ศาสนากับโลก (ตอนที่ ๖) ลัทธิวัตถุนิยมและจริยธรรม

 

นอกจากนี้ สาขาอื่นที่สำคัญของสำนักคิดอิสลาม ก็ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการลดความสำคัญของโลกแห่งวัตถุลงไปด้วย นั่นคือ สาขา จริยธรรม และการขัดเกลาศีลธรรม

 

นอกจากเป็นที่ยอมรับของสำนักคิดอื่นแล้ว สาขานี้ยังมีความคิดว่าเพื่อจะทำให้สังคมของมนุษย์เป็นสังคมที่มีอารยธรรมจะต้องมีแนวทางบางอย่างที่ทาให้ความละโมภอยู่ในสายกลาง และชักชวนผู้คนให้รับเอาความปรารถนาด้านจริยธรรมและจิตวิญญาณ ไฟแห่งตัณหาและความละโมภโลภมากยิ่งลุกโชนแรงขึ้นเท่าไร นอกจากจะไม่เพิ่มสิ่งใดให้แก่ความเข้มแข็งของสังคมแล้ว สังคมยิ่งจะถูกทำลายและทำให้เสียหายไปได้ง่ายๆ ด้วย

 

ในเรื่องความสุขนั้นถึงแม้ว่าคนเราไม่ควรจะมีความสุขจนสุดกู่และความสุขและความรุ่งเรืองนั้นอยู่ที่การละเว้นจากสิ่งใดๆ เกือบทุกสิ่งเหมือนอย่างที่นักปรัชญาบางคนคิดก็ตาม แต่ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ความไม่สนใจต่อโลกและความสำราญของมันนั้นเป็นเงื่อนไขอันแรกของความสุขที่แท้จริงทั้งในส่วนบุคคลและสังคม

 

ในที่นี้ เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่นๆ ซึ่งจะต้องมีการอธิบาย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องการป้องกันมิให้มนุษย์มีความปรารถนาและติดตรึงอยู่แค่โลกฝ่ายวัตถุเท่านั้นเป็นไปได้ที่ใครจะคิดคลางแคลงใจว่าเราควรจะรักโลกทั้งสองโลก


และอาจจะคิดสงสัยด้วยว่า อุดมคติของมนุษย์ที่มีความสมดุลย์เป็นอย่างดีนั้นจะต้องเป็นทั้งโลกวัตถุและพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นลัทธิเชื่อในพระเจ้าหลายองค์


ย่อมไม่เป็นไปอย่างแน่นอน! นี่มิได้เป็นจุดหมายของอิสลาม จุดหมายของอิสลาม ก็คือ มนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์ต่อสิ่งดึงดูด สิ่งดึงดูดซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้สร้างขึ้นมาในมนุษย์ตามความรอบรู้ของพระองค์ บรรดาศาสดาและอิมามได้รับการอำนวยพรจากสิ่งดึงดูดเดียวกันและพวกเขาได้ขอบพระคุณผู้เป็นเจ้าในสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจเป็นไปได้ที่จะยุติความรู้สึกเหล่านี้และไม่ใช่ของดีด้วยที่จะยุติมัน ถ้าหากว่าความรู้สึกนั้นมีอยู่


มนุษย์นั้นมีความสามารถอื่นๆ ที่ไปไกลเกินกว่าความรักใคร่แบบโลกิยะ มีความสามารถที่จะมีอุดมคติ อุดมคติของมนุษย์ จะต้องไม่เป็นโลกวัตถุ ความรักและความชอบชนิดที่ไม่ดี ความปรารถนาและความรักเป็นรูปแบบหนึ่งของสติปัญญาที่อยู่ในระดับปัจจัยที่จำเป็นของชีวิต


อย่างไรก็ตาม ความฉลาดในการมีอุดมคติ เป็นความฉลาดพิเศษซึ่งมีแหล่งของมันอยู่ในแก่นแท้ของมนุษย์และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมนุษย์ บรรดาศาสดาไม่ได้มีมาเพื่อทำลายความปรารถนาและความรักหรือเพื่อให้ต้นตอของมันเหือดแห้งไปแต่อย่างใด สิ่งที่ท่านได้กระทำ คือ การขจัดโลกวัตถุออกไปจากตำแหน่งสุดยอดของอุดมคติของมนุษย์โดยยกเอาพระผู้เป็นเจ้าและโลกหน้าเข้ามาแทนที่มัน ในความจริงแล้ว บรรดาศาสดา ได้ทำงานเพื่อปกป้องโลกและความรู้สึกทางโลกิยะที่มีอยู่ มิให้ปล่อยให้ตำแหน่งตามธรรมชาติของมันเป็นเรื่องน่าสนใจน่าดึงดูดใจและน่าปรารถนา

 

ซึ่งเป็นข้อผูกพันระหว่างมนุษย์และสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาไปเสีย – ด้วยการส่งตำแหน่งนั้นผ่านไปยังที่ตั้งอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเรียกกันว่า หัวใจมนุษย์ ท่านศาสดามาเพื่อปกป้องโลกและชีวิตทางวัตถุธรรมมิให้เข้าไปครอบครองสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และกั้นขวางการเดินทางไปสู่อนันตภาพอันสมบูรณ์ยิ่งของมนุษย์ได้


ดังนั้น เราจึงได้เห็นข้อความในพระมหาคัมภีร์กุรอานที่ว่า


“อัลลอฮ์ไม่ทรงบันดาลสองหัวใจไว้ในร่างของชายคนเดียว”
(๓๓:๔)


เราจะต้องไม่ทึกทักเอาว่า โองการนี้แสดงถึงว่า ถ้าหากเราไม่ถูกดึงดูดไปสู่พระผู้เป็นเจ้า อย่างเช่น สามีหรือภรรยาของเรา ลูกหลาน ทรัพย์สมบัติและอื่นๆ หามิได้ ปัญหามีอยู่ว่ามนุษย์จะต้องมีจุดหมายหนึ่งที่สูงสุดและเป็นจุดรวมสำหรับความปรารถนาของเขาอยู่จุดหนึ่ง การมีความรักในหลายๆ สิ่งในแก่นแท้นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้แน่นอนและแน่ชัดอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่สองสิ่งที่ได้สามารถไปด้วยกันได้ ก็คือ การมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นศูนย์กลางแห่งความหวังและความรารถนาและยังมีโลกอยู่ในฐานะนั้นอีกด้วย


เขียนโดย ชะฮีดมุเฏาะฮะรี
แปล จรัญ มะลูลีม