ชีวประวัติท่านหญิงซัยนับ อัลกุบรอ ตอนที่ 10


ค่ำคืนวิปโยคแห่งกัรบะลาอ์


ฝุ่นทรายหนาทึบที่ยังคงปกคลุมอยู่เหนือท้องทะเลทรายแห่งกัรบะลาอ์ ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เหตุการณ์ในวันนั้น การสังหารหมู่ของวิญญาณอันบริสุทธิ์ ได้โปรยปรายความโศกเศร้าไปทุกหย่อมหญ้าของท้องทะเลทรายนั้น

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยเงียบสงบอย่างน่าสะพึงกลัว ปีแล้วปีเล่า! ได้ถูกทำลายลงด้วยเสียงประโคมของกลองที่เฉลิมฉลองชัยชนะ ในความสำเร็จ เพราะกองทัพที่มีเสบียงพร้อมมูล ทหารที่ถูกจัดเตรียมมาอย่างดี เพื่อต่อสู้กับนักรบชั้นเยี่ยมผู้กล้าหาญซึ่งมีจำนวนเพียงหยิบมือ ซ้ำยังไม่ได้มีอาหารและน้ำตกถึงท้องมาสามวันแล้ว


แต่ละท่านได้ต่อสู้ไปบนทุกตารางนิ้วของพื้นทราย ด้วยการแสดงออกถึงความองอาจเยี่ยงวีรบุรุษ ซึ่งจะยังคงจารึกไว้โดยไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนได้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
เมื่อเสียงกลองสงบลง พายุทรายได้พัดพาเอาเสียงร้องครวญครางจากกระโจมที่ล้มคว่ำลงมากองกับพื้น บ้างก็ถูกปล้นสะดม ถูกเผา เก็บริมของมีค่าไปจนหมดสิ้น กระโจมที่ว่านี้คือ ค่ายพักของอิมามฮูเซน เสียงร้องครวญครางที่มาจากกระโจมนั้น เป็นเสียงของบรรดาสตรีและเด็กๆ ในครอบครัวของท่านศาสดา ผู้ซึ่งได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส สุดจะบรรยาย ถูกลดเกียรติด้วยน้ำมือของบ่าวรับใช้ที่มีแต่ความโลภของยะซีด


ไม่นานนักหลังจากการถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดของอิมามฮูเซน ทหารของยะซีดพากันบุกเข้าไปในค่ายพัก ที่ซึ่งบรรดาสตรีและเด็กไม่สามารถปกป้องตนเองได้ของอิมามฮูเซนและผู้ใกล้ชิดของท่านพำนักอยู่ ทหารที่มีแต่ความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อน ได้แย่งชิงแม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ไม่มีอะไรมีค่ามากมายอย่างที่ พวกมันคิด ลูกชายของอะลีและฟาฏิมะฮ์ ไม่นิยมใช้ของฟุ่มเฟือย ดังนั้นสิ่งที่มันได้พบในกระโจมจึงทำให้พวกมันผิดหวังอย่างมาก เสื้อที่ทำจากฝ้ายเนื้อหยาบๆ ที่พวกมันฉกฉวยไปนั้น ไม่มีราคาค่างวดอะไรสำหรับพวกมัน แต่มันมีค่ามากมายต่อจิตใจของบรรดาสตรีและเด็กๆ ที่ถูกแย่งชิงไป เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่นั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ จะถักทอด้วยมือของท่านเอง เปลไม้เล็กๆ ที่พวกมันฉกชิงไปนั้นมีค่าต่อจิตใจของมารดาของอะลี อัสกัร อย่างยิ่ง เพราะมันจะเป็นเครื่องเตือนใจให้รำลึกถึงทารกน้อยที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร ในอ้อมแขนของบิดา โดยที่ต้นคอของเขาถูกปักด้วยลูกธนูจาก ฮัรมะละฮ์


สตรีหม้ายและลูกกำพร้า ผู้ซึ่งสูญเสียบุคคลอันที่เป็นที่รักไปไม่นาน ต้องถูกมนุษย์ใจบาปทุบตีและโบยด้วยแส้อย่างป่าเถื่อน ยังไม่สาแก่ใจพวกใจบาป! มันจุดไฟเผากระโจม โอ้ มันช่างเลวร้ายอะไรเช่นนี้?!


หนูน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมาจากกระโจมหนึ่งที่กำลังถูกไฟเผา โดยมีไฟลุกติดมากับเสื้อของเธอ


ทหารฝ่ายศัตรูคนหนึ่งได้มองเห็นสภาพที่น่าเวทนานั้น จึงตรงเข้าไปช่วยดับไฟให้ หนูน้อยมองดูด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะเธอไม่คาดหวังว่าจะยังคงเหลือสำนึกของความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อยนิด ปรากฏอยู่ในหัวใจของพวกสัตว์ป่าที่เข้ามาก่อกรรมทำเข็ญกับพวกเธอ เมื่อเห็นเช่นนั้น


