเร่พลัดถิ่นและการถูกขับไล่ของชาวยิวออกจากปาเลสไตน์ กล่าวคือ หลังจากปี ค.ศ. 70 และการถูกทำลายพระวิหารที่สองของพระเจ้า
[2] อ้างความหมายภาษาไทยของคัมภีร์ไบเบิลจาก : www.biblegateway.com


แปล/เรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม