อิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) ผู้ใจบุญแห่งอะฮ์ลุลบัยติ์


อิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) ผู้ใจบุญแห่งอะฮ์ลุลบัยติ์

 

    วันที่ 15 เดือนรอมฎอน เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ (วิลาดัต) ของท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) ขอแสดงความยินดีต่อพี่น้องมุสลิมทุกคน และขอพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานความสำเร็จแก่ทุกท่านในการรับประโยชน์จากการเป็นแขกในสำรับอาหารแห่งจิตวิญญาณในเดือนรอมฎอนอันจำเริญนี้

 

     ท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) ถูกรู้จักด้วยสมญานามว่า "กะรีมุ อะฮ์ลิลบัยติ์" (ผู้ใจบุญแห่งอะฮ์ลิลบัยติ์ (อ.)) เพื่อที่จะอธิบายถึงเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เราจะทราบว่าอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) แต่ละท่านนั้นได้มีชื่อเสียงและถูกรู้จักด้วยสมญานามต่างๆ ที่เป็นเฉพาะ อย่างเช่น "อะมีรุ้ลมุอ์มินีน" (หัวหน้าของปวงศรัทธาชน) "ซัยยิดุชชุฮะดาอ์" (หัวหน้าของปวงชะฮีด) "ซัยยิดุซซาญิดีน" (หัวหน้าของบรรดาผู้สุญูด) "บากิรุ้ลอุลูม" (ผู้ผ่าขุมคลังแห่งวิชาการ) "ซอดิกุ อาลิมุฮัมมัด" (ผู้สัจจริงแห่งวงศ์วานของมุฮัมมัด) "บาบุ้ลหะวาอิจญ์" (ประตูแห่งความต้องการ) และอื่นๆ

 

      เกี่ยวกับกรณีที่ว่า ทำไมอิมาม (อ.) แต่ละท่านจึงถูกรู้จักด้วยหนึ่งในสมญานามเหล่านี้นั้น จำเป็นต้องกล่าวว่า สถานการณ์ต่างๆ ของยุคสมัยได้มอบสมญานามเช่นนี้ให้แก่ท่านเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ฉายา "ซัยยิดุชชุฮะดาอ์" ถูกมอบให้แก่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) หรือท่านอิมามซัจญาด (อ.) เนื่องจากไม่สามารถที่จะทำการเผยแพร่คำสอนของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ได้อย่างเปิดเผย จึงได้ใช้ประโยชน์จากสื่ออื่นๆ อย่างเช่น “ดุอาอ์” และสิ่งนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้การอิบาดะฮ์ของท่านเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่ประชาชนโดยทั่วไปและในหมู่ผู้ปฏิบัติตามอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) และท่านจึงได้รับการขนานนามว่า “ซัยยิดดุซซายิดีน” (หัวหน้าของบรรดาผู้สุญูดต่อพระเจ้า) และ “ซัยนุ้ลอาบีดีน” (เครื่องประดับของปวงผู้เคารพภักดีพระเจ้า)

 

      หรือท่านอิมามบากิร (อ.) เนื่องจากใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสมัยที่โอกาสในการทำการเคลื่อนไหวทางด้านวิชาการความรู้และการเผยแพร่คำสอนของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ได้อำนวยแก่ท่าน ท่านจึงใช้โอกาสดังกล่าว และมิติต่างๆ ทางด้านวิชาการของท่านอิมาม (อ.) ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่บุคคลทั้งหลาย และเป็นสาเหตุทำให้ท่านได้รับการขนานนามจากผู้คนทั้งหลายว่า “บากิรุ้ลอุลูม” (ผู้ผ่าขุมคลังแห่งวิชาการ)

 

