การตั้งชื่อว่าอัล-กุรอาน

                       
การตั้งชื่อว่าอัล-กุรอาน

 

 

๑.จุดประสงค์ของคำว่า กุรอาน ซึ่งอัลลอฮ์ ตะอาลาได้ตั้งชื่อคัมภีร์ของพระองค์ว่า กุรอานหมายถึงอะไร

 

คำตอบ คำว่ากุรอานเป็นนามเฉพาะ เป็นอะลัม (เป็นที่รู้จักกันทั่วไป) เป็นชื่อของคัมภีร์เล่มสุดท้ายจากฟากฟ้า ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า อาจเป็นคำนามประเภทมุชตัก หมายถึง นำมาจากคำอื่น หลังจากนั้นได้มีการเรียกกันจนชิน หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นคำนามเฉพาะที่ไม่ได้มีการเรียกกันจนติดปาก หมายถึง ได้ถูกเลือกให้เป็นชื่อของคัมภีร์เล่มสุดท้ายแห่งฟากฟ้าตั้งแต่แรก ซึ่งทั้งสองสมมุติฐานสามารถอธิบายได้ดังนี้


ก.กุรอานเป็นมุชตัก เหมือนกับคำว่าซัยด์ อะลี อุมัร เป็นอะลัมสำหรับบุคคล ซึ่งรากศัพท์ของ ซัยด์ มาจากคำว่า ซาดะ, ซัยดัน, และซิยาดะตัน


๒.คำว่ากุรอานอยู่บนรูปของคำว่า (ฆุฟรอน) เป็นมัซดัร (รากของคำ) ซึ่งองค์ประกอบของคำคือ กะ เราะ อะ หมายถึง การอ่าน เช่น พูดว่า กะเราะตุ อัล-กิตาบะ (ฉันได้อ่านหนังสือ) ตรงนี้คำว่า กุรอาน อยู่ในฐานะกรรม ของประโยค (มัฟอูล) มักรูอุน หมายถึงได้ถูกอ่านแล้ว เป็นทัศนะของอับดุลลอฮ์ บิน อับบาส และ ละฮ์ยานีย์[๑]


กุรอานเป็นมัซดัร (รากของคำ) มาจากคำว่า เกาะรอ กอรยัน เกาะรอน เช่น พูดว่า


 قراءت الماء فى الحوض
 

หมายถึง ฉันได้รวมน้ำไว้ในสระ


ดังนั้น คำว่า กุรอาน ในฐานะที่เป็นคัมภีร์ที่ได้รวบรวมคำพูด ผลงาน และผลลัพธ์ของคัมภีร์ก่อนหน้านี้ไว้ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพราะว่า กุรอานได้รวบรวมซูเราะฮ์ (บท) ต่าง ๆ โองการ คำสั่งห้าม คำสั่งใช้ เรื่องเล่า อุทาหรณ์ และอื่น ๆ อีกมากมายจึงให้ความหมายว่าเป็นการรวบรวม เป็นทัศนะของ กุตาดะฮ์ อิบนุอะซีร และซุญาจ[๒]

 

๓. กุรอานมาจากคำว่า กะเราะนะ หมายถึง เอามาติดกัน หรือผูกของสองสิ่งติดกัน เนื่องจากว่าโองการต่าง ๆ และซูเราะฮ์อยู่ติดกันอย่างเป็นพิเศษโดยมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จึงเรียกว่าเป็น กุรอาน (เป็นทัศนะของอัชอะรีย์) ด้วยเหตุนี้คำว่า กุรอาน จึงต้องอ่านโดยถือว่า นูน เป็นพยัญชนะหลักของคำ

 

๔. บางทัศนะกล่าวว่า กุรอาน ผันมาจากคำว่า เกาะรออิน ซึ่งเป็นพหูพจน์ของคำว่า เกาะรีนะฮฺ หมายถึงสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย เนื่องจากว่าบางโองการเป็นสัญลักษณ์และให้การสนับสนุนโองการอื่น หรือบางโองการได้อธิบายและรับรองอีกโองการหนึ่ง (เป็นทัศนะของ ฟัรรออ์) ด้วยเหตุนี้ ทัศนะดังกล่าวจึงต้องอ่านนูนให้เป็นพยัญชนะหลักของคำ[๓]

 

ข. กุรอานเป็นคำนามเฉพาะ เป็นอะลัมสำหรับบุคคล


๕. กุรอานเป็นนามที่เฉพาะ เป็นนามที่ไม่ได้มาจากคำอื่น หมายถึงได้ถูกตั้งให้นามของ อัล-กุรอานในฐานะที่เป็นคัมภีร์แห่งฟากฟ้าเล่มสุดท้ายตั้งแต่แรก ซึ่งก่อนหน้าหรือหลังจากนี้ไม่เคยมี เช่น เตารอต และอินญีล เป็นคัมภีร์ของท่านศาสดามูซา (อ.) และศาสดาอีซา (อ.) (เป็นทัศนะของชาฟิอีย์ และซุยูฏีย์) ด้วยเหตุนี้ ทัศนะดังกล่าวจึงอ่านกุรอาน โดยให้นูนเป็นพยัญชนะหลักของคำ[๔]