หนูน้อยคิดว่าเขาอาจจะมีจิตใจที่ต่างไปจากคนอื่นๆ จึงร่ำไห้ และพูดขึ้นว่า


“โอ้ ท่านผู้อาวุโส! ในเมื่อท่านมีเมตตากับฉัน ก็จงช่วยฉันอีกครั้ง


โปรดบอกทางไปเมืองนะญัฟให้กับฉันหน่อยเถิด” ทหารคนนั้นรู้สึกประหลาดใจกับคำขอร้องนั้น จึงตอบไปว่า “นะญัฟ อยู่ไกลจากที่นี่เป็นระยะทางหลายไมล์ ช่วยบอกฉันซิว่า!
 ทำไมหนูถึงอยากรู้ทางไปเมืองนะญัฟ” เด็กน้อยตอบอย่างไร้เดียงสาว่า “ฉันต้องการจะไปยังหลุมศพของคุณปู่ของฉัน


ท่านอิมามอะลี ซึ่งฝังอยู่ที่นะญัฟ เพื่อไปบอกท่านว่า พวกผู้ชายของท่านได้ทำอะไรกับพวกเรา พวกผู้ชายของเราได้ถูกสังหาร พวกผู้หญิงได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย ฉันต้องการจะไปบอกกับท่านว่า


พวกมันได้กระชากตุ้มหูหลุดไปจากใบหูของ ‘สะกีนะฮ์’ ญาติของฉัน ซึ่งเลือดยังคงไหลไม่หยุด และเธอเจ็บปวดทรมานมากมายเพียงใด”


ท่านหญิงซัยนับ ซึ่งขณะนั้นได้กลายเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างในค่ายพัก ตามคำสั่งเสียของพี่ชายสุดที่รักของท่าน ท่านไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป


 ท่านคิดอยากจะถามบรรดาผู้หญิงและเด็กๆว่า


“ถ้าจะถูกเผาไหม้ในกองไฟ จะดีกว่าที่จะต้องมาทนอยู่ในสภาพอันอัปยศอดสูเช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้หรือไม่?” แต่ในภาวะคับขันหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ท่านควรจะปฏิบัติตามคำแนะนำของพวกเขากระนั้นหรือ?


ท่านหญิงคิดทบทวนในใจ ขณะนั้น อิมามซัยนุลอาบิดีน นอนหมดสติอยู่บนพื้นกระโจมที่ถูกไฟเผา แม้แต่เสื่อที่ใช้ปูนอนก็
ถูกพวกใจสัตว์ฉกชิงไป ท่านหญิงซัยนับคิดได้เช่นนั้น ไม่มีทางเลือก ท่านนึกถึงอิมามซัยนุลอาบิดีน ว่า เป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะต้องขอคำปรึกษาและปฏิบัติตามการตัดสินใจของท่าน ในเรื่องสำคัญในภาวะวิกฤติเช่นนี้ ท่านรุดไปยังอิมามและปลุกท่านให้ตื่น พร้อมกับกล่าวว่า


“โอ้ หลานรัก! ในฐานะที่เจ้าเป็นอิมามของพวกเรา ฉันขอร้องให้เจ้าช่วยบอกเราทีซิว่า พวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไปในภาวะคับขันเช่นนี้?


เราจะคงอยู่ในกระโจมแล้วปล่อยให้ไฟเผาร่างของเราจนไหม้เกรียม หรือจะออกไปในที่ๆ ปลอดภัยนอกระโจม” อิมามลืมตาที่แดงก่ำด้วยพิษไข้ พยายามลุกขึ้นนั่งและตอบว่า

“ท่านอา ที่รัก! มันเป็นหน้าที่ของเราตามหลักการศาสนาว่า จะต้องพยายามจนสุดความสามารถที่จะรักษาชีวิตของเราไว้
พวกเราทุกคนจะต้องออกจากกระโจมมาอยู่ในที่ๆ ปลอดภัย แม้ว่าเราจะไม่เต็มใจก็ตาม”

ได้ยินเช่นนั้นท่านหญิงซัยนับและอุมมุลกุลซูม จึงจัดการให้ผู้หญิงและเด็กๆ ทุกคนออกจากกระโจมที่ไฟกำลังไหม้ทันที รวมทั้งอิมามซัยนุลอาบิดีนด้วย


ไม่นานนักไฟก็ได้เผาผลาญกระโจมทุกหลังจนหมดสิ้น มีเพียงกระโจมเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ ถึงกระนั้นบางส่วนก็เสียหายเพราะถูกไฟเผา พวกผู้หญิงและเด็กๆ ช่วยกันซ่อมแซมส่วนที่เสียหายเท่าที่จะทำได้ ตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้น แล้วจึงพากันมารวมอยู่ในกระโจมหลังเดียวที่เหลืออยู่นั้น ซึ่งพอจะใช้เป็นที่กำบังหลบภัยได้


เมื่อความมืดเข้าปกคลุม ดวงจันทร์เริ่มปรากฏขึ้นเหนือขอบฟ้า แสงของมันแดงฉานราวกับแสงของกองเพลิง บางทีอาจจะเป็นผงมาจากฝุ่นทรายจำนวนมากที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ หรือบางที เงาของดวงจันทร์เสี้ยวต้องเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เพราะความกริ้วโกรธในการกระทำอันโหดร้ายที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับสมาชิกผู้ไร้เดียงสาในครอบครัวของท่านศาสดา มันเป็นการยากที่จะบอกได้ เด็กๆ ที่หิวกระหายซึ่งยังคงไม่มีน้ำดื่ม ต่างพากันวิ่งออกไปนอกกระโจม เงยหน้าพร้อมกับอ้าปาก โดยพยายามที่จะดื่มน้ำค้างที่หวังว่าจะตกลงมาเป็นหยดน้ำเล็กๆ บ้าง แต่ความพยายามนั้นก็ไร้ผล เพราะเม็ดทรายได้แผ่กระจายความร้อนออกมา จนทำให้แม้แต่หยดน้ำค้างก็ต้องระเหยไปในบรรยากาศจนหมดสิ้น


