8 รอบิอุ้ลเอาวัล วันครบรอบปีการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.)

 

    วันที่ 8 เดือนรอบิอุ้ลเอาวัล เป็นวันครบรอบปีการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) อิมาม (ผู้นำ) ท่านที่ 11 แห่งวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ท่านอิมามผู้ถูกอธรรมที่ในตลอดช่วงอายุขัยที่แสนสั้นของท่านต้องทนแบกรับความทุกข์ทรมานและการกดขี่ต่างๆ อย่างมากมาย และหลังจากการถูกวางยาพิษเป็นระยะเวลาแปดวันโดยเหล่าสมุนรับใช้ของมุอ์ตะมัด แห่งราชวงศ์อับบาซียะฮ์ (1) ท่านได้เป็นชะฮีด (เสียชีวิต) ลงในปี ฮ.ศ.260 ในวัย 28 ปี และร่างของท่านถูกฝังลงเคียงข้างบิดาของท่าน (2)

 

 

     ด้วยเหตุนี้ในทุกปี บรรดาผู้ที่รักในสายธารวงศ์วานศาสดามูฮัมมัด (ซ็อลฯ) จากทั่วโลกจะแสดงความอาลัยและความเสียใจต่อความทุกข์โศกอันใหญ่หลวงนี้ไปยังท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ผู้ถูกรอคอย ผู้เป็นบุตรชายของท่าน ในบทความนี้เราจะมาทบทวนถึงบางแง่มุมในของชีวิตของท่าน

 

การแนะนำอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.)

 

    นามชื่ออันจำเริญของอิมาม (ผู้นำ) ท่านที่ 11 คือ “ฮะซัน” และสร้อยนามของท่านที่เป็นที่รู้จักคือ “อบูมุฮัมมัด” และฉายานามที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ “อัสกะรี” เนื่องจากตัวท่านและอิมามฮาดี (อ.) บิดาของท่าน ถูกควบคุมตัวอยู่ในพื้นที่ของทหารเพื่อให้อยู่ในสายตาของพวกเขาอย่างเข้มงวด และเนื่องจากสถานที่นั้นมีชื่อว่า “อัสกัร” อิมามทั้งสองท่านนี้จึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “อัสกะรียัยน์” (3) มารดาของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) มีนามว่า “ฮะดีษะฮ์” , “ฮะดีษ” , “ซูซัน” (4) และ “ซะลีล” (5) ซึ่งเป็นสตรีที่มีความยำเกรง (ตักวา) และมีความบริสุทธิ์คนหนึ่งในยุคสมัยของท่าน จากความประเสริฐของสตรีท่านนี้เพียงพอแล้วที่จะบอกว่า หลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) บ้านของนางได้กลายเป็นสถานที่พักพิงของชาวชีอะฮ์ (6) ท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ถือกำเนิดในวันที่ 8 หรือ 10 ของเดือนรอบิอุษษานี ปี ฮ.ศ.232 ในนครมะดีนะฮ์ และขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำ (อิมามะฮ์) ในวัย 22 ปี ระยะเวลาในการเป็นอิมามของท่านรวมทั้งสิ้น 6 ปี (7)

 

การอิบาดะฮ์ของอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.)

 

    วันหนึ่งบุคคลจำนวนหนึ่งจากบนีอับบาส (ราชวงศ์อับบาซียะฮ์) ได้ไปพบผู้ปกครองหัวเมืองของเมืองซามัรรออ์ และได้ออกคำสั่งแก่เขาว่า ให้ควบคุมตัวอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ซึ่งอยู่ในคุกอย่างเข้มงวด เขาจึงได้มอบหมายบุคคลที่ชั่วร้ายที่สุดสองคนให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลคุกที่ท่านอิมาม (อ.) ถูกคุมขังอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับรู้ว่าบุคคลทั้งสองคนนั้นได้กลายเป็นผู้เคร่งครัดในการนมาซและการถือศีลอด และจากการประกอบอิบาดะฮ์นั้นบุคคลทั้งสองได้ไปถึงยังสถานะอันสูงส่ง ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเรียกตัวบุคคลทั้งสองเข้าพบและถามว่า “ทำไมเจ้าทั้งสองจึงกลายเป็นผู้ปฏิบัติตามอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.)?” บุคคลทั้งสองซึ่งจิตวิญญาณอันสูงส่งและเกียรติอันยิ่งใหญ่ของท่านอิมาม (อ.) ได้ทำให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลนั้นได้ตอบว่า “เนื่องจากท่านเป็นบุคคลที่ถือศีลอดตลอดเวลา และในค่ำคืนทั้งหลายนั้นท่านจะทำอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) ต่อพระผู้เป็นเจ้าจวบถึงยามเช้า” (8)

 

กิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ ทางการเมืองของอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.)