 

๒. คำถาม ความแตกต่างระหว่างโองการกับฮะดีษกุดซีย์คืออะไร สามารถแยกแยะทั้งสองได้อย่างไร

 

คำตอบ ฮะดีษกุดซีย์ คำว่ากุดซีย์หมายถึง ศักดิ์สิทธิ์ หรือ บริสุทธิ์ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวว่ากับบุคคลถึงสิ่งที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงตรัสหรือทรงกระทำ แต่ข้อความประเภทนี้มิได้เป็นส่วนหนึ่งของอัล-กุรอาน รายงานเช่นนี้เรียกว่าฮะดีษกุดซีย์ อีกนัยหนึ่ง เป็นฮะดีษที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้รับข่าวจากอัลลอฮ์ (ซบ.) โดยการดลใจหรือฝัน ซึ่งท่านได้ถ่ายทอดฮะดีษด้วยคำพูดของท่าน หรือถ่ายทอดคำพูดของฮะดีษด้วยวะฮฺยูของพระผู้เป็นเจ้า หรืออาจเป็นทั้งสองลักษณะ อย่างไรก็ตาม ฮะดีษกุดซีย์ไม่เป็นมุอฺญิซะฮ์ (ความมหัศจรรย์) แตกต่างไปจากอัล-กุรอานที่เป็นมุอฺญิซะฮ์ และท้าทายมนุษย์ตลอดทุกยุคสมัย ที่สำคัญไม่มีผู้ใดสามารถนำมาได้เฉกเช่นอัล-กุรอาน


อัล-กุรอานและฮะดีษกุดซีย์มีสิ่งเหมือนกันคือ ทั้งสองอย่างเป็นพระดำรัสของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่ถูกประทานให้แก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แต่ทั้งสองมีข้อแตกต่างอย่างสำคัญที่พอจะเห็นได้ดังนี้

 

๑. อัล-กุรอานเป็นริซาละฮ์ สะนัด และเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายจากฟากฟ้า เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสลาม เป็นคัมภีร์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ฮะดีษกุดซีย์ไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้

 

๒. อัล-กุรอาน คำพูดที่แท้จริงทุกถ้อยคำมาจากอัลลอฮ์ (ซบ.) ขณะที่ฮะดีษกุดซีย์ คำพูดถูกกล่าวโดยท่านศาสดา (ซ็อลฯ) หมายถึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าทั้งหมดเป็นพระดำรัสของอัลลอฮ์ (ซบ.) เพราะฮะดีษกุดซีย์จัดอยู่ในประเภท เคาะบัรวาฮิด

 

๓. ฮะดีษกุดซีย์ ไม่มีอะฮ์กามอัล-กุรอาน เช่น ขณะที่สัมผัสอักษรไม่จำเป็นต้องมีความสะอาด (วุฎูอฺ หรือ ฆุซลฺ) ไม่มีผลบุญในการอ่าน ไม่เป็นฮะรอม ไม่ว่าจะอ่านเวลาใดก็ได้ ซึ่งแตกต่างไปจากอัล-กุรอานอย่างสิ้นเชิง

 

๔. อัล-กุรอานถูกนำมาให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) โดยมะลาอิกะฮ์ ญิบรออีลเท่านั้น ในขณะที่ฮะดีษกุดซีย์อาจจะได้มาโดยการถูกดลใจหรือในฝัน

 

๕. อัล-กุรอาน เป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดเหมือน และไม่อาจลอกเลียนแบบได้ ขณะที่ฮะดีษกุดซีย์อาจถูกลอกเลียนแบบได้

 

๖. อัล-กุรอาน ไม่มีความผิดพลาดทุกคำพูดมีความถูกต้อง และปราศจากการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ฮะดีษกุดซีย์มีทั้ง เซาะฮีย์ ฮะซัน และเฎาะอีฟ

 

๗. อัล-กุรอาน ทุกโองการและทุกบทไม่มีการเคลือบแคลงสงสัยแต่ประอย่างใด ขณะที่ฮะดีษกุดซีย์มีความเคลือบแคลงสงสัย

 

๘. ฮะดีษกุดซีย์ ไม่สามารถนำมากล่าวในนมาซได้

 