ด้วยพื้นฐานจิตใจและสัญชาติญาณอันต่ำช้าของอุมัร บุตรของสะอัด และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ยังไม่หนำใจต่อการก่อกรรมทำเข็ญกับบรรดาผู้หญิงและเด็กๆ ของอิมามฮูเซน พวกเขาปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะได้แก้แค้นให้สะใจมากกว่านี้อีก บางคนในพวกมันแนะนำว่า หลังจากที่พวกมันจัดการฝังศพทหารของพวกมันเสร็จแล้ว ก็ให้ทหารควบม้าเหยียบย้ำไปบนร่างของบรรดาผู้สละชีวิตในค่ายพักของอิมามฮูเซน ด้วยคำแนะนำดังกล่าว ทหารกลุ่มหนึ่งจากเผ่าบนี สะอัด ลุกขึ้นประท้วงว่า


 พวกมันจะไม่ยอมอนุญาตให้ปฏิบัติต่อบรรดาผู้สละชีพ ซึ่งติดตามอิมามฮูเซนที่เป็นคนในเผ่าของพวกเขา ซึ่งพวกเขาต้องเสียเกียรติด้วยการกระทำที่อัปยศเช่นนี้


ผู้คนจากเผ่าและตระกูลต่างๆ พากันประท้วงไม่ยอมให้ปฏิบัติเช่นนั้นกับคนในตระกูลของพวกตนเช่นกัน บุตรของสะอัดเห็นการขัดแย้งที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจว่า เฉพาะร่างของอิมามฮูเซน เท่านั้น ที่จะให้ทหารควบม้าเหยียบย่ำไปบนร่างที่ไร้ศีรษะนั้น


 ความต้องการถูกนำไปปฏิบัติให้สัมฤทธิ์ผลทันที ไม่มีใครเลยในหมู่พวกมันที่จะยับยั้งว่า แม้อิมามจะมิได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ท่านก็เป็นหลานของท่านศาสดา สายเลือดของศาสดาสมควรจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยในยามตาย! ไม่มีใครในพวกเขาอีกนั้นแหละ! ที่พอจะมีคุณธรรมที่จะกล่าวว่า


 “ศาสดาแห่งอิสลามได้กำชับพวกเราเสมอว่า ห้ามกระทำการดูถูกเหยียดหยามแม้แต่ร่างของข้าศึกศัตรู ที่ถูกฆ่าตายในสนามรบที่สู้รบกับท่านศาสดา”


ท่านหญิงซัยนับและอุมมุลกุลซูม เมื่อทราบข่าวว่า ร่างของอิมามจะถูกกระทำอย่างไร้เกียรติเช่นนั้น ทำให้ท่านทั้งสองเศร้าสลดใจอย่างไม่อาจจะพรรณนา แต่ท่านก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยในภาวะเช่นนี้


ค่ำคืนได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าเวลาจะหยุดอยู่กับที่ แม้จะเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียและสลดหดหู่ใจ ท่านหญิงตระหนักดีว่า ท่านจะต้องดำเนินการตามภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของท่าน


เพราะเหตุว่าขณะนั้น อิมามซัยนุลอาบิดีนต้องทนอยู่กับพิษไข้ที่รุนแรงขึ้น ท่านหญิงเรียกหาท่านหญิงอุมมุลกุลซูมและบอกกับเธอว่า ก่อนอื่น จะต้องช่วยกัน ดูแลบรรดาเด็กกำพร้า ตามความประสงค์สุดท้ายของอิมามฮูเซน ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้


ทั้งสองเห็นพร้องต้องกันว่า ก่อนอื่นจะต้องนับจำนวนเด็กว่าไม่มีคนใดสูญหายไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ระหว่างการชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการลอบวางเพลิง
ดังนั้น ทั้งสองท่านจึงออกมาตรวจตรานอกค่ายพัก


ท่านหญิงได้เรียกเด็กๆ ให้มารวมกัน และเริ่มนับจำนวนและตรวจสอบหลักฐานแต่ละคน ท่านได้พบว่าในจำนวนนั้นมีเด็กหายไปหนึ่งคน ด้วยความตกใจ! ท่านพบสะกีนะฮ์บุตรสาวสุดที่รักของอิมามฮูเซน ผู้ซึ่งท่านได้วิงวอนให้ช่วยดูแลอย่างดีเป็นพิเศษก่อนที่ท่านจะจากไป ซึ่งไม่ได้อยู่ในที่นั้น


ในค่ำคืนที่มืดมิด ซึ่งมีแต่เพียงแสงริบหรี่ของจันทร์เสี้ยว


ท่านหญิงซัยนับและอุมมุลกุลซูมเริ่มต้นค้นหาแต่ก็ไร้ผล ท่านเดินหาไปทั่วก็ไม่พบร่องรอยของสะกีนะฮ์เลย ในทุกๆ วินาทีที่ทำการค้นหา ท่านมีความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ จนหมดหนทางที่จะหาพบ ท่านจึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า


