อัลกุรอาน พระคัมภีร์ที่เป็นปาฏิหาริย์ของพระเจ้า

อัลกุรอาน พระคัมภีร์ที่เป็นปาฏิหาริย์ของพระเจ้า

 

โองการต่างๆ ในพระคัมภีร์กุรอานกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งได้เกิดขึ้นในเวลาต่อมา


ดังตัวอย่างหนึ่งของเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไว้ล่วงหน้าในพระคัมภีร์กุรอาน ได้แก่ ชัยชนะของชาวโรมันที่มีต่อชาวเปอร์เชียภายในเวลาสามถึงเก้าปี หลังจากที่ชาวโรมันเคยพ่ายแพ้ต่อชาวเปอร์เชียมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:

 

 พวกโรมันถูกพิชิตแล้วในดินแดนอันใกล้นี้ แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้วพวกเขาจะได้รับชัยชนะ ในเวลาไม่กี่ปีต่อมา (สามถึงเก้าปี)...  (พระคัมภีร์กุรอาน 30:2-4)

 

ขอให้พวกเราดูว่าประวัติศาสตร์ได้บอกให้พวกเรารู้เกี่ยวกับสงครามเหล่านี้อย่างไร ในหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า History of the Byzantine State ได้กล่าวว่า กองทัพโรมันได้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับต่อแอนติออซ ในปี พ.ศ. 1156 และส่งผลให้ชาวเปอร์เชียขึ้นมามีความแข็งแกร่งเหนือกว่าชนเผ่าอื่นทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว[1] ในเวลานั้น ยากที่จะจินตนาการว่า ชาวโรมันจะเอาชนะชาวเปอร์เชียได้ แต่ในพระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้ล่วงหน้าว่า ชาวโรมันจะกลับมามีชัยชนะภายในสามถึงเก้าปี ในปี พ.ศ. 1165 เก้าปีหลังจากความพ่ายแพ้ของชาวโรมัน กองทัพทั้งสอง (โรมันและเปอร์เซีย) ได้มาประจันหน้ากันอีกครั้งหนึ่งบนอาณาจักรอาร์เมเนี่ยน และผลลัพธ์ก็คือ ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของชาวโรมันเหนือชาวเปอร์เซีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งแรกหลังจากความพ่ายแพ้ของชาวโรมันเมื่อปี พ.ศ. 1156 เป็นต้นมา.[2] คำพยากรณ์เป็นไปตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานทุกประการ.

 

อีกทั้งยังมีโคลงบทอื่นๆ อีกจำนวนมากในพระคัมภีร์กุรอาน และคำกล่าวของพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งต่อมาได้เกิดขึ้นจริงตามที่กล่าวไว้นั้น.

 

ปาฏิหาริย์ซึ่งทรงแสดงโดยพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)

 

ความหมายของคำว่า มุอฺญิซะฮฺ (ปาฏิหาริย์)


มุอฺญิซะฮฺ (ปาฏิหาริย์) หมายถึงภารกิจหรือการกระทำหนึ่งที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ประสงค์ที่จะให้ปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นมา โดยผ่านผู้ที่กล่าวอ้างว่าตนเป็นศาสดา เพื่อพิสูจน์ความสัจจริงอันเป็นสัญลักษณ์ของคำกล่าวอ้างที่ถูกต้อง

 

ดังนั้น ถ้าหากพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะเห็นว่าความหมายตามนิยามที่กล่าวมา ครอบคลุมอยู่บน 3 ประเด็นดังต่อไปนี้

 

1. มีปรากฏการที่อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งมิได้เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุธรรมดาทั่วไป หรือบนสาเหตุของวิชาการทั้งหลาย

 

2. บางปรากฏการที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้น เกิดขึ้นโดยน้ำมือของศาสดา ซึ่งเป็นพระประสงค์อันเฉพาะของพระเจ้าและโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น

 