      ในท่ามกลางทั้งหมดเหล่านี้ ท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) ก็เช่นเดียวกันด้วยเหตุผลที่ว่า สองครั้งที่ท่านได้บริจาคและเสียสละทรัพย์สินทั้งหมดของตนที่มีอยู่ให้กับคนยากจนขัดสน และสามครั้งที่ท่านได้แบ่งทรัพย์สินของตนออกเป็นสองส่วน และครึ่งหนึ่งของมันท่านได้บริจาคให้แก่คนยากจนขัดสน ท่านจึงได้รับการขนานนามจากประชาชนว่า “กะรีมุ อะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.)” (ผู้ใจบุญแห่งอะฮ์ลุลบัยติ์ของท่านศาสดา)

 

      ตัวท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) เองได้อธิบายความหมายของคำว่า “กะร็อม” (ความใจบุญ ความเอื้ออารี ความมีเกียรติ) ไว้ในฮะดีษ (วจนะ) ที่สวยงามและลึกซึ้งของท่าน โดยที่มีผู้ถามท่านเกี่ยวกับ “กะร็อม” (ความใจบุญ ความเอื้ออารี ความมีเกียรติ)  ท่านตอบว่า :

 

الِابْتِدَاءُ بِالْعَطِيَّةِ قَبْلَ الْمَسْأَلَةِ

 

“มันคือการเริ่มต้นการให้ (แก่ผู้ยากจนขัดสน) ก่อนการขอ (ของพวกเขา)” (1)

 

     พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเป็นผู้ใจบุญ ผู้ทรงเอื้ออารีเช่นเดียวกัน เนื่องจากพระองค์จะทรงขจัดความต้องการและมอบให้ก่อนที่ปวงบ่าวจะวอนขอต่อพระองค์ ในบทดุอาอ์ของเดือนรอญับ เราจะวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้ว่า :

 

يَا مَنْ يُعْطِي مَنْ سَأَلَهُ ، يَا مَنْ يُعْطِي مَنْ لَمْ يَسْأَلْهُ وَمَنْ لَمْ يَعْرِفْهُ تُحَنُّناً مِنْهُ وَ رَحْمَةً

 

“โอ้ผู้ทรงประทานให้แก่ผู้ที่วอนขอพระองค์ โอ้ผู้ทรงประทานให้แก่ผู้ที่ไม่ได้วอนขอพระองค์และแก่ผู้ที่ไม่รู้จักพระองค์ เป็นความกรุณาและความเมตตาจากพระองค์” (2)

 

     ใช่แล้ว! ท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) นั้นมีคุณลักษณะเช่นนี้ ท่านจะให้แก่บรรดาผู้ยากจนขัดสนก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะแสดงความต้องการและการวอนขอ คุณลักษณะอันสูงส่งและงดงามนี้ควรที่จะเป็นแบบอย่างสำหรับเรา เราจะต้องไม่ปล่อยให้คนที่มีความยากจนขัดสนและความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือได้ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง ทว่าเราจะต้องให้การช่วยเหลือเขาก่อนที่เขาจะแสดงความต้องการความช่วยเหลือจากเรา ท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) ได้สอนบทเรียนแก่เรา นี่คือ บทเรียนของความเป็นผู้ใจบุญ เอื้ออารีต่อผู้อื่น และบทเรียนของความเป็นผู้มีเกียรติ (กะรีม)

 

     ท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ.) ยังได้สอนแก่เราอีกว่า :

 

التَّبَرُّعُ‏ بِالْمَعْرُوفِ‏، وَ الْإِعْطَاءُ قَبْلَ السُّؤَالِ، مِنْ أَكْبَرِ السُّؤْدَد

 

“การบริจาคทรัพย์ด้วยความดีงาม และการให้ก่อนการขอนั้น คือความมีเกียรติ (และความเป็นนาย) ที่ใหญ่ที่สุด” (3)

 

แหล่งอ้างอิง :

 

(1) ตุหะฟุลอุกูล, หน้าที่ 227

(2) มะฟาตีฮุลญินาน, ดุอาอ์ของเดือนรอญับ

(3) นุซฮะตุนนาซิร, หน้าที่ 71

 

บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์ซอฮิบซะมาน