“โอ้สะกีนะฮ์ หลานรัก! จงบอกซิว่าเธออยู่ที่ไหน อาจะไปหาเธอได้ที่ไหนในทะเลอันเวิ้งว้างนี้”


 แต่มีเพียงเสียงสะท้อนกลับของท่านเท่านั้นที่เป็นคำตอบที่ท่านกำลังรอฟัง เมื่อไม่มีคำตอบ ท่านจึงหันไปยังสถานที่ที่ร่างของอิมามฮูเซน นอนแน่นิ่งอยู่ ท่านหญิงวิ่งตรงไปยังร่างนั้นแล้วร่ำไห้ว่า


 “ฮูเซนที่รัก! น้องค้นหาสะกีนะฮ์บุตรสาวอันเป็นที่รักของท่าน ที่ทิ้งไว้ให้อยู่ในความดูแลของฉันไม่พบ ช่วยบอกฉันที่เถิดว่า จะหาเธอในทะเลทรายอันเวิ้งว้างนี้พบได้อย่างไร?”


 ทันทีที่ท่านหญิงเข้ามาใกล้ร่างของอิมาม ดวงจันทร์ที่กำลังซ่อนอยู่หลังกลุ่มเมฆอันหนาทึบ ได้เคลื่อนตัวออกมาส่องแสงสว่างแก่บริเวณนั้น ด้วยแสงสลัวๆ ท่านหญิงได้มองเห็นสะกีนะฮ์โอบกอดอยู่ที่ร่างอันไร้วิญญาณของอิมามและกำลังหลับสนิท โดยศีรษะของเธอแนบอยู่กับอกของอิมาม


ในขณะนั้น ท่านหญิงซัยนับคิดว่า หนูน้อยคงจะสิ้นชีวิตเสียแล้ว เนื่องจากไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เธอได้รับหลังจากการเสียชีวิตของบิดา


ท่านหญิงซัยนับค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หนูน้อย กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “สะกีนะฮ์ หลานของอา!


อามาที่นี่หลังจากที่ได้ค้นหาหนูจนทั่ว” หนูน้อยลืมตาขึ้น แม้ว่าในทะเลทรายที่มืดสลัวเช่นนี้ ท่านหญิงก็สามารถมองเห็นดวงตาของสะกีนะฮ์ที่บวมช้ำ ราวกับว่าเธอได้ผ่านการร่ำไห้มาอย่างมากมาย กำลังโอบกอดร่างของบิดาอยู่ ท่านจึงค่อยๆ อุ้มร่างของหลานรักขึ้นไว้ในอ้อมแขนและกล่าวว่า “สะกีนะฮ์ บอกอาซิว่า


 อะไรพาหนูมาที่นี่ หนูหาร่างที่ไร้ศีรษะของคุณพ่อในความมืดพบได้อย่างไร?” หนูน้อยตอบอย่างไร้เดียงสาว่า


“โอ้ คุณอา! หนูทนต่อความต้องการที่จะบอกกับคุณพ่อไม่ได้ ว่าคนพวกนี้ได้ทำอะไรกับหนูบ้าง? หนูต้องการจะบอกว่า สะกีนะฮ์ได้ถูกแย่งชิงตุ้มหูซึ่งท่านมอบให้เป็นของขวัญด้วยความรักไปอย่างไร? หนูอยากจะบอกอีกว่า พวกมันนอกจากจะไม่ปรานีแล้ว


 มันยังกระชากออกไปจนใบหูของหนูต้องฉีกขาด พอหนูร้องด้วยความเจ็บปวด หนูก็ถูกมนุษย์ใจบาปตบเอาอย่างไม่ปรานี” หนูน้อยร่ำไห้


“ตอนที่หนูวิ่งออกจากกระโจมอย่างไร้จุดหมายกลางทะเลทราย ร้องเรียกว่า ‘คุณพ่อขา! บอกหนูทีท่านนอนอยู่ตรงไหน? สะกีนะฮ์ต้องการไปหาท่าน เพื่อจะบอกถึงความเจ็บปวดทั้งหมดที่ได้รับหลังจากท่านจากไป’ หนูรู้สึกว่าเสียงสายลมร้องคร่ำครวญมาทางนี้ ราวกับเสียงของคุณพ่อร้องตอบหนูว่า ‘สะกีนะฮ์ของพ่อ มานี่ มานี่’ หนูจึงมาตรงนี้ แล้วก็ได้พบว่าคุณพ่อนอนอยู่ตรงนี้ ท่านอาคะ! หนูได้เล่าให้คุณพ่อฟังทั้งหมดที่หนูต้องทนทุกข์ ทุกอย่างที่ท่านอาและทุกๆ คนต้องเจ็บปวดตั้งแต่ท่านจากไป หนูได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ท่านฟังแล้ว ทำให้หนูรู้สึกสบายใจขึ้นและรู้สึกอย่างจะหลับอยู่ในอ้อมอกของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เหมือนกับที่หนูเคยทำเช่นนี้เสมอๆ เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หนูจึงซุกหน้าแนบกับอกท่านและหลับไป จนกระทั่งท่านมาปลุกหนูให้ตื่นขึ้น”