 

    แม้ว่าท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) จะตกอยู่ในการปิดล้อมของบรรดาศัตรู และทุกการเคลื่อนไหวของท่านจะอยู่ในสายตาของพวกเขาก็ตาม แต่การควบคุมอย่างเข้มงวดนี้ก็ไม่สามารถหยุดยังกิจกรรมการเคลื่อนไหวของท่านได้ ท่านอิมาม (อ.) ได้ใช้ความอุตสาห์พยายามอย่างมากมายในการเผชิญหน้ากับแนวความคิดที่ต่อต้านอิสลามและแผ่ขยายอิสลามที่แท้จริง ความพยายามต่างๆ ทางด้านวิชาการ การอธิบายแนวคิดอันบริสุทธิ์ของอิสลาม การสร้างเครือข่ายการติดต่อสัมพันธ์กับบรรดาชีอะฮ์ที่อยู่ในจุดที่ห่างไกลที่สุด และเตรียมความพร้อมแก่พวกเขาสำหรับยุคแห่งการเร้นกาย (ฆ็อยบะฮ์) ของอิมามที่ 12 (อิมามมะฮ์ดี) นับว่าเป็นส่วนหนึ่งจากกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่สำคัญของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) (9)

 

การเป็นชะฮีดที่แสนเจ็บปวด

 

   หลายวันหลังจากการป่วยของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ได้ผ่านไป พิษของยาพิษได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของท่านอิมาม (อ.) และร่องรอยของยาพิษได้ปรากฏให้เห็นบนร่างกายของท่าน ในที่สุดในวันศุกร์ที่ 8 ของเดือนรอบิอุลเอาวัล ปี ฮ.ศ.260 ท่านอิมาม ผู้นำท่านที่ 11 แห่งวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ผู้บริสุทธ์ที่ถูกอธรรม ภายหลังจากการนมาซยามเช้า (ซุบฮิ์)  ก็ได้กลับไปสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าและได้เป็นอิสระจากคุกที่จองจำของบรรดาผู้อธรรม เมื่อข่าวการเสียชีวิตของท่านอิมาม (อ.) ได้แพร่กระจายออกไป ในเมืองซามัรรออ์เหมือนดั่งวันกิยามะฮ์ (อวสานของโลก) ได้เกิดขึ้น เสียงร้องให้คร่ำครวญได้ดังระงมไปทั่วเมือง ตลาดทั้งหลายถูกปิด และประชาชนทั้งหมดต่างมารายล้อมอยู่หน้าประตูบ้านของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) (10)

 

อิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ในคำพูดของศัตรู

 

   “ญะอ์ฟัร กัซซาบ” น้องชายของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ผู้ซึ่งต้องการที่จะประกาศตนเป็นอิมามอย่างไร้ความชอบธรรม แต่ต้องพบกับความอับอายและความไร้เกียรติด้วยกับการปรากฏตัวของท่านอิมามซะมาน (อ.ญ.) และการทำนมาซมัยยิดให้กับท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ด้วยเหตุนี้เอง เขาได้ส่งเงินจำนวน 20,000 ดีนารไปให้คอลีฟะฮ์ (ผู้ปกครอง) และเขียนจดหมายถึงเขาว่า “โอ้ท่านอมีรุ้ลมุอ์มินีน! จงมอบตำแหน่งและสถานะของพี่ชายของข้าพเจ้าแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด” คอลีฟะฮ์แม้จะมีความชิงชังและเป็นศัตรูต่ออิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) อย่างมากก็ตาม แต่ก็ได้เปิดปากพูดในสิ่งที่เป็นสัจธรรมและตอบว่า “ตำแหน่งของฮะซัน อัสกะรี พี่ชายของเจ้าไม่ได้มาจากฉัน แต่มาจากพระผู้เป็นเจ้า เราได้พยายามอยู่เสมอมาที่จะดึงสถานะและตำแหน่งของเขาให้ต่ำลง แต่เนื่องจากความบริสุทธิ์ การมีพฤติกรรมที่งดงาม ความรู้และการอิบาดะฮ์ของเขา มันได้เพิ่มพูนต่อสถานภาพอันยิ่งใหญ่ของเขา หากเจ้ามีความดีงามแบบเดียวกันนี้ต่อบรรดาผู้ปฏิบัติตามพี่ชายของเจ้าแล้ว เจ้าก็คงไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากฉัน และหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้” (11)

 

เกียรติของบรรดาอิมามเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากพระเจ้า

 

