มุมมองจากนักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เรื่องอิมามมะฮ์ดีกำลังจะมา!

มุมมองจากนักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เรื่องอิมามมะฮ์ดีกำลังจะมา!

 

โรเบิร์ต สเปนเซอร์ (Robert Spencer) ได้โจมตีรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างรุนแรงในบทความของเขาซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ frontpagemag ด้วยเหตุที่ได้บรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่าน  เหตุผลของเขาสำหรับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เนื่องจากเขาเชื่อว่าอิหร่านกำลังเตรียมการในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นเพื่อโจมตีสหรัฐฯและอิสราเอล เพื่อว่าตามคำพูดของเขา อิหร่านจะสามารถรีบเร่งการมาของอิมามที่สิบสองได้!!  บทความนี้เนื่องจากมีเนื้อหาที่เป็นมุมมองของนักเขียนชั้นนำคนหนึ่งของตะวันตกที่เกี่ยวกับความเชื่อของชาวชีอะฮ์ในเรื่องอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) และยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) จึงได้รับการแปลและนำเสนอต่อบรรดาผู้ที่มีความสนใจ

 

     บทความนี้เขียนโดยโรเบิร์ต สเปนเซอร์ เขาเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลามที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้อำนวยการเว็บไซต์ต่อต้านอิสลาม "Jihad Watch" เขาได้ตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการแสดง

ความชื่นชมและสรรเสริญแนวความคิดอีวานเจลิคัล (evangelical) ปกป้องอิสราเอลและต่อต้านชาวมุสลิม ส่วนหนึ่งจากหนังสือที่สำคัญที่สุดที่มียอดขายดีที่สุดในแต่ละเดือนที่ขายโดยนิวยอร์กไทม์ส มีสองเล่ม คือ หนังสือ "The Politically Incorrect Guide to Islam and the Crusades" และ "The Truth About Muhammad" บทความข้างล่างนี้ เขาได้เขียนขึ้นในหนึ่งสัปดาห์หลังจากการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านกับตะวันตกและได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ frontpagemag.com ที่มีชื่อเสียง :

 

     “ในท่ามกลางบุคคลหลายคนที่ประณามการยอมจำนนที่สร้างความหายนะของรัฐบาลโอบามาต่อความทะเยอทะยานต่างๆ ทางด้านนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้น  ไม่มีใครกล่าวถึงผลต่างๆ  ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนเหมือนกับ “นาฟตาลี เบนเนต” (Naftali Bennett) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของอิสราเอล เขาได้กล่าวในเช้าวันจัอาทิตย์ว่า :

 

      "เช้านี้เราได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงใหม่ ความจริงที่ว่าข้อตกลงที่เลวได้รับการลงนามกับอิหร่านแล้ว ข้อตกลงซึ่งถ้าอีก 5 ปีหลังจากนี้ หากมีกระเป๋าเดินทางนิวเคลียร์ระเบิดขึ้นในนิวยอร์กหรือมาดริด (เมืองหลวงของสเปน) ก็จะเป็นเพราะข้อตกลงที่ได้ถูกลงนามในเช้าวันนี้"

 

     หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นเพราะความเชื่อของชาวชีอะฮ์ในการกลับมาของอิมามที่สิบสอง  เมื่อพิจารณาถึงประวัติความเป็นมาของศาสนาอิสลาม ความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มใหญ่ชาวมัซฮับซุนนีและชาวชีอะฮ์ (ผู้สนับสนุน) ของอาลี ได้เริ่มขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของ (ศาสดา) มุฮัมมัดในปี ค.ศ. 632 ชาวซุนนีอ้างว่าศาสดาของอิสลามมิได้มีเงื่อนไขใด ๆ สำหรับตัวแทนผู้สืบทอดของตน ในกิจการต่างๆ ทางการเมือง การทหารและความเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของประชาชนในสังคมอิสลาม กลุ่มพรรคของอะลีที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ก็อ้างในทางตรงกันข้ามว่า มุฮัมมัดได้แต่งตั้งอะลี บินอบีฏอลิบ ผู้เป็นบุตรเขยของตน ให้เป็นผู้สืบทอด และบรรดาผู้สืบทอดของมุฮัมมัดทุกคนจำเป็นจะต้องมาจากครอบครัวของท่านศาสดา

 

     ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่ผู้สืบทอดนี้จะทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนนั้นจำเป็นจะต้องมีคุณลักษณะบางประการทางด้านวะห์ยู (วิวรณ์) ของมุฮัมมัดด้วยเช่นเดียวกัน ดั่งเช่น ในการตัดสินใจปัญหาต่างๆ ที่เป็นกรณีขัดแย้งกันนั้นเขาจะต้องมี “อิศมะฮ์” (ความบริสุทธิ์จากข้อผิดพลาด)  ท้ายที่สุดอะลีก็ได้รับเลือกให้เป็นกาหลิบ (คอลีฟะฮ์) คนที่สี่ในปี ค.ศ. 656 แต่เขาได้ถูกสังหารเในปี ค.ศ. 661 ฮะซันลูกชายคนโตของเขา (และเป็นผู้สืบทอดของเขา ในทัศนะของชาวชีอะฮ์) ถูกสังหารในปี ค. ศ. 670 โดยคำสั่งของมุอาวิยะฮ์ กาหลิบ (คอลิฟะฮ์) ของชาวซุนนี   หลังจากที่ฮุเซน ลูกชายคนรองของอะลี ได้ถูกสังหารในยุทธการแห่งกัรบาลา ในปี ค.ศ. 680 การแบ่งฝ่ายซุนน / ชีอะฮ์ได้กลายเป็นสิ่งแน่นอนและถาวร เป็นผลทำให้ชาวชีอะฮ์ได้ลดลงและประสบกับความพ่ายแพ้ตั้งแต่ต้น และสิ่งนี้ได้กลายเป็นคุณลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนของประวัติศาสตร์และความเชื่อของชาวชีอะฮ์  หลังจากการถูกตัดศีรษะของฮุเซน ชาวชีอะฮ์ก็ยังคงยอมรับการเป็นผู้สืบทอดของบรรดาอิมาม – ในฐานะที่เป็นสมาชิกของครอบครัวของมุฮัมมัดและทายาทความเป็นศาสดา (นุบูวะฮ์) ของเขา – ทุกอิมามเหล่านี้ได้ถูกวางยาพิษตามคำสั่งของบรรดากาหลิบซุนนีในระยะเวลาเพียงสองศตวรรษ ตามฮะดีษและประวัติศาสตร์ของชาวชีอะฮ์อิมามียะฮ์ (ที่เชื่อในสิบสองอิมาม) ซึ่งเป็นนิกาย (มัซฮับ) ที่เป็นทางการของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้น  บุคคลที่ 12 จากบรรดาอิมามเป็นเด็กผู้ชายวัย 5 ขวบซึ่งหายตัวไป (ฆ็อยบะฮ์) ในสถานการณ์ลึกลับและถูกปฏิเสธในปี ค.ศ. 874 แต่ยังคงมีชีวิตอยู่  หลังจากการหายตัวไปของเขา เขาได้ติดต่อสัมพันธ์กับชาวชีอะฮ์โดยผ่านตัวแทน (นาอิบ) สี่คนซึ่งคนสุดท้ายของตัวแทนทั้งสี่ได้สียชีวิตในปี ค.ศ. 941 ในเวลานั้นเองอิมามที่สิบสอง ได้เงียบหายไปในช่วงเวลาของการเร้นกายครั้งยาวนาน (ฆ็อยบะฮ์ กุบรอ)

 

      ในการติดต่อสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายของตนกับโลกโดยผ่านตัวแทน (นาอิบ) คนหนึ่งของตนในปี ค.ศ. 941 บุคคลผู้ลึกลับผู้นี้ได้ปลอบโยนบรรดาผู้ปฏิบัติตามตนด้วยการพยากรณ์เกี่ยวกับการปรากฏตัว (ซุฮูร) ครั้งสุดท้ายของตน  การทำให้การปรากฏตัว (ซุฮูร) นี้มาถึงซึ่งจะเกิดขึ้นโดยมือของบรรดามุลลาห์ (นักวิชาการศาสนา) ที่บ้าคลั่งชาวอิหร่าน สามารถจะทำให้ภัยพิบัติระดับโลกที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อนเกิดขึ้นได้ และอิสราเอลและสหรัฐอเมริกาจะได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงที่สุดจากเรื่องนี้

 

      ดังเช่นที่ มุฮัมมัด อัลมะฮ์ดี อิมามที่สิบสองได้กล่าวในสาส์นสุดท้ายของเขาว่า เขาจะอยู่ห่างไกลจากการเข้าถึงของบรรดาผู้ที่มีความผูกพันต่อเขา แผ่นดินจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความอธรรม การกดขี่และความรุนแรง เขายังได้พูดถึงช่วงเวลาของการปรากฏตัว (ซุฮูณ) ของตนและได้อธิบายว่า ช่วงเวลาเดียวที่เขาจะกลับมายังโลกอีกครั้งหนึ่งนั่นก็คือปีศาจร้ายที่ทำให้ชาวมุสลิมต้องทุกข์ทรมานนั้นกำลังอยู่ในช่วงอำนาจสูงสุดของมัน  ในเรื่องนี้เขาได้ชี้ถึงริวายะฮ์ (คำรายงาน) บทหนึ่งของชาวชีอะฮ์จากคำพูดของศาสดาของอิสลาม (มุฮัมมัด) ที่พยากรณ์ไว้ว่า อิมามที่ 12 จะเป็นผู้ฟื้นฟูและได้อธิบายเช่นนี้ว่า เขาจะทำให้โลกเต็มเปี่ยมไปด้วยสันติภาพและความยุติธรรม เช่นเดียวกับที่มันได้ถูกทำให้เต็มไปด้วยการกดขี่และความรุนแรง

 