เมื่ออุ้มสะกีนะฮ์ไว้ในอ้อมกอดแล้ว ท่านหญิงซัยนับก็กลับไปยังค่ายพัก ทั้งๆ ที่ท่านยังอยากจะนั่งอยู่ตรงนั้น เพื่อได้อยู่ใกล้ร่างของอิมามฮูเซน เพื่อหลั่งรินหัวใจของท่านออกมาต่อหน้าท่านอิมาม


เหมือนเช่นสะกีนะฮ์ แต่ท่านก็ไม่สามารถทำตามความต้องการได้ เพราะท่านตระหนักดีว่า อุมมุลซูม และมารดาของสะกีนะฮ์ กำลังรอท่านและสะกีนะฮ์อยู่ด้วยความกังวลและความหวัง ท่านจึงรีบกลับไปโดยเร็วเท่าที่เท้าอันอ่อนแรงของท่านจะอุ้มสะกีนะฮ์ไปได้


เมื่อมาถึงค่ายพัก ท่านได้มอบร่างอันอ่อนแรงของหลานสาวให้กับมารดาของเธอ และขอร้องให้พาเธอไปนอนพัก ส่วนตัวท่านยังมีภาระอื่นๆ ที่จะต้องกระทำและจะต้องคอยระมัดระวังตรวจตา


ภายนอกคัยมา มันไม่ใช่เป็นการปกป้องทรัพย์สินของมีค่า แต่มันเป็นการป้องกันไม่ให้มีใครมารบกวนบรรดาเด็กๆ ซึ่งหิวกระหาย ที่กำลังหลับอยู่ด้วยความอ่อนหล้า


ท่านออกมานอกกระโจมเพราะสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินตรงมายังกระโจมของท่าน เงาของพวกเขาปรากฏขึ้นเนื่องจากคบเพลิงที่ถืออยู่ในมือ ท่านหญิงรู้สึกโกรธต่อผู้บุกรุกที่ไม่มีความเห็นใจ


แม้แต่จะปล่อยให้เด็กๆ ได้พักผ่อนหลับนอนแม้เพียงชั่วครู่ ท่านเดินตรงไปยังกลุ่มคนกลุ่มนั้นอย่างรีบเร่ง


เมื่ออยู่ในระยะที่พอจะได้ยินการสนทนา ท่านได้ขอร้องให้พวกเขากลับไปเสีย “ถ้าท่านมาเพื่อประสงค์จะมาปล้นสะดมของมีค่าจากเรา ฉันขอบอกว่า ผู้คนของท่านไม่ได้เหลืออะไรที่มีค่าไว้ให้กับเราเลยแม้แต่น้อย เด็กๆ ของเรากำลังหลับ การเข้ามารื้อค้นจะทำให้พวกเขาตื่น หรือถ้าพวกท่านยังต้องการอะไรอยู่อีก ก็จงกลับมาใหม่พรุ่งนี้ พวกเราผู้หญิงและเด็กๆ ไม่สามารถเล็ดรอดหนีออกไปจากวงล้อมของพวกท่านในยามวิกาลได้”


ท่านหญิงได้รับคำตอบจากสตรีที่มากับกลุ่มคนนั้น ทำให้ท่านประหลาดใจกับวาจาอันสุภาพเรียบร้อยที่แสดงความเคารพนบน้อม ซึ่งเธอได้ตอบว่า “ท่านหญิงของฉัน! เราไม่ได้มาเพื่อต้องการอะไรจากท่าน และเราก็รู้ว่าที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริง ว่าไม่มีอะไรเหลือไว้สำหรับท่านอีก เราได้นำอาหารและน้ำมาให้กับเด็กๆ และบรรดาสตรีหม้ายของท่าน” ไม่มีอะไรจะทำให้ท่านหญิงประหลาดใจได้มากเท่ากับได้ยินคำตอบนั้น ทหารจากกองทัพของยะซีดและสตรีที่มาด้วยได้มาถึงกระโจมแล้ว ท่านมองเห็นจากแสงของคบเพลิงที่พวกเขาถือมา ว่าสิ่งที่สตรีผู้นั้นพูดเป็นความจริง ทหารบางคนแบกถาดใบใหญ่ซึ่งบรรจุขนมปังไว้บนศีรษะ บางคนก็ถือคนโทที่มีนํ้าเต็มมาในมือ ความรู้สึกที่ได้เห็นภาพน้ำในคนโท กลับสะเทือนใจท่านอย่างยิ่ง ด้วยน้ำนี้เองที่ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ บุตรชายทั้งสองของท่าน หลานชายและพี่ชายของท่าน ต้องหิวกระหายจนตายไปโดยไม่มีน้ำแม้แต่หยุดเดียวที่จะได้รับจากพวกเขา


ท่านหญิงพยายามควบคุมตนเองและนำสตรีนั้นเข้ามาในกระโจม ท่านพยายามทบทวนความจำแต่ไม่สามารถทราบได้ว่า สตรีที่สนทนาด้วยความสุภาพอ่อนน้อมนี้เป็นใครกัน ท่านจึงถามขึ้นว่า “เธอเป็นใคร!


และอะไรทำให้ผู้คนของเธอยอมนำอาหารและน้ำมาให้?”