    วันหนึ่งมุสตะซิร บิลลาฮ์ คอลีฟะฮ์ของราชวงศ์อับบาซียะฮ์ได้เดินทางยังเมืองซามัรรออ์ บรรดาผู้ใกล้ชิดเขาได้รายงานให้เขารับรู้ว่า หลุมฝังศพของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ได้กลายเป็นที่สนใจของผู้คน แต่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษของเขาได้กลายเป็นซากปรักหักพังและสิ่งสกปรกได้ปกคลุม ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวกับเขาว่า “ท่านเป็นถึงกษัตริย์ของชาวโลก ไม่ควรปล่อยให้หลุมฝังศพของบรรพบุรุษของท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ ซึ่งไม่มีใครมาเยี่ยมเยือน (ซิยารัต) หลุมฝังศพของพวกเขาเลย จงออกคำสั่งให้ผู้คนทำความสะอาดสิ่งสกปรกเหล่านี้เถิด และจงสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นเหมือนกับหลุมฝังศพของบรรดาอิมามของลูกหลานอะลีเถิด” คอลิฟะฮ์ได้กล่าวตอบพวกเขาว่า “เกียรติของอิมามของชาวชีอะฮ์เหล่านี้เป็นเกียรติจากฟากฟ้าและมาจากพระผู้เป็นเจ้า และการบังคับประชาชนให้กระทำการใดๆ นั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ (12)

 

ซามัรรออ์ยังคงถูกอธรรม

 

    แม้ระยะเวลาจะผ่านไปกว่า 11 ศตวรรษ หลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮาดี (อ.) และท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) แต่การถูกอธรรมของท่านอิมามทั้งสองก็ยังคงดำเนินอยู่ แม้บรรดาผู้ที่รักในวงค์วานแห่งท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) จากทั่วทุกมุมของโลกจะรีบรุดเดินทางไปซิยารัต “อะตะบาต อาลียาต” (สถานฝังศพของบรรดาอิมามทั้งหลายในอิรัก) แต่ก็ต้องหันหน้าไปยังเมืองซามัรรออ์ด้วยดวงตาที่เอ่อนองไปด้วยน้ำตา และด้วยดวงใจที่เจ็บปวด และจะกล่าวสลามต่อท่านอิมาม (อ.) ทั้งสองนี้จากทางไกล เนื่องจากบรรดาผู้ยึดครองได้สร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นในอิรัก พวกเขาได้ยึดเอารอบๆ เมืองซามัรรออ์เป็นฐานทัพและเป็นพื้นที่ทางการทหาร ภายใต้ความไม่สงบนี้เองที่บรรดาศัตรูของมนุษย์และอิสลามได้ทำลายสถานที่ฝังศพของอิมามทั้งสอง (อ.) ด้วยระเบิด และได้ละทิ้งความเจ็บปวดรวดร้าวที่หนักหน่วงไว้ในหัวใจที่ถูกเผาไหม้ของผู้ที่มีความรักผูกพันต่ออะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่มีความรักและความผูกพันต่อครอบครัวอันบริสุทธิ์ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ด้วยการช่วยเหลือกันของพวกเขา ก็ได้สร้างโดมและอาคารที่สวยงามและใหญ่กว่าเดิมขึ้นมาแทนที่ของเก่าให้แก่หลุมฝังศพของท่านอิมาม (อ.) ผู้ถูกอธรรมทั้งสองท่าน ที่สร้างความมืดบอดแก่ดวงตาและความโกรธแค้นในจิตใจที่มืดมนของบรรดาศัตรู

 

แหล่งอ้างอิง :

 

(1) อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่มที่ 2, หน้าที่ 336

(2) อัลกาฟี, เชคกุลัยนี, เล่มที่ 2, หน้าที่ 561

(3) อิละลุชชะรอเยี๊ยะอ์, เชคซอดูก, เล่มที่ 1, หน้าที่ 230

(4) มุนตะฮัลอามาล, เชคอับบาส กุมมี, เล่มที่ 2, หน้าที่ 725

(5) คอนดอเน่ วะห์ยุ, ซัยยิดอะลี อักบัร กุระชี, เล่มที่ 3, หน้าที่ 701

(6) ซีเระฮ์ พีชวอยอน, มะฮ์ดี พีชวออี, หน้าที่ 615

(7) คอนดอเน่ วะห์ยุ, ซัยยิดอะลี อักบัร กุระชี, เล่มที่ 3, หน้าที่ 702

(8) มุนตะฮัลอามาล, เชคอับบาส กุมมี, เล่มที่ 2, หน้าที่ 727 ; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่มที่ 2, หน้าที่ 334

(9) ซีเระฮ์ พีชวอยอน, มะฮ์ดี พีชวออี, หน้าที่ 626

(10) มุนตะฮัลอามาล, เชคอับบาส กุมมี, เล่มที่ 2, หน้าที่ 756 และ 760

(11) กะมาลุดดีน, เชคซอดูก, เล่มที่ 2, หน้าที่ 479 ; บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 52, หน้าที่ 49

(12) มุนตะฮัลอามาล, เชคอับบาส กุมมี, เล่มที่ 2, หน้าที่ 763

 

บทความ : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