ข้อเท็จจริง (ฮะกีกัต) ในการซุญูดของมะลาอิกะฮ์ต่ออาดัมคืออะไร?

ข้อเท็จจริง (ฮะกีกัต) ในการซุญูดของมะลาอิกะฮ์ต่ออาดัมคืออะไร?


การซุญูด (ของมะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ต่ออาดัม) ไม่ใช่เป็นการอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) ต่ออาดัม เนื่องจากการอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) สิ่งอื่นนอกเหนือจากพระเจ้านั้นไม่เป็นที่อนุญาต แต่ทว่ามะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ได้ทำการซุญูดต่ออาดัมโดยคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและให้เกียรติ และในความเป็นจริงแล้วเป็นการซุญูด (ก้มกราบ) เพื่อพระผู้เป็นเจ้า

 

وَ إِذْ قُلْنا لِلْمَلائِكَةِ اسْجُدُوا لِآدَمَ فَسَجَدُوا إِلاَّ إِبْليسَ أَبى‏ وَ اسْتَكْبَرَ وَ كانَ مِنَ الْكافِرينَ

 

“และจงรำลึกเมื่อครั้งที่เราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ว่า พวกเจ้าจงซุญูดต่ออาดัมเถิด แล้วพวกเขาก็ซุญูด นอกจากอิบลีสที่ไม่ยอมซุญูดและแสดงความโอหัง และมันได้เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา”

 

(อัลกุรอาน บทอัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 34)

 

      สืบเนื่องจากบรรดาโองการก่อนหน้านี้ที่กล่าวถึงเนี๊ยะอ์มัต (ความโปรดปราน) ทั้งทางด้านวัตถุและจิตวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานให้แก่มนุษย์ และได้อธิบายถึงอำนาจการปกครอง (คิลาฟะฮ์) แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นเครื่องแสดงถึงเกียรติของเขา ในโองการนี้ได้กล่าวถึงเกียรติอีกประการหนึ่ง นั่นคือการที่มลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ได้ทำการซุญูดต่ออาดัมเนื่องจากการสร้างเขา

 

      ดังที่รับรู้ได้จากซูเราะฮ์อัลฮิจร์และซ๊อด ขณะที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงตรัสต่อมลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ว่า :

 

فَاِذا سَوَّیْتُهُ وَ نَفَخْتُ فیهِ مِنْ روحى فَقَعوا لَهُ ساجِدین

 

“ดังนั้น เมื่อข้าได้ทำให้เขามีรูปร่างสมส่วน และได้เป่าจากวิญญาณของข้าเข้าไปในตัวเขา ดังนั้นพวกเจ้าจงก้มลงซุญูดต่อเขาเถิด”

 

(อัลกุรอาน บทซ๊อด โองการที 72)

 

      แน่นอนการซุญูด (ของมะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ต่ออาดัม) ไม่ใช่เป็นการอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) ต่ออาดัม เนื่องจากการอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) สิ่งอื่นนอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่เป็นที่อนุญาต ทว่ามะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ได้ทำการซุญูดอาดัมโดยคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและให้เกียรติ และในความเป็นจริงแล้วเป็นการซุญูด (ก้มกราบ) เพื่อพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากการสร้างสิ่งดำรงอยู่ที่มีเกียรตินี้ ซึ่งมีนามว่า “มนุษย์”

 

      แต่อิบลีสซึ่งตามโองการที่ 50 ของอัลกุรอานบทอัลกะฮ์ฟิ เป็นหนึ่งจากเผ่าพันธุ์ญิน (และเนื่องจากการอิบาดะฮ์อย่างมากมาย ได้ถูกยกฐานะเข้าอยู่ในหมู่มลาอิกะฮ์ ) มันได้ปฏิเสธคำบัญชานี้ของพระผู้เป็นเจ้า และได้แสดงความโอหังและอวดดี และมันหลงคิดว่าในการสร้างนั้นมันประเสริฐกว่าอาดัม และอาดัมจำเป็นต้องซุญูดต่อมัน ไม่ใช่ว่ามันต้องซุญูดต่ออาดัม

 

      อิบลีสไม่เพียงแต่ฝ่าฝืนและกระทำบาปในทางปฏิบัติอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทว่าในทางความเชื่อมันยังได้ถือว่าคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่เป็นธรรมและไร้ซึ่งวิทยปัญญา และมันได้กลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาและไร้ศาสนา

 

บทเรียนที่ได้รับจากโองการนี้

 

* อิบาดะฮ์ที่แท้จริงนั้นคือการที่มนุษย์จะยอมสิโรราบต่อทุกคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ว่าคำสั่งใดที่ตรงกับใจตัวเองจึงจะปฏิบัติตาม อิบลีสยอมที่จะซุญูดต่อพระผู้เป็นเจ้าเป็นระยะเวลายาวนานหลายศตวรรษ แต่ไม่ยอมที่จะซุญูดต่ออาดัมเพียงชั่วขณะเดียว

 

* ห่างไกลจากความเป็นธรรม การที่มลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ยอมทำการซุญูดต่อมนุษย์ แต่มนุษย์กลับไม่ยอมที่จะทำการซุญูดต่อพระผู้เป็นเจ้า

 

* ความโอหังและอวดดีต่อสัจธรรม จะนำพามนุษย์ไปสู่การปฏิเสธศรัทธา (กุฟร์) และการไม่มีศาสนา

 

* การซุญูดและและความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อสิ่งอื่นจากพระผู้เป็นเจ้า หากกระทำไปโดยพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าแล้วนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ใช่เป็นการตั้งภาคี (ชิกร์) ต่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมันคือ “เตาฮีด” (การยอมรับในเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า)

 

* ความคู่ควรและความเหมาะสมนั้น สำคัญกว่าความมีอายุมากและการมาก่อน มลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) (แม้จะมาก่อนอาดัม) ก็จำเป็นต้องซุญูดต่ออาดัม

 

ที่มา : สรุปเนื้อหาจากบทเรียน “ตัฟซีร” ของเชคมุห์ซิน กิรออะตี

 

แปลและเรียบเรียงโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