ชีวประวัติท่านหญิงซัยนับ อัลกุบรอ ตอนที่ 7

ในกัรบะลา

 

หลังจากรอนแรมมากลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง กองคาราวานก็ได้มาถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือ ‘กัรบะลา’ ดินแดนซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ ณ ที่นี่เอง การเดินทางของอิมามฮูเซน และมิตรสหายของท่านในโลกนี้จบสิ้นลง แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นสำหรับการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงอย่างนิรันดร์

 

วันนั้นตรงกับวันที่ 2 เดือนมุฮัรรอม ฮ.ศ. 61 (1 ตุลาคม ค.ศ.680)

 

ท่านหญิงซัยนับมีความเศร้าสลดใจอย่างที่สุด อิมามออกคำสั่งให้ตั้งกระโจมค่ายพัก ท่านได้อ่านบางโองการจากคัมภีร์อัล กุรอาน ซึ่ง

เป็นเหตุให้ท่านหญิงทราบในทันทีว่า นี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การพลีชีพกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ท่านหญิงจึงร่ำไห้อย่างมากและกล่าวกับพี่ชายของท่านว่า

 

 “โอ้ ผู้เป็นแสงสว่างแห่งดวงตาของฉัน! น้องไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่จนได้พบกับวันนี้เลย ท่านคือผู้ช่วยเหลือ และเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลือยู่ในจำนวนผู้บริสุทธิ์ทั้งห้า

 

 โอ้ พี่ชายที่รัก! ท่านกำลังจะบอกให้เราทราบถึงข่าวการพลีชีพของท่านใช่ไหม?”

 

ด้วยคำถามนี้ อิมามตอบว่า “โอ้ น้องสาวที่รักของพี่! จงอดทนต่อความเจ็บปวด นี่เป็นการทดสอบจากพระผู้เป็นเจ้า จงจำไว้เสมอว่า ทุกชีวิตต้องลิ้มรสแห่งความตาย และต้องคืนกลับไปยังพระผู้สร้าง เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการงานของพวกเขา โอ้ น้องรัก! ท่านศาสนทูตของพระเจ้าและบิดาของเราอยู่ที่ไหนกันเล่า? มันช่างดูไกลแสนไกลสำหรับพี่ การดำเนินรอยตามแบบฉบับของท่านนั้นเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่มีความเกรงกลัวในพระเจ้าทุกคน” เมื่อท่านหญิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของท่านก็เอ่อนองไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าสลด

ท่านอิมาม ได้บอกถึงข่าวการพลีชีพที่ยิ่งใหญ่ และย้ำว่า หลังจากที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านหญิงจะต้องพยายามควบคุมตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ในค่ำวันที่ 9 เดือนมุฮัรรอม (8 ตุลาคม ค.ศ.680) ศัตรูเริ่มบุกเข้าโจมตียังค่ายพักของอิมามฮูเซน

 

ในขณะนั้นท่านกำลังอยู่ในที่พักของท่าน ท่านหญิงได้มาบอกว่า การโจมตีได้เริ่มขึ้นแล้ว ขณะนั้นอิมามกำลังอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านเล่าให้ท่านหญิงฟังว่า ท่านได้เห็นท่านตา คือ ท่านศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า บิดาของท่านอิมามอะลี ผู้นำแห่งผ้ศรัทธา มารดาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ และอิมามฮาซัน พี่ชายของท่าน ซึ่งท่านเหล่านั้นได้เชิญชวนให้อิมามไปอยู่กับพวกท่าน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านหญิงซัยนับรู้สึกเศร้าสลดและสั่นสะท้าน อิมามจึงขอร้องให้ท่านหญิงพยายามควบคุมตนเอง ให้มีความอดทน

 

มิเช่นนั้นจะทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างเสียกำลังใจ และทำให้ศัตรูเกิดความยินดีปรีดา

 

ด้วยการยินยอมของอิมามฮูเซน ท่านอับบาสผู้เป็นน้องชายได้ขอร้องพวกศัตรูให้เริ่มโจมตีในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อว่าอิมามจะได้มีเวลานมาซและขอพรในค่ำคืนสุดท้ายนี้อย่างเต็มที่

 

ในวัน ‘อาชูรอ’ ภารกิจที่ท่านหญิงได้รับและต้องปฏิบัตินั้น ไม่มีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนใดจะสามารถปฏิบัติได้เลย

 

ภาระทั้งหมดตกอยู่ในความรับผิดชอบของท่าน ที่จะต้องดูแลครอบครัวของบรรดาผู้สละชีพในวันนั้น ทีละคนๆ

 

อิมามฮูเซนมีความเชื่อมั่นในตัวน้องสาวของท่าน ว่าจะสามารถดูแลรับผิดชอบทุกๆ คน

 

หลังจากท่านจากไปแล้ว และจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในสถานการณ์เช่นนั้น โดยจะไม่ยอมให้ความเศร้าโศกเสียใจมาทำให้หน้าที่ของท่านต้องบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

อิมามฮูเซน เป็นท่านสุดท้ายที่พลีชีพในวันนั้น ท่านได้ตรงไปยังร่างของบรรดาผู้ช่วยเหลือของท่านที่สละชีวิตไปแล้วทีละคน ทุกๆ ร่างจะถูกนำกลับมายังค่ายพัก ซึ่งจะมีท่านหญิงคอยปลอบโยนสมาชิกในครอบครัวของบรรดาผู้สละชีวิตเหล่านั้น

 

ท่านหญิงพยายมปลอบขวัญให้พวกเขาเกิดความกล้าหาญ และย้ำว่าการเสียสละชีวิตเป็นความจำเป็นในการพิทักษ์รักษาอิสลามตามแนวทางของท่านศาสดามุฮัมมัดไว้

ท่านหญิงยอมพลีชีวิตบุตรชายทั้งสองของท่าน คืออูนและมุฮัมมัด เพื่อช่วยเหลือพี่ชายด้วย

 

หัวใจที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ โดยท่านพยายามกระตุ้นให้อิมามอนุญาตให้บุตรทั้งสองของท่านทำตามความปรารถนา

ท่านรู้สึกสะเทือนใจราวกับหัวใจได้แตกสลายลงไป บรรดาผู้สละชีพแต่ละท่าน ไม่ว่าจะเป็นลูกชายทั้งสองของท่านหรือ

ลูกชายของอิมามฮูเซน อิมามฮาซันหรือแม้แต่ท่านอับบาส ก็ได้สละชีพไปจนหมด

 เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ทำให้ท่านเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจจนไม่อาจบรรยายได้

การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ของท่านได้เริ่มต้นขึ้น เมื่ออิมามฮูเซน ได้พลีชีพครั้งยิ่งใหญ่ที่โลกทั้งโลกได้ประจักษ์

 

ที่มา จากหนังสือ ซัยนับ วีรสตรีแห่งอิสลาม
เขียนโดย ยูซุฟ เอ็น ลาลล์ญี