3. ปรากฏการที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้น เป็นเครื่องหมายที่ยืนยันและรับรองคำกล่าวอ้างการเป็นศาสดาของศาสดา ซึ่งตามหลักภาษาเรียกปรากฏการที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้นว่า มุอฺญิซะฮฺ (ปาฏิหาริย์)

 

ลำดับต่อไปจะอธิบายถึงองค์ประกอบสำคัญของทั้งสามนั้นตามความหมายที่กล่าวมา

 

ภารกิจเหนือธรรมชาติ


ปรากฏการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้โดยปกติแล้วเกิดบนเงื่อนไขของเหตุและผล ซึ่งสามารถรู้จักสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยการตรวจสอบหรือการทดลองต่าง ๆ เช่น ส่วนใหญ่ของปรากฏการที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการด้านฟิสิกซ์ เคมี ชีววิทยา และจิตวิทยา ส่วนปรากฏการที่เกิดขึ้นเป็นส่วนน้อย ถือว่าเป็นเสี้ยวส่วนของปรากฏการเหล่านี้ซึ่งมีการเกิดในอีกลักษณะหนึ่ง ไม่สามารถรู้จักเหตุและผลของทั้งหมดได้ด้วยการทดสอบหรือทดลองผ่านปราสาทสัมผัส เพื่อที่จะยกเอาสิ่งนั้นเป็นหลักฐานของการเกิดปรากฏการ แน่นอน การค้นพบปรากฏการประเภทนี้ต้องอาศัยปัจจัยและตัวการอื่นอันมีผลต่อการเกิด เช่น ภารกิจที่เหนือความคาดหมายของพวกมุรตะฎอ (ผู้ฝึกฝนพลังจิตจนเข็มแข็งพิเศษสามารถใช้จิตบังคับหรือควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในแถบประเทศอินเดีย) ที่กระทำกัน ซึ่งนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญวิชาการในสาขาต่าง ๆ ลงความเห็นว่าภารกิจเหนือความคาดหมายเหล่านี้ มิได้เกิดตามกฎเกณฑ์ของวิชาการด้านวัตถุ หรือวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ซึ่งภารกิจเหล่านี้เรียกว่า ภารกิจเหนือธรรมชาติ

 

ภารกิจเหนือธรรมชาติของพระเจ้า


ภารกิจเหนือธรรมชาติสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ ประเภทแรกภารกิจต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่มีเหตุและผลทั่ว ๆ ไปกำกับก็ตาม ส่วนสาเหตุที่มิได้เป็นสาเหตุทั่วไปไม่มากก็น้อยถูกจัดวางไว้ในเจตนารมณ์เสรีของมนุษย์ ซึ่งสามารถค้นพบสิ่งเหล่านั้นได้จากการทดลองและการฝึกฝนเป็นพิเศษ เช่น การฝึกฝนของพวกมุรตะฎออินเดียว

พระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)ได้แสดงปาฏิหาริย์นานัปการโดยได้รับพระอนุญาตจากพระผู้เป็นเจ้า ปาฏิหาริย์เหล่านี้มีประจักษ์พยานรู้เห็นมากมาย ดังตัวอย่างเช่น :

 

1) เมื่อมีผู้ไม่มีความเชื่อจำนวนหนึ่งในนครเมกกะห์ ได้ขอให้พระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)ได้แสดงปาฏิหาริย์นานัปการโดยได้รับพระอนุญาตจากพระผู้เป็นเจ้า ปาฏิหาริย์เหล่านี้มีประจักษ์พยานรู้เห็นมากมาย ดังตัวอย่างเช่น : ทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้กับพวกเขาประจักษ์ พระองค์ทรงแสดงการแยกดวงจันทร์ให้พวกเขาดู.