นางกล่าวตอบว่า “ท่านหญิงของฉัน! ฉันคือภรรยาหม้ายของฮูร ผู้ซึ่งเมื่อคืนก่อนได้มายังพี่ชายของท่านในฐานะทหารของยะซีด แต่เมื่อเช้านี้เขาได้เป็นผู้สละชีพเพื่อปกป้องพี่ชายของท่าน สามีของฉันเป็นผู้บังคับการกองทหารของยะซีด” ทันทีที่ทราบว่าแขกของท่านคือภรรยาหม้ายของนักรบผู้กล้าหาญที่หันกลับจากความเลวร้ายและน่ารังเกียจ มาร่วมปกป้องพี่ชายของท่าน และได้สละชีพในการรบอย่างสมเกียรติ ท่านจึงปลอบโยนเธอว่า “โอ้ น้องสาว!


พวกเราเป็นหนี้บุญคุณสามีของเธอ ที่เสียสละชีวิตอันมีค่าเพื่อปกป้องฮูเซน เธอเป็นแขกของเรา แต่อนิจจา! เธอมาพบเราในเวลาที่เราไม่มีอะไรเหลือที่จะมอบเป็นการตอบแทนให้กับเธอ ขอพระผู้เป็นเจ้า


ทรงโปรดประทานความอดทนต่อการสูญเสียของเธอในคราวนี้” ได้ยินเช่นนี้ ภรรยาหม้ายของฮูร กล่าวตอบว่า


 “ท่านหญิง! ฉันไม่ทราบว่าจะกล่าวปลอบโยนต่อท่านอย่างไร ในฐานะที่ท่านก็ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวของท่าน ไม่แค่เพียงหนึ่งแต่เป็นจำนวนถึง 18 ท่าน” จากนั้นเธอได้นำถาดอาหารและน้ำมาวางลงตรงหน้าท่านหญิง


ท่านหญิงซัยนับ จำคำสั่งของพี่ชายก่อนจากไปได้ดีว่า


 “เมื่อยามใดที่เธอได้น้ำมาหลังจากที่พี่จากไปแล้ว โปรดมอบมันให้กับสะกีนะฮ์เป็นคนแรก”


 ดังนั้น พร้อมกับภาชนะที่ใส่น้ำจนเต็ม ท่านหญิงตรงไปยังสะกีนะฮ์ที่กำลังหลับอยู่ พร้อมกับปลุกและกล่าวว่า “สะกีนะฮ์หลานรัก! ในที่สุดก็มีน้ำดื่มสำหรับเธอ ตื่นขึ้น แล้วจงดื่มน้ำเพื่อดับกระหายให้กับริมฝีปากและลำคอที่แห้งผากนั้นเถิด” สะกีนะฮ์ตื่นขึ้นและมองไปยังอาของเธอ ด้วยความคิดที่ไร้เดียงสา


 เธอได้ถามว่า “คุณอาขา! ท่านก็กระหายน้ำมาตลอดทั้งวัน ทำไมท่านไม่ดื่มมันก่อนที่จะปลุกหนูให้ดื่ม” ราวกับมีก้อนอะไรติดอยู่ในลำคอ ท่านได้ตอบไปว่า “เด็กน้อยของฉัน! มันเป็นธรรมดาที่จะต้องมอบอาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้ที่เด็กที่สุดเป็นคนแรก และในที่นี้


หนูก็เป็นเด็กเล็กที่สุด ดังนั้นอาจึงมอบให้หนูดื่มก่อน” ได้ยินเช่นนั้น สะกีนะฮ์จึงรับถ้วยที่ใส่น้ำจากมือของท่านหญิงซัยนับ แล้ววิ่งออกไปนอกกระโจม ท่านหญิงวิ่งตามและร้องเรียก “สะกีนะฮ์ บอกอาซิว่า เธอต้องการจะไปไหน?” หนูน้อยตอบว่า “หนูจะนำน้ำไปให้อะลี อัสกัร น้องชายของหนูซึ่งกำลังนอนอยู่ในหมู่บรรดาผู้ที่ล่วงลับนั้น ท่านบอกกับหนูไม่ใช่หรือว่า เราจะต้องมอบสิ่งใดก็ตามให้กับผู้ที่เด็กที่สุดก่อน อะลีอัสกัร เล็กที่สุดในหมู่พวกเรา หนูทราบว่าเขาไม่ได้ดื่มน้ำ แม้แต่หยดเดียวตอนที่คุณพ่อนำร่างที่โชกไปด้วยเลือดกลับมาจากสนามรบ คุณแม่ได้ถามพ่อว่า ‘ทหารฝ่ายตรงข้ามรู้สึกสงสารและให้น้ำแก่เขาหรือเปล่า?’ คุณพ่อไม่สามารถตอบคำถามของคุณแม่ได้ ท่านได้แต่ก้มศีรษะลงพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสอง คุณแม่และหนูเข้าใจว่า อะลี อัสกัรจากโลกนี้ไปพร้อมกับความหิวกระหาย

 

 หนูไม่อาจลืมภาพของน้องที่ใช้ลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของเขาตั้งแต่เช้า โอ้ คุณอาขา! ตอนนี้เราได้น้ำมาแล้ว ให้หนูได้มอบน้ำแก่เขาก่อนเถิด”


คำพูดของสะกีนะฮ์ ทำให้ทุกคนย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ตอนเช้าของวันนี้ ที่อะลี อัสกัรร้องขอน้ำ ต่างพากันร่ำไห้อย่างขมขื่น


เมื่อรำลึกถึงภาพความทรงจำในอดีต ว่าหนูน้อยจากไปด้วยริมฝีปากที่แห้งผาก หลังจากควบคุมอารมณ์อย่างที่สุด ท่านหญิงโอบกอดสะกีนะฮ์ไว้ในอ้อมแขนและปลอบว่า