       ความรุนแรงและการกดขี่นี้ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญและเป็นเรื่องปลีกย่อยในความเชื่อที่มีต่ออิมามที่สิบสอง ทว่าการแก้แค้นได้แฝงอยู่ในหลักและสาระสำคัญของมัน ชาวชีอะฮ์หมกมุ่นอยู่ในการสอนประเด็นที่ว่าอิมามที่สิบสองจะกลับมาในเวลาที่มุสลิมถูกกดขี่และความทุกข์ทรมานขั้นสูงสุดสุด อิมามด้วยการเข้าร่วมของพระเยซูคริสต์ (ภาพลักษณ์ใหม่ของพระเยซู (อีซา) ในนามศาสดาผู้หนึ่งที่กลายมาเป็นมุสลิม - เช่นเดียวกับที่ชาวมุสลิมซุนนีก็เชื่อเช่นนั้น) ในที่สุดก็ทำให้การประหัตประหารและการถูกทำร้ายอย่างป่าเถื่อนของบรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริงสิ้นสุดลง และเขาจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยหนทางของการต่อสู้ด้วยอาวุธกับบรรดาศัตรูของตน พร้อมกับการพิชิตและการทำให้โลกทั้งหมดเป็นอิสลาม

 

     แผนอันเป็นจินตนาการเกี่ยวกับการแก้แค้นในยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) นี้ไม่ได้มีความสำคัญสำหรับผู้ใดมากนัก นอกจากสำหรับชาวชีอะฮ์ผู้เคร่งในศรัทธาและนักมานุษยวิทยาทางศาสนา เนื่องจากว่าตามฮะดีษ (วจนะ) ต่างๆ ของชาวชีอะฮ์นั้น ก่อนการมาของอิมามที่สิบสองจำเป็นที่แผ่นดินจะต้องเต็มไปด้วยการกดขี่และความรุนแรงโหดร้าย

 

     ในที่นี้ไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความรุนแรง แต่ทว่าชาวชีอะฮ์ที่มีความผูกพันทางศาสนาสูง อย่างเช่น อายะตุลลอฮ์คอเมเนอี และบรรดามุลลาห์ที่อยู่ร่วมกับเขา สามารถที่จะทำให้การมาของอิมามที่สิบสองเกิดขึ้นจริงและทำให้ภารกิจทั้งหมดเสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยการใช้ระเบิดปรมาณูกับเทลอาวีฟหรือเมืองอื่น ๆ ของผู้ปฏิเสธศรัทธา (กาฟิร) เนื่องจากว่าด้วยกับการกระทำเช่นนี้ทำการโจมตีตอบโต้และชาวมุสลิมในอิหร่านจะเผชิญกับความพ่ายแพ้และถูกปราบปรามอย่างแน่นอน ซึ่งถึงขณะนี้ชาวชีอะฮ์ยังไม่ได้ประสบกับสิ่งดังกล่าว สิ่งนี้เพียงพอที่จะเป็นตัวกระตุ้นอิมามที่สิบสองซึ่งกล่าวกันว่าหลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ่อน้ำแห่งหนึ่ง

 

      แม้ว่าความเชื่อทางศาสนาและนิกาย (มัซฮับ) นี้จะวางอยู่บนการคาดเดาและการคิดเอาเอง แต่บ่อนทำลายและการทำลายล้างซึ่งตามสมมติฐานที่นำไปสู่การปรากฏตัว (ของอิมามที่สิบสอง) เป็นเรื่องที่มากกว่าความเป็นจริง  สองอำนาจ (สหรัฐอเมริกาและอิสราเอล) นี้เป็นเวลานานมาแล้วที่มุลลาห์ (บรรดานักการศาสนา) เรียกมันว่า "ซาตานตัวใหญ่" และ "ซาตานตัวเล็ก"  เป็นเป้าหมายเฉพาะของความพยายามของอิหร่านสำหรับการมาของอิมามสิบสอง

 

      การประมาณการต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า การโจมตีนิวเคลียร์ของเตหะรานไปยังอิสราเอลจะฆ่าผู้คนกว่า 20 ล้านคนนอกเหนือจากการที่จะทำลายรัฐยิวลงอย่างราบคาบ

 

      บารัค โอบามา ผู้ซึ่งด้วยกับการยอมรับความทะเยอทะยานทางด้านนิวเคลียร์ของชาวอิหร่าน ได้ให้แรงผลักดันที่สำคัญต่อความเพ้อฝันที่เต็มไปด้วยความผูกพยาบาทที่เหล่านี้ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า บรรดามุลลาห์ (นักวิชาการศาสนา) ชาวอิหร่านมีความเชื่ออย่างจริงจังในคำพยากรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับอิมามที่สิบสอง ที่ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะเดิมพันใน้รื่องนี้กับทั้งโลก  โอบามาเพิ่งได้เปิดโอกาสให้แก่พวกเขาซึ่งเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากที่พวกเขามีก่อนหน้านี้เพียงสัปดาห์เดียว

 

ที่มา : westandmahdism

ที่อยู่เว็บไซต์ต้นฉบับภาษาอังกฤษ :
http://www.frontpagemag.com/2013/robert-spencer/now-the-twelfth-imam-can-come/

หมายเหตุ : บทความนี้ได้ตีพิมพ์ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2013

 

แปลและเรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