 

2) ปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่งได้แก่ ทำให้น้ำไหลออกมาจากนิ้วพระหัตถ์ของพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ):เมื่อบรรดาพระสหายของพระองค์รู้สึกกระหายน้ำและไม่มีน้ำให้ดื่มเลย ยกเว้นมีอยู่เพียงเล็กน้อยในคนโท พวกเขาเข้าไปเฝ้าพระองค์และทูลกับพระองค์ว่า พวกเขาไม่มีน้ำที่จะใช้ชำระล้างหรือแม้กระทั่งไว้ดื่มเลย ยกเว้นน้ำที่อยู่ในคนโทนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) จึงทรงจุ่มพระหัตถ์ลงไปในคนโทดังกล่าว และต่อมาน้ำได้เริ่มไหลออกมาระหว่างนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงดื่มและใช้ชำระล้างอย่างที่ปรารถนา บรรดาพระสหายเหล่านั้นมีจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งพันห้าร้อยคน.

 

อีกทั้งยังมีปาฏิหาริย์อื่นๆ อีกจำนวนมากซึ่งท่านได้แสดงหรือเกิดกับท่าน ซึ่งในปาฏิหาริย์สำคัญของท่านคือ อัลกุรอาน พระมหาคัมภีร์ของชาวมุสลิม

 

ความมหัศจรรย์ของอัล-กุรอาน


อัล-กุรอาน เป็นคัมภีร์แหงฟากฟ้าเพียงฉบับเดียวที่ประกาศด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีผู้ใดบนโลกนี้สามารถประดิษฐ์คัมภีร์ที่มีความคล้ายเหมือนอัล-กุรอานได้เด็ดขาด แม้ว่ามนุษย์ทั้งโลกและบรรดาญินทั้งหมดจะรวมมือกัน ก็ไม่อาจประดิษฐ์คัมภีร์ที่มีคล้ายเหมือนอัล-กุรอานได้เด็ดขาด อีกทั้งอัล-กุรอานได้กล่าวท้าทายมวลมนุษย์ไว้ว่า จงกล่าวเถิด แน่นอนหากมนุษย์และญินรวมกันที่จะประดิษฐ์สิ่งคล้ายเหมือนอัล-กุรอานนี้ พวกเขาไม่อาจจะนำมาได้และแม้ว่าบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือแก่อีกบางคนก็ตาม (อัล-กุรอาน บทอัลอิสรอ โองการที่ 88)

 

มิใช่เพียงแค่มนุษย์ทั้งโลกจะไม่สามารถประดิษฐ์คัมภีร์ทีมีความคล้ายเหมือนอัล-กุรอานได้เท่านั้น ทว่าแม้เพียงบทเดียว หรือ 10 บท หรือแม้แต่โองการเดียวพวกเขาก็ไม่สามารถประดิษฐ์ได้ อัล-กุรอาน ยืนยันถึงความไร้ความสามารถของพวกเขาไว้ว่า พวกเขากล่าวว่า มุฮัมมัดได้ปลอมแปลงอัล-กุรอานขึ้นมาจงกล่าวเถิด ดังนั้น พวกเจ้าจงนำมาสักสิบบทเยี่ยงอัล-กรุอาน และเจ้าจงเรียกคนอื่นที่มีความสามารถในหมู่พวกเจ้า นอกจากอัลลอฮฺ ถ้าพวกเจ้าเป็นพวกสัตย์จริง (อัล-กุรอาน บทฮูด โองการที่ 13)

 