“สะกีนะฮ์ คุณปู่ของหนูได้มอบน้ำจากสวนสวรรค์ให้กับอะลี อัสกัรได้ดื่มแล้ว เขาจะไม่รู้สึกกระหายน้ำอีกต่อไป ปล่อยให้น้องได้หลับอย่างชั่วนิรันดร์ โดยจะไม่มีสิ่งใดสามารถปลุกให้เขาตื่นขึ้นอีกตลอดไป จงรู้เถิดว่า คุณพ่อ อาอับบาส และพี่ชายของหนู อะลี อักบัร ยังไม่ได้ลิ้มรสของน้ำจากบ่อน้ำพุอันเย็นฉ่ำในสวนสวรรค์เลย เพราะพวกท่านไม่สามารถจะดื่มมันได้ ตราบใดที่หนูหลานรักของอายังคงกระหายน้ำอยู่


จงดื่มเถิดหลานรัก! ดื่มเสีย เพื่อว่าบรรดาผู้ที่อยู่บนสวรรค์ซึ่งรอคอยให้หนูได้ดื่มน้ำดับกระหายแล้ว พวกท่านก็จะได้ลิ้มรสน้ำแห่งเกาซัรไปพร้อมๆ กัน” สะกีนะฮ์ค่อยๆ รับถ้วยน้ำมาจากท่านหญิงซัยนับ และดื่มมันด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม สะกีนะฮ์กำลังหวนนึกถึงภาพของอาอับบาส ที่ออกไปหาน้ำเพื่อนำกลับมาให้เธอได้ดื่ม น้ำที่ขณะนี้เธอได้ดื่มมันแล้วมากเท่าที่เธอต้องการ แต่อาอับบาสไม่มีวันกลับมาหาเธออีกเลยชั่วนิรันดร์


เด็กๆ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมารับประทานอาหารและน้ำ หลังจากที่หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ไม่อาจจินตนาการได้ว่า บรรดาสตรีจะดื่มกินน้ำและอาหารได้อย่างไร? ในเมื่อภาพความทรงจำที่เห็นบรรดาผู้ที่เป็นที่รักได้จากไปโดยปราศจากอาหารและน้ำยังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึก และเกาะกินหัวใจอยู่ตลอดเวลา เด็กๆ ถูกนำกลับไปนอนต่อ ท่านหญิงขอให้บรรดาสตรีได้นอนหลับพักผ่อน ส่วนตัวท่านนั้นจะออกไปเฝ้ายามตรวจตราอยู่นอกกระโจม เพื่อว่าถ้ามีผู้บุกรุกมาจะได้ขอร้องพวกเขา บรรดาสตรีเหล่านั้นไม่เห็นด้วย โดยขอร้องให้ท่านได้นอนหลับพักผ่อน โดยปล่อยให้พวกเธอคอยตรวจตราเวรยามกันเอง


 แต่ท่านหญิงไม่ยอมตกลง โดยกล่าวว่า “มันเป็นความต้องการของพี่ชายของฉัน ว่าหลังจากท่านจากไป ให้ฉันทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทุกอย่างต่อขบวนคาราวานของเรา ฉันจะต้องทำตามความประสงค์นั้น”


ท่านหญิงซัยนับออกตรวจตราไปรอบๆ กระโจม พร้อมกับถือส่วนของเสากระโจมที่เหลือจากไฟเผาไว้ในมือ บางครั้งท่านมองไปยังบริเวณที่ร่างของบรรดาผู้สละชีพทั้งหมดอันเป็นที่รัก ทั้งอะลี อักบัร กอเซ็ม อูนและมุฮัมมัด และคนอื่นๆ นอนเรียงรายกันอยู่ บางเวลาก็มองไปทางแม่น้ำที่ร่างกายของท่านอับบาสน้องชายของท่านนอนอยู่ บ่อยครั้งที่ท่านมองไปยังทิศทางที่ร่างของอิมามฮูเซนอันเป็นที่รักนอนอยู่


ท่านนึกย้อนไปถึงความหลังเมื่อครั้งที่เริ่มออกเดินทางจากมะดีนะฮ์ ท่านมีพร้อมทั้งพี่ชาย หลานชายและลูกๆ ของท่าน ซึ่งคอยปรนนิบัติท่านอย่างอบอุ่นอ่อนโยนตลอดการเดินทาง แต่ในยามที่ท่านปราศจากผู้ช่วยเหลือเช่นนี้ พวกท่านทั้งหมดได้จากไปชั่วนิรันดร์ ด้วยความรู้สึกดังกล่าว


ท่านหญิงหันหน้าไปทางเมืองนะญัฟที่ซึ่งบิดาของท่านฝังอยู่ ณ ที่นั่น นึกถึงภาพความทรงจำเมื่อครั้งที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์


ในสมัยที่บิดาของท่านเป็นคอลีฟะฮ์ และสถาปนาเป็นเมืองหลวง นึกถึงความเคารพนบน้อมที่ผู้คนในเมืองนั้นได้เคยปฏิบัติต่อท่าน และในวันนี้คนพวกนี้เองที่ไม่เลยแม้แต่น้อย ที่จะช่วยยับยั้งการกระทำอันดูหมิ่นเหยียดหยามที่ทำให้ต้องอัปยศอดสู พวกเขาแข่งขันกันในการพยายามที่จะทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียเกียรติ


เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่สะเทือนใจมากมายเช่นนั้น ศีรษะของท่านโงนเงนและหมดสติไป เพราะความโศกเศร้าที่ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ในสภาพหมดสตินั้น ท่านมองเห็นใครคนหนึ่งกำลังควบม้าตรงมายังกระโจมที่พัก สภาพของเขาราวกับว่าได้เดินทางมาจากระยะทางอันไกลแสนไกล และต้องการมาให้ถึงอย่างรวดเร็ว ท่านรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเข้ามาทำร้ายสตรีและเด็กๆ ท่านจึงร้องตะโกนให้หยุด ในอาการเพ้อด้วยพิษไข้ ท่านจึงอ้อนวอนเขาอย่าได้รบกวนสตรีและเด็กๆ ที่กำลังหลับอยู่


แต่ท่านรู้สึกว่าคำขอร้องของท่านไม่ได้รับการสนใจจากผู้มาเยือน ด้วยความโกรธท่านตรงไปยังเขา พร้อมกับกระชากบังเหียนม้าและร้องตะโกนว่า “โอ้ ท่านผู้อาวุโส! ฉันขอร้องให้ท่านกลับไปเสีย อย่าได้รบกวนเราในขณะนี้เลย แต่ท่านกลับไม่ฟัง ฉันคือหลานสาวของท่านศาสดาแห่งอิสลาม บุตรสาวของอะลีและฟาฏิมะฮ์ ท่านจะไม่ให้เกียรติต่อท่านศาสดาและลูกหลานของท่าน โดยการที่ท่านไม่ยอมปฏิบัติตามคำขอร้องของฉัน” ท่านหญิงมองเห็นผู้ที่อยู่บนหลังม้า ได้เปิดผ้าคลุมหน้าออก ท่านจึงเห็นว่าเป็นใบหน้าของอะลี บิดาของท่าน ที่ฉายแววแห่งความโศกเศร้าอย่างที่สุด ท่านหญิงได้ยินเสียงพูดทั้งน้ำตาว่า “ซัยนับ พ่อมาเพื่อทำหน้าที่แทนลูกในการดูแลบรรดาผู้หญิงและเด็กๆ ของฮูเซน และผู้คนของเขา โอ้ ซัยนับ!นี้เป็นการกระทำโดยฝีมือของกองทัพปีศาจ ที่ได้ทำการข่มเหงพวกเจ้าทั้งหมดกระนั้นหรือ?”


ท่านหญิงรู้สึกว่าหัวใจของท่านได้คลายทุกข์ระทมลงบ้าง ด้วยการได้พบกับบิดาของท่าน


“โอ้ ท่านพ่อ! ทำไมท่านมาช้าเหลือเกิน ท่านอยู่ที่ไหนในขณะที่อะลี อักบัร กอเซ็ม อับบาส และคนอื่นๆ ได้เพลี่ยงพล้ำแก่ศัตรูในสนามรบ? ท่านอยู่ที่ไหนในเวลาที่ศีรษะของฮูเซนถูกตัดขาดออกจากร่างอย่างไร้ความปรานี โดยที่ไม่ยอมให้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียว? ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่อะลี อัสกัรถูกลูกธนูเสียบเข้าที่ต้นคอ? ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่ตุ้มหูของสะกีนะฮ์ถูกกระชากออกจากใบหูอย่างไรความปรานี?”


และเมื่อเธอร้องด้วยความเจ็บปวด เจ้าชิมร์ก็ตบเธออย่างป่าเถื่อน “ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่ทหารของยะซีดกระชากผ้าคลุมของเรา และจุดไฟเผากระโจมที่พัก?” สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของท่าน ทำให้หัวใจของท่าน ร่างกายของท่านสั่นไหวไปทั่งตัว


เมื่อท่านรู้สึกตัว ท่านพบว่าตัวเองกำลังนอนฟุบอยู่บนพื้นทราย พร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง ขณะนั้นเป็นเวลาย่ำรุ่งพอดี


ท่านย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตด้วยความปวดร้าว ว่าในเวลาเดียวกันนี้ อะลี อักบัร เคยประกาศเพื่อบอกเวลาทำนมาซ ทุกคนจะมาร่วมกันนมาซยามรุ่งอรุณ


 โดยมีอิมามฮูเซน ผู้นำ และผู้ติดตามอันเป็นที่รักต่างนมาซตามหลังท่าน ท่านหญิงได้เช็ดน้ำตา ตะยัมมุมด้วยฝุ่นทรายบริเวณนั้น และเริ่มทำนมาซ หลังจากนมาซเสร็จท่านก้มศีรษะลงกราบ(สูญูด) และวิงวอนขอดังนี้ว่า


“โอ้ อัลลอฮ์! โปรดประทานความกล้าหาญในการแบกรับหน้าที่และสานต่องานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุผลสำเร็จ โปรดประทานกำลังใจและความอดทนอดกลั้นต่อการกระทำที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม ความอัปยศ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ โอ้พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพลังและความเข้มแข็งทั้งปวง”


ที่มา หนังสือซัยนับ วีรสตรีอิสลาม
เขียนโดย ยูซุฟ เอ็น ลาลล์ญี