เมื่อฮะดีษกุดซีย์ เป็นหนึ่งในการอิลฮามของอัลลอฮฺ (ซบ.) ทำไมไม่ปรากฏในอัล-กุรอาน เนื่องจากว่า ฮะดีษกุดซีย?อยู่ในกฎของฮะดีษ ไม่ใช่โองการ (อายะฮ์) จึงไม่ปรากฏในอัล-กุรอาน

 

๓. ความสงสัยเกี่ยวกับโองการอัล –กุรอานที่กล่าวว่า


แท้จริงพวกเจ้า (มุชริกีน) และสิ่งที่พวกเจ้าเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ ทั้งหมดเป็นเชื้อเพลิงของนรก โดยพวกเจ้าจะเข้าไปอยู่ในนั้น[๕]

 

มีชนกลุ่มหนึ่งเข้ามาหาท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และได้พูดกับท่านว่า เรามีความสงสัยเกี่ยกับอัล-กุรอาน ซึ่งพวกเราต้องการทำความเข้าใจกับท่าน

 

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า พวกท่านมีปัญหาอะไรหรือ


พวกเขากล่าวว่า ท่านเป็นศาสนทูตที่ถูกส่งลงมาหรือ

ท่านตอบว่า ใช่ ฉันเป็นศาสนทูตที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานลงมาเพื่อแผ่เมตตาธรรมแก่ประชาโลก


พวกเขากล่าวว่า ปัญหาของพวกเราที่มีต่ออัล-กุรอานคือ อัล-กุรอานโองการหนึ่งที่กล่าวว่า

 

اِنَّكُم وَ مَا تَعبُدُونَ مِن دُونِ الله حَصَبُ جَهَنّ

แท้จริงพวกเจ้า (มุชริกีน) และสิ่งที่พวกเจ้าเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮั ทั้งหมดเป็นเชื้อเพลิงของนรก โดยพวกเจ้าจะเข้าไปอยู่ในนั้น


 ฉะนั้น เมื่อพิจารณาโองการดังกล่าว ท่านศาสดาอีซา ก็ต้องเป็นชาวนรกด้วย เนื่องจากอีซา ได้เคารพบูชากลุ่มชนอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า


ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวอย่างสุขุมว่า อัล-กุรอานได้ถูกประทานลงมาเป็นภาษาอาหรับ ซึ่งกฏข้อหนึ่งของภาษาคือคำว่า มัน (หมายถึงใคร บุคคลใด)ใช้กับสิ่งที่มีสติปัญญาและไม่มีสติปัญญา (มนุษย์และไม่ใช่มนุษย์) ขณะที่โองการที่พวกท่านถามฉันได้ใช้คำว่า มา (หมายถึงสิ่ง หรือ สิ่งซึ่ง) ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะเป็นสิ่งที่ไม่มีสติปัญญา เช่น ต้นไม้ รูปปั้น ดิน หรือจอมปลวก ดังนั้น โองการข้างต้นจึงมีความหมายว่า สถานที่ของพวกท่านที่เคารพบูชาสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ทั้งหมดคือเชื้อเพลิงของไฟนรก
คำตอบของท่านศาสดาได้สร้างความเข้าใจให้แก่พวกเขาเป็นอย่างดี พวกเขาจึงลุกขึ้นและลาจากไป [๖]

 

แหล่งอ้างอิง


[๑] ลิซานุล อาเราะบียฺ อิบนุ มันซูร เล่มที่ ๑๑ หน้าที ๗๙ ดารุลอะฮฺยาอฺ อัตตุรอซ อัล อะเราะบียฺ ,มุฟเราะดอต อัลฟาซุลกุรอาน, รอฆิบอิซฟะฮานียฺ หน้าที่ ๖๖๙ ดารุลเกาะลัม


[๒] อักเระบุลมะวาริด อัลลามะชุรตูนียฺ เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๙๗๗, มันชูรอต มักตะบะตุน อายะตุลลอฮฺ อัล-อะซีม มัรอะชียฺ อันนะญัฟฟียฺ, รอฆิบอิซฟะฮานียฺ, มุอฺญิม มะกอยิซ อัลลุเฆาะฮฺ อิบนุ ฟาริซ เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๗๘, อัรดารุลอิสลามียฺ

 

[๓] อัล-บุรฮาน ฟีอุลูมิลกุรอาน ซัรกะชียฺ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๗๘ ดารุลมะอฺริฟะฮฺ, ตารีคุลกุรอาน รอมยาร หน้าที่ ๑๔ -๑๘ อะมีรกะบีร


[๔] อัล อิตติกอน ฟี อุลูมิลกุรอาน ซูยูฏียฺ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๖๔-๑๖๕ ดารุลอิบนุกะซีร


[๕] อัล-อัมบิยาอฺ / ๙๘


[๖] บิฮารุลอันวาร พิมพ์ใหม่ เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๒๘๒)


ขอขอบคุณ เว็บไซต์อัชชีอะฮ์