นอกจากนี้แล้วอัล-กุรอานในบทยูนุส โองการที่ 38 ก็กล่าวท้าทายไว้เช่นกัน หลังจากนั้นอัล-กุรอาน ยังได้เน้นย้ำอีกว่า เมื่ออัล-กุรอานกล่าวท้าทายบรรดาพวกที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์ทั้งหลายแล้ว อัล-กุรอาน ได้ปฏิเสธความสามารถของพวกเขาอีกว่า ไม่มีวันกระทำสิ่งเหล่านั้นได้เด็ดขาดซึ่งทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่า อัล-กุรอาน เป็นคัมภีร์แห่งฟากฟ้าและเป็นพระดำรัสของพระเจ้าจริง อีกทั้งยังได้ยืนยันการเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ดังนั้น จึงไม่มีความสงสัยคลางแคลงอีกต่อไปเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างของอัล-กุรอาน ถึงการเป็นปาฏิหาริย์ของตนเองและของผู้ที่ได้นำคัมภีร์ฉบับนี้มาสอน อัล-กุรอานเป็นความมหัศจรรย์นิรันดร และเป็นข้อพิสูจน์อันแน่นอนสำหรับการเป็นศาสดาของนบีมุฮัมมัด อีกทั้งยังได้นำเสนอต่อประชาโลกเสมอมา และจะเป็นเช่นนี้เสมอต่อไปในอนาคต จวบจนถึงปัจจุบันกาลเวลาได้ล่วงเลยไปแล้วถึง 14 ศตวรรษ คำท้าทายของพระเจ้าตั้งแต่ยุคนั้นที่ได้ถูกประกาศโดยผู้ถือสาส์นของพระองค์ ยังหมู่มวลมิตรและอริยศัตรูบนโลกนี้ เพื่อยืนยันถึงข้อพิสูจน์และเหตุผลสมบูรณ์สำหรับพวกเขาเหล่านั้น

 

อีกด้านหนึ่งประชาชาติทั้งหลายต่างทราบกันเป็นอย่างดีว่าท่านศาดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) นับตั้งแต่วันแรกที่ประกาศตนเป็นศาสดา และประกาศเชิญชวนประชาชนอย่างเป็นทางการ ท่านได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความร้ายกาจและอคติอย่างสูง โดยที่พวกเขาไม่ลดละความพยายามในการต่อสู้กับแนวทางของพระเจ้าแม้แต่นิดเดียว แต่หลังจากหมดหวังและการขู่บังคับของพวกเขาไร้ผลอีกทั้งหมดหนทางที่จะต่อสู้กับศาสดาอีกต่อไป พวกเขาจึงวางแผนฆาตกรรมศาสดา ทว่าด้วยกับการบริบาลของพระเจ้า พระองค์ทรงทำลายแผนการของพวกเขาให้ล่มสลายจนหมดสิ้น ด้วยการอพยพจากนครมักกะฮฺไปยังนครมะดีนะฮฺ ในเวลากลางคืนอ้นเป็นการทำลายแผนการของพวกเขาให้จบสิ้นอย่างแยบยล และหลังจากการอพยพท่านศาสดาใช้ชีวิตอันจำเริญในช่วงที่เหลืออยู่ ณ นครมดีนะฮฺ ในช่วงนั้นท่านได้ทำสงครามหลายต่อหลายครั้งกับบรรดาผู้ปฏิเสธที่ตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า และบรรดาหมู่พลพรรคของพวกเขาที่เป็นยิวในนครมะดีนะฮฺ และนับตั้งแต่ท่านศาสดาได้สิ้นชีพไปจวบจนถึงปัจจุบัน บรรดาผู้กลับกลอกภายในสังคมมุสลิมและบรรดาศัตรูจากภายนอกได้พยายามทุกวิถีทางที่จะดับรัศมีของพระเจ้าให้สิ้นไป เพียงแต่ว่าไม่มีหนทางหรือวิธีการใดที่พวกเขาได้คิดค้นขึ้นมาประสบความสำเร็จแม้แต่อย่างเดียว แน่นอน ถ้าพวกเขาสามารถประดิษฐ์คัมภีร์ที่มีความคล้ายเหมือนอัล-กุรอานขึ้นมาได้ พวกเขาคงจะกระทำไปเสียตั้งนานแล้ว แต่นี้เป็นเพราะว่าความไร้ความสามารถและพวกเขาจะไม่มีวันกระทำได้อย่างเด็ดขาด

 

ในยุคปัจจุบันได้มีรัฐบาลที่เป็นอภิมหาอำนาจของโลก ต่างลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า อิสลามเป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับพวกเขา พวกเขาจึงได้ตั้งมั่นและร่วมมือระหว่างรัฐบาลผู้กดขี่ด้วยกัน เพื่อต่อต้านและต่อสู้กับแนวทางของอิสลามอย่างจริงจัง พวกเขาได้ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดทั้งด้านการเงิน กองกำลัง การคุคามด้านเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อในทุกรูปแบบที่สามารถกระทำได้ ถ้าหากพวกเขากระทำได้แม้แต่การประดิษฐ์สิ่งที่มีความคล้ายเหมือนอัล-กุรอาน สักหนึ่งบรรทัด หรือสักหนึ่งบทสั้นขึ้นมาได้แล้วละก็ พวกเขาคงประดิษฐ์ไปเสียนานแล้ว และประกาศโฆษณาชวนเชื่อแก่ประชาโลกโดยผ่านขบวนการของสื่อที่มีอยู่ในมือ เนืองจากเป็นการลงทุนเพียงเล็กน้อยไม่เสียเวลา แต่มีผลอย่างมากกับการต่อสู้กับอิสลามและกีดขวางอิสลามไม่ให้เจริญเติบโตขยายวงกว้างออกไปในโลก

 

ด้วยเหตุนี้ ผู้มีสติปัญญาทุกคนที่ถวิลหาความจริงถ้าหากได้พิจารณาประเด็นดังกล่าวเพียงเล็กน้อย เขาก็จะเกิดความมั่นใจว่า อัล-กุรอาน เป็นคัมภีร์ที่ผิดแปลกไปจากคัมภีร์ฉบับอื่น ซึ่งไม่มีผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใดที่คล้ายเหมือนขึ้นมาได้ และไม่มีบุคคลหรือกลุ่มชนใดบนโลกที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อประดิษฐ์สิ่งที่คล้ายเหมือนอัล-กุรอาน ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน หมายถึง ความพิเศษต่าง ๆ ของอัล-กุรอานนั้น เป็นหนึ่งปาฏิหาริย์และเป็นความมหัศจรรย์ของพระเจ้าอันไม่อาจลอกเรียนแบบได้นั่นเอง อีกทั้งอัล-กุราอานยังเป็นข้อพิสูจน์ที่ยืนยันให้เห็นความถูกต้องในการเป็นศาสดาของท่านมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ด้วยเหตุนี้ อัล-กุรอานจึงเป็นข้อพิสูจน์แน่นอนที่ยืนยันความถูกต้องในการเชิญชวนของท่านศาสดา และการเป็นแก่นแท้ของศาสนาอิสลาม ความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อประชาโลกทั้งหมด ซึ่งคัมภีร์ฉบับดังกล่าวได้ถูกประทานลงมา ในฐานะที่เป็นปาฏิหาริย์หรือความมหัศจรรย์อมตะ ที่ยังคงเหลืออยู่ของพระเจ้า อีกทั้งเป็นเหตุผลที่ยืนยันความถูกต้องของตนเอง เป็นข้อพิสูจน์บ่งบอกถึงความเข้าใจอย่างชัดเจนเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องมีการเรียนรู้หรือฝึกฝนเป็นพิเศษแต่อย่างใด อัล-กุรอาน ยังเป็นความเข้าใจของทุกคนที่ถวิลหาความจริงสามารถเข้าใจและรับรู้ได้

 

เชิงอรรถ


[1] History of the Byzantine State โดย Ostrogorsky หน้า 95

[2] History of the Byzantine State โดย Ostrogorsky หน้า 100-101 และ History of Persia โดย Sykes เล่ม 1 หน้า 483-484 และดูที่ The New Encyclopaedia Britannica โดย Micropaedia เล่ม 4 หน้า 1036

